บทที่ 571 อย่าให้ฉันเห็นเธออีก
บทที่ 571 อย่าให้ฉันเห็นเธออีก
ชายหนุ่มเชยคางเผ่ยเยว่ขึ้น บังคับให้เธอสบตาเขา
ก่อนที่ฉีจิ่นจือจะเอ่ยถามเธออย่างเย็นชา “เมื่อครู่นี้ เธอได้ยินหมดแล้วใช่ไหม?”
จู่ ๆ เผ่ยเยว่ก็ตระหนักว่าเธอควรจะแสร้งทำเป็นว่าตนไม่เข้าใจอะไรเลย จากนั้นจึงทำราวกับว่าเธอและเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปนาน และพูดคุยถึงเรื่องในวันวานกับชายหนุ่ม
ทว่าความหงุดหงิดกลับพุ่งเข้าที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของเผ่ยเยว่ ครู่หนึ่งหญิงสาวไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง
เธอรีบสั่นศีรษะ “นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“เหอะเหอะ” ฉีจิ่นจือหัวเราะเบา ๆ “ไม่เข้าใจ?”
เขาออกแรงที่มือมากขึ้น บีบจนผิวสวยของเธอขึ้นเป็นรอยนิ้วมือสีแดง พร้อมกับแววตาที่แปรเปลี่ยนเป็นไร้ปรานี “ไม่เข้าใจเหรอ หืม?”
เผ่ยเยว่รู้สึกความเจ็บปวด แต่ดึงดันไม่ยอมเปล่งเสียงออกมา พลางเบือนหน้าหนี
เธอเอ่ยด้วยความโกรธ “ยังไงซะฉันก็ตกอยู่ในมือของนายแล้ว อยากจะฆ่าแกงหรืออยากจะจ้วงแทงกันก็ตามแต่ใจนายเถอะค่ะ หากฉันส่งเสียงร้องออกไป ก็คงไม่มีวีรบุรุษมาช่วยหรอก”
เอ่ยจบก็หลับตาราวกับวีรชนผู้ไม่ยี่หระต่อความตาย
ใครเลยจะรู้ว่าแรงบีบนั้นกลับคลายลง
เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฉีจิ่นจือก็ยืนห่างออกไปหนึ่งเมตรแล้ว
เขากอดอกและเผยให้เห็นปืนที่อยู่ข้างในอย่างไม่ปิดบัง
เขาเอ่ยโดยไม่มองเธอตรง ๆ “ไปให้พ้น อย่าให้ฉันเจอเธออีก”
หัวใจของเผ่ยเยว่รู้สึกเหมือนถูกกระแทกเข้าอย่างแรงจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดระคนเฉื่อยชา
เธอรู้สึกคับข้องใจ และในเวลาเดียวกันก็หงุดหงิดตัวเองไม่น้อยเมื่อรู้ว่าความคับข้องใจนี้มาจากที่ใด
หญิงสาวหยิบกล้องที่บังเอิญทำหล่นขึ้นมา ก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งไปในทิศทางที่เธอมา
“เผ่ยเยว่”
ฉีจิ่นจือตะโกนเรียกเธอจากด้านหลัง
เผ่ยเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งยังหยุดฝีเท้าของเธอ ทว่าไม่ได้หันกลับไป
เธอคิดว่าฉีจิ่นจือจะบอกเธอว่าทุกอย่างเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เขาเพียงอยากจะสร้างสถานการณ์เล่น ๆ กับเธอเท่านั้น
ไหนเลยจะรู้ว่าประโยคที่เฝ้ารอกลับกลายเป็น “อย่าบอกใครว่าเจอฉัน เข้าใจใช่ไหม?”
ร่องรอยแห่งความผิดหวังรวมกันอยู่ในแววตาของเผ่ยเยว่ ทำให้ดวงตาของเธอค่อย ๆ แดงก่ำ
หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่น “วางใจเถอะ ฉันยอมไม่เจอนายมาก่อนแน่นอน”
เอ่ยจบ เธอก็วิ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของป่าโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
ฉีจิ่นจือมองไปยังแผ่นหลังของเผ่ยเยว่ที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ นัยน์ตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว
มุมปากของเขากระตุกรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ขายาวของเขาจะเตะเข้าที่ก้อนหินด้วยความหงุดหงิดใจ จากนั้นจึงเดินออกไปในอีกทิศทาง
แผ่นหลังผอมสูงเมื่อต้องแสงตะวัน ก็ยิ่งดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว
เขาปรารถนาที่จะหันหน้ารับแสงอาทิตย์ แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่ามีความมืดดำอยู่ข้างหลังตนได้
…
ในตอนที่เผ่ยเยว่กลับมาถึงหมู่บ้านนั้นจิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สมองตลอดจนประสาทสัมผัสร่างกายยังไม่ประสานรวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ชาวบ้านหลายคนที่เจอเธอต่างก็พากันทักทายหญิงสาวอย่างอบอุ่น
เผ่ยเยว่ตอบสนองอย่างไม่มีสติรู้ตัวเท่าไหร่นัก ปฏิกิริยาของเธอช้าลงครึ่งหนึ่ง
จนกระทั่งเธอเกือบจะชนเข้ากับคนที่เดินเข้ามา หญิงสาวจึงกลับมามีสติอีกครั้ง
“พี่สาวชิงหยวน” เผ่ยเยว่รีบซ่อนอารมณ์แท้จริงของตน แล้วทักทายเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนเพิ่งกลับมาจากในเมืองเมื่อไม่นานนัก
เธอเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอเผ่ยเยว่ที่ดูมีเรื่องหนักอกหนักใจไม่ต่างกัน
จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา “เธอเป็นอะไรรึเปล่า?”
เผ่ยเยว่สั่นศีรษะ “เปล่าค่ะ วันนี้ฉันไปส่งนักเรียนที่บ้านก็เลยรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
เมื่อเห็นว่าเผ่ยเยว่ไม่เต็มใจที่จะกล่าวบอกไปมากกว่านี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ จึงกล่าวเพียงว่า “ถ้าอย่างนั้นดูแลตัวเองด้วยนะ หากต้องการความช่วยเหลือก็แค่มาหาฉันได้เลย”
เมื่อมองเห็นสายตาห่วงใยของเซี่ยชิงหยวน เผ่ยเยว่ก็รู้สึกอยากจะเล่าเรื่องที่เธอได้พบเข้ากับฉีจิ่นจือในวันนี้ให้หญิงสาวฟัง
หากแต่เซี่ยชิงหยวน ไม่รู้จักฉีจิ่นจือดีนัก เธอจะเชื่อใจอีกฝ่ายได้ไหม?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เผ่ยเยว่จึงคืนคำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยกลับลงคอ
เธอระบายยิ้ม “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณพี่สาวชิงหยวนมากนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนเองก็มีบางอย่างอยู่ในใจ หลังจากพูดคุยกับเผ่ยเยว่อีกสองสามประโยค เธอก็ตรงกลับบ้าน
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านไม้ไผ่ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสิ่นอี้โจวเพิ่งกลับมาจากข้างนอกเช่นกัน
ทันทีที่เขาเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นความห่อเหี่ยวบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวน
เขาเดินไปหาภรรยาพลางปลดกระดุมแขนเสื้อออก ก่อนจะพับปลายแขนเสื้อขึ้นไปถึงข้อศอก “คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสิ่นอี้หลินและสองพี่น้อง ซึ่งกำลังเล่นอยู่ที่ชั้นล่าง แล้วส่งสัญญาณบอกใบ้ให้เสิ่นอี้โจวตามไปเธอกลับไปที่ห้อง
ทันทีที่ปิดประตูห้อง หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ฉันเจอฟู่ชุนไจ่ น้องชายผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยความจริงใจของฉีจิ่นจือเมื่อครั้งที่อยู่เมืองกว่างโจวน่ะ”
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณสองคนรึเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ ก่อนเล่าให้เสิ่นอี้โจวฟังว่าเธอได้พบกับฟู่ชุนไจ่ได้อย่างไร และฟู่ชุนไจ่คิดต้องการจะทำอะไรกับเธอในตอนหลัง
เสิ่นอี้โจวนั่งลงที่โต๊ะในห้อง นิ้วเรียวยาวของเขาเคาะลงบนโต๊ะซ้ำ ๆ
ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น “ผมเองได้รับข่าวลือมาว่า ขณะนี้มีการใช้กฎอัยการศึกทั่วทั้งมณฑลอวิ๋นเพื่อตรวจสอบและจัดการเรื่องการค้าขายยาเสพติด ตำรวจได้เข้าบุกทำลายสถานที่ ซึ่งเป็นจุดนับพบในการซื้อขายยาหลายแห่ง รวมถึงจับกุมหัวหน้ากลุ่มค้ายาได้หลายคน การที่คุณพบฟู่ชุนไจ่ในเมือง ก็มีความเป็นได้สูงว่าพวกเขาจะเสี่ยงเข้ามาจัดการในประเทศเพราะเข้าตาจน”
เมื่อใกล้ถึงสิ้นปี มีกองกำลังลับจำนวนมากที่แฝงตัวอยู่ในเงามืดนั้นไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
เซี่ยชิงหยวนได้ยินดังนั้นก็พลันขมวดคิ้วแน่น “หากเป็นไปแบบนี้ แล้วศิษย์พี่ใหญ่จะตกอยู่ในอันตรายรึเปล่า?”
เสิ่นอี้โจวส่ายหน้า ”ปัญหานี้ยังไม่ทราบแน่ชัดในขณะนี้ เมื่อไม่นานมานี้ หลิงเยี่ยได้รายงานเรื่องที่ได้พบกับฉีจิ่นจือขึ้นไปแล้ว ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเบื้องบนจะจัดการเรื่องนี้ไปในทิศทางไหน”
เป็นไปได้ว่าพวกเขารู้ความลับของกันและกันโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นก็รู้ความลับดีพอ ๆ กับที่พวกเขารู้ ทั้งยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
และก็อาจเป็นไปได้ว่าบางคนไม่รู้ความลับ และผู้ที่รู้ความลับก็ไม่กล้าบอกความลับนี้แก่บุคคลที่สาม
ยังไงซะ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของการรักษาความลับ ยิ่งมีคนรู้มากเท่าไร ฉีจิ่นจือก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ซ้ำยังกว่าภารกิจจะลุล่วงก็ต้องเผชิญอุปสรรคมากขึ้น
อีกทั้งการที่ตำรวจจะเข้าจับกุมสายลับและยิงกันเองนั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกนัก
เซี่ยชิงหยวนพยายามอดกลั้นต่อความอยากที่จะขอให้เสิ่นอี้โจวช่วยตรวจสอบเรื่องนี้
ด้วยตำแหน่งในตอนนี้ของเสิ่นอี้โจวไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ แต่หากเขาใช้เส้นสายก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้
แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องส่วนตัวของตนมาทำลายสถานการณ์ภาพรวมได้
เสิ่นอี้โจวเองพอมองออกว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังคิดอะไรอยู่
ชายหนุ่มจับมือภรรยาเอาไว้พร้อมเอ่ยปลอบ “เขาเป็นลูกชายคนเดียวในโลกนี้ของฉีหยวนซาน ฉีหยวนซานไม่มีทางไม่ทอดทิ้งเขาแน่ ไม่แน่ว่ารอบตัวฉีจิ่นจืออาจมีผู้คนคอยซ่อนตัวอยู่ลับ ๆ เพื่อปกป้องเขาก็ได้”
เมื่อได้ยินถ้อยคำของเสิ่นอี้โจว ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง “แม้ว่ามองจากภายนอกฉีหยวนซานจะไม่ชอบศิษย์พี่ใหญ่ แต่ก็ให้ความสำคัญกับเขาอยู่ไม่น้อยล่ะนะ”
สิ่งเดียวที่เธอทำได้เพื่อช่วยฉีจิ่นจือก็คือแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย
เธอเก็บงำอารมณ์เอาไว้ ก่อนเอ่ยว่า “ฉันจะลงไปดูเด็ก ๆ ข้างล่างนะ”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้ารับ “ครับ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเดินลงไปชั้นล่าง เด็กสามคนที่เดิมเล่นอยู่ในลานบ้านก็หายไปแล้ว
เธอเดินไปยังประตูห้องครัวเพื่อเอ่ยถามหลินตงซิ่ว “แม่คะ อี้หลินกับเด็ก ๆ ล่ะคะ?”
หลินตงซิ่วซึ่งกำลังทำอาหารอยู่เดินออกมาพร้อมกล่าวว่า “เมื่อครู่อี้หลินบอกว่าจะพาพวกเขาไปดูรอบ ๆ ทุ่งนาน่ะ ที่ทางด้านตะวันออกมีแปลงผักพร้อมคูน้ำขนาดใหญ่อยู่”
เสิ่นทิงหลานนั้นเดินได้แล้ว ส่วนเสิ่นทิงอวิ๋นยังต้องให้คนอื่นช่วยพยุงเดินอยู่บ้าง ในตอนนี้เป็นช่วงวัยที่ชอบเล่นชอบส่งเสียงโวยวาย และชอบวิ่งออกไปข้างนอกอยู่เสมอ
เสิ่นอี้หลินเล่นกับเด็ก ๆ ทั้งสองคนอยู่ที่ลานบ้านสักพัก จากนั้นจึงพาสองพี่น้องออกไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขา
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนจึงตอบว่า “อย่างนั้นเดี๋ยวหนูไปดูสักหน่อยค่ะ”
เสิ่นอี้หลินจับเสิ่นทิงอวิ๋นเอาไว้ และหลี่หมิงเทียนช่วยจับเสิ่นทิงหลาน เด็กชายทั้งสองคนเดินไปยังแปลงผักข้างคูน้ำ
ด้านตะวันออกของคูน้ำเคยมีนาข้าวล้อมรอบ โดยในช่วงเวลานี้ของปีมักจะมีเด็ก ๆ มาจับปลาเล็ก ๆ ในคูนั้น
เสิ่นทิงหลานและเสิ่นทิงอวิ๋นชอบสัตว์ตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ เสิ่นอี้หลินจึงพาพวกเขาออกมาดูพวกมัน
ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าไปใกล้ ก็พลันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งสบถก่นด่าด้วยความเดือดดาลอย่างยิ่ง
ผู้หญิงคนนั้นพูดภาษาไต พร้อมกับใช้ท่าทางเพื่อขยายความในสิ่งที่เอื้อนเอ่ย ทำให้เสิ่นอี้หลินพอจะเข้าใจราง ๆ เมื่อได้ยิน
เขามองไปยังหลี่หมิงเทียน “หมิงเทียน นายรู้ไหมว่าเธอกำลังก่นด่าสาปแช่งอะไร?”
ใบหน้าของหลี่หมิงเทียนนั้นฉายชัดถึงความตกตะลึง “ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังทำของ*[1]นะ”
[1] 放傣 หรือ ฟางไต เป็นไสยศาสตร์พื้นบ้านอย่างหนึ่ง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อพื้นบ้านด้วย โดยจะส่งต่อกันในหมู่ผู้หญิงเท่านั้น