ตอนที่ 652 เจ้าอาวาสน้อยของข้าสุดยอด
เว่ยเสียรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับเหยียบขึ้นบนเรือโจรสลัด ไม่อาจลงมาได้อย่างไรอย่างนั้น
ไยเขาจึงฟังฉินหลิวซีถอนสัญญาฟ้าดินกับเหลยหมิง จากนั้นตามนางกลับมา และจากนั้น ก็กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ใช้แรงงานแล้วเล่า
เดิมเขาเป็นนักวิชาการมีความสามารถ ต้องมาเป็นเถ้าแก่ร้านปากเปียกปากแฉะอย่างนั้นหรือ
รู้สึกสงสัยในตนเอง ในตอนที่ฉินหลิวซีเจาะดวงตาแก่คนกระดาษนั่น เว่ยเสียก็เข้าไปสิงอยู่แล้ว รู้สึกว่าเหมาะสมดีแล้ว
ไม่มีทางอื่นใดอีก คนกระดาษนี้แม้จะมีความเสี่ยงที่จะเปียกน้ำ แต่มันถูกสร้างมาเพื่อเขา จากรูปลักษณ์สู่ภายใน เหมาะสมเป็นที่สุด
เว่ยเสียรู้สึกเหมือนตนเองได้ย้อนกลับไปในสมัยที่ยังมีชีวิต ในยุคที่สวมเสื้อผ้าสีสดใสมีชีวิตชีวา จิตใจพลันเบิกบานขึ้นมา
และเมื่อเดินเที่ยวชมเฟยฉางเต๋าแล้ว เขามีความโหยหาห้องเต๋านั้นขึ้นมาในใจ ผีบำเพ็ญตบะก็คือการบำเพ็ญเช่นกัน เขาไม่ทำความชั่ว บำเพ็ญตบะแบบผีก็คงได้กระมัง
แต่เขาก็อยากลงลึกไปอีกสักหน่อย เอ่ย “เจ้าให้ข้ารับคนรับผีรับของ หากวันใดมีเทียนซือหรือยมทูตมาจับตัวข้า ข้าจะไม่เหลือทนหรือ คนและผีมีเส้นทางแตกต่าง ต้องมีบางคนที่ไม่ชื่นชอบการมีอยู่ของข้า”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ยามนี้ผู้คนต่อแถวกลับชาติไปเกิดเรียกได้ว่าล้นหลาม ยมทูตค่อนข้างยุ่ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกที่ยังลอยไปลอยมาอยู่บนโลกยังไม่ลงไป วิญญาณเร่ร่อนมีมากสร้างความวุ่นวายได้ง่าย และหลายปีมานี้มีเต๋าร้ายมากมาย สำหรับดวงวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นนับว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก นอกจากนี้โลกหยินหยางวุ่นวาย โลกมนุษย์ก็จะวุ่นวายตามไปด้วย ดังนั้นข้าจะขอให้เจ้ามาช่วยงานยมทูตจากนรกชั่วคราว นอกเสียจากเจ้าจะไม่มีอะไรทำไปหาทำเรื่องพิเรนทร์ ก็ไม่มีเทียนซือผู้ใดกล้าแตะต้องเจ้าหรอก”
“เจ้ายังมีวิธีนี้ด้วยหรือ” เว่ยเสียตกใจ
“แน่นอน ข้ามีคนของข้าอยู่เบื้องล่าง”
เว่ยเสียรู้สึกประทับใจในตัวนางขึ้นมา
ฉินหลิวซีมองออกถึงความยินดีในดวงตาของเขา อยากสาดน้ำเย็นเข้าไป เส้นทางที่แตกต่างนี้ ไม่ใช่ให้เขาเปล่าๆ ยังต้องระมัดระวังความเคลื่อนไหวของซือหลัวผู้นั้น หากจำเป็นยังต้องต่อสู้สักหน่อย
เพียงแต่ผีตนนี้เพิ่งหลอก…เพิ่งหว่านล้อมมาได้ ให้เขาได้ดีใจก่อนสักพัก อย่าพึ่งทำให้เขาตกใจหนีไป
ฉินหลิวซีหมายมั่นอยู่ในใจ เอ่ย “อย่างไรข้าทำร่างกายให้เจ้าได้ ให้เจ้าได้เดินท่องไปในโลกมนุษย์ แน่นอนว่าต้องปูเส้นทางไว้ให้เจ้า ดังนั้นเจ้าติดตามข้าได้อย่างสบายใจได้” ความหมายการอยู่กับข้าก็คือถูกหลอกอย่างสบายใจ
แน่นอนว่าเว่ยเสียคาดไม่ถึง ว่าจะมีแผนซ้อนแผนอยู่ในนั้น เพียงรู้สึกว่าฉินหลิวซีผู้นี้ยังมีข้อดีอยู่บ้าง คนไม่ได้แย่นัก
“ยากที่จะปฏิเสธน้ำใจ ข้าจะเป็นเถ้าแก่ใหญ่ผู้มีความสามารถอยู่ที่นี่กับท่านก็แล้วกัน” เว่ยเสียคลี่พัดออกแล้วพัดเบาๆ ท่าทางเจ้าชู้ตามแบบฉบับ
ฉินหลิวซียิ้มตาหยี
เถิงเจาก้มหน้าส่ายศีรษะ ถูกขายแล้วยังถูกหลอกมาทำเงิน โง่จริงๆ
เมื่อจัดการเรื่องของเว่ยเสียเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีก็ไม่ได้รีบกลับบ้าน ทว่าพาเถิงเจาเดินทางออกจากเมืองไปยังอารามชิงผิง
เรื่องชื่อเจินจื่อยังไม่ตาย ต้องบอกกับตาเฒ่าสักหน่อย
การกลับมาของฉินหลิวซี ทำให้คนในอารามชิงผิงยินดีไม่น้อย โดยเฉพาะชิงหย่วน รับเงินปึกใหญ่มา ยิ้มตาหยีจนดวงตาจะเป็นเส้นตรงแล้ว ในเรื่องผู้สืบทอด ที่ใดจะสุดยอดเท่าอารามของพวกเขาเล่า ดูค่าน้ำมันตะเกียงที่หามาได้นี่สิ สุดยอดที่สุด
“ทุกวันนี้มีผู้มีจิตศรัทธามาสักการะที่อารามเล็กๆ ของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ห้องรับแขกไม่เพียงพอ เงินของท่านจำนวนนี้ พอดีเอามาสร้างเรือนรับแขกได้บ้าง โดยเฉพาะเรือนรับแขกฝั่งสตรี ต้องทำอย่างละเอียดถี่ถ้วนสักหน่อย” ชิงหย่วนคิดเอาไว้ถึงวิธีใช้เงินจำนวนนี้เรียบร้อย
อารามชิงผิงซื้อเขาทั้งลูกแล้ว มีพื้นที่สร้างเรือนพักและวิหารมากมาย จากเมื่อก่อนที่ธูปเทียนในอารามยังไม่รุ่งเรืองสว่างไสวนัก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขยาย
ยามนี้กลับแตกต่างออกไป มีผู้แสวงบุญเพิ่มขึ้น ผู้มีจิตศรัทธาเพิ่มมากขึ้น ผู้แสวงบุญบางส่วนอยู่อาศัยปฏิบัติธรรมในอาราม แต่ที่พักไม่เพียงพอค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างเพิ่ม
โดยเฉพาะเรือนพักของสตรี ต้องแบ่งแยกชายหญิง เพื่อหลีกเลี่ยงมีคนใช้อารามก่อเรื่อง หากแพร่งพรายออกไปจะเป็นชื่อเสียงที่ไม่เหมาะสมนัก
ฉินหลิวซีไม่สนใจเรื่องทั่วไปเหล่านี้ เอ่ยบอกให้เจ้าดูแลก็พอ ทิ้งชิงหย่วนเอาไว้และมุ่งหน้าตรงไปหานักพรตเฒ่าชื่อหยวน
ชิงหย่วน “…”
มีเจ้าอาวาสน้อยที่ปล่อยปะละเลย (ขี้เกียจ) ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ อยากขอคำแนะนำเพิ่มสักนิดก็ไม่ได้
ฉินหลิวซีมาถึงห้องพักของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน เขากำลังพาวั่งชวนนั่งสมาธิ เพียงแต่เขานั่งตัวตรง ทว่าเจ้าเด็กน้อยวั่งชวนนั่นกลับตัวโค้งงอ ศีรษะกดลง กำลังสัปหงก
วั่งชวนตัวแสบ นั่งยืดหลังตรงทันใด ปากเริ่มท่อง “ผู้คนในโลกรู้ความงดงามคือสิ่งสวยงาม และเป็นความชั่วร้าย ผู้คนในโลกรู้ว่าความดีคือความดี และเป็นสิ่งไม่ดี…อาจารย์”
นางนวดดวงตา บ่นพึมพำ “ข้าฝันไปหรือไม่”
ฉินหลิวซีเดินเข้าไป วั่งชวนเบิกตาโตส่งเสียงกรี๊ดพลางกระโดดลงมา พุ่งเข้าไปหานาง กอดขานางเอาไว้ เอ่ยเสียงดัง “ไม่ใช่ความฝัน ท่านอาจารย์กลับมาแล้วจริงๆ วั่งชวนคิดถึงท่านมากเจ้าค่ะ…ฮือ”
ฉินหลิวซีย่อตัวลง กอดวั่งชวนที่กำลังทำไข่มุกทองคำร่วงอย่างบ้าคลั่ง[1]เอาไว้ในอ้อมแขน เอ่ยบ่นด้วยรอยยิ้ม “ไยเห็นหน้าอาจารย์แล้วจึงร้องไห้เล่า โกรธที่อาจารย์ทิ้งเจ้าเอาไว้หรือ”
วั่งชวนส่ายศีรษะ เอ่ยสะอึกสะอื้น “ข้าเพียงคิดถึงอาจารย์แล้ว”
ฉินหลิวซีบีบแก้มเล็กนางเบาๆ รู้สึกผิดอยู่ในใจ เอ่ย “เป็นอาจารย์ไม่ดีเอง ไปนานเพียงนี้ยังไม่พาเจ้าไปด้วย”
“เป็นศิษย์ที่ไม่ได้เรื่องเองเจ้าค่ะ สุขภาพไม่สู้ดี อายุยังน้อย ติดตามไปไม่ได้” วั่งชวนรีบเอ่ย “ตอนนี้ข้ากินข้าวมื้อละสองชามด้วย จะต้องรีบโต ไม่ให้เป็นภาระให้ท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเห็นว่าใบหน้าของนางกลมไม่น้อย ยิ้มพลางเอ่ย “เช่นนั้นจะไม่กลายเป็นหมูตัวอ้วนหรือ เช่นนั้นจะเดินไม่ไหวเอานะ”
วั่งชวนหน้าแดง “ข้าเชื่อฟังคำของท่านอาจารย์ปู่ทุกวัน ขึ้นเขาพร้อมกระสอบทรายฝึกฝนร่างกายในทุกๆ วัน”
ฉินหลิวซีปรายตาไปทางนักพรตเฒ่าชื่อหยวน อีกฝ่ายไม่มีความละอายแม้เพียงนิด เอ่ย “ทิ้งเด็กไว้กับข้า ข้าทำได้เพียงสั่งสอนในแบบของข้า อย่างไรเจ้าก็เติบโตมาอย่างนี้เช่นกัน”
ฉินหลิวซีคร้านจะสนใจเขา หยิบกำไลข้อมือสีทองแดงออกมาจากถุงสวมไว้บนข้อมือของวั่งชวน กำไลข้อมือนั้นมีสีทองแดง เมื่อสวมเข้าไปแล้วมีแสงสะท้อนระยิบระยับ กดปุ่มที่ซ่อนอยู่เอาไว้ เกล็ดกิเลนขนาดเท่าเล็บมือบนกำไลส่งประกายแวววาว ดูทรงพลังขึ้นมา
“ว้าว” วั่งชวนส่งเสียงตื่นเต้นออกมา งดงามมาก
ฉินหลิวซีสอนวิธีใช้กำไลให้กับนาง เมื่อเกล็ดกิเลนนั้นสร้างร่องรอยปาดบนโต๊ะของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ปากของวั่งชวนก็หุบไม่ลงแล้ว
“นี่คืออาวุธอาคมที่อาจารย์ให้เจ้าไว้ป้องกันตัว ศิษย์พี่ของเจ้ามีกริชกิเลน ของเจ้าเป็นกำไลกิเลน มีคาถาสั้นๆ เจ้าจำเอาไว้” ฉินหลิวซีสอนคาถาให้นาง ให้นางท่องกลับไปกลับมาจนคล่องปาก ก่อนจะเอ่ย “กำไลนี้ปกป้องเจ้าได้สามารถทำร้ายได้ทั้งคนและผี แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ อย่าได้ทำร้ายผู้คนบริสุทธิ์ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผีหรือคน รู้หรือไม่”
วั่งชวนจับกำไลอย่างหวงแหน ยิ้มตาหยีแล้วพยักหน้าลง “ศิษย์จะจดจำคำสอนของท่านอาจารย์เอาไว้เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีบีบแก้มเล็กๆ ของนางอีกครั้ง สายตาอ่อนโยน นักพรตเฒ่าชื่อหยวนที่อยู่ด้านหลังมองภาพนั้นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
[1] หมายถึงหยดน้ำตา