บทที่ 487 ที่แท้ก็เป็นพวกแก
บทที่ 487 ที่แท้ก็เป็นพวกแก
“มันเข้าโกดังไปแล้ว พวกเราก็เข้าไปดูใกล้กว่านี้ดีไหม?”
“เข้าไปใกล้? ลืมครั้งก่อนที่โดนอัดจนน่วมแล้วรึไง? อยากไปก็ไปเอง ฉันขอดูอยู่ตรงนี้”
“ใช่แล้ว ในโกดังนั่นยังไงก็เหลือวัตถุดิบไม่มาก เข้าไปดูก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไว้ตอนมันมาเติมของในโกดังพวกเราค่อยตามไปดูดีกว่า”
“ใช่แล้ว พวกเราคอยตามมันไปจากไกล ๆ ดีกว่า จะได้รู้ว่ามันไปซื้อของมาจากที่ไหน เถ้าแก่หวงต้องการคำตอบเรื่องนี้”
“จะว่าไปแล้วครั้งก่อนเถ้าแก่หวงก็ใจดีจริง ๆ วัตถุดิบธรรมดาพวกนั้นหาในตลาดเอาก็ได้ไม่ใช่รึไง? ถึงกับให้เงินตอบแทนมาเยอะแยะขนาดนั้น”
“ใครจะรู้กันล่ะ ขอแค่พวกเรารู้ว่าอู๋ฝานนั่นไปซื้อของมาจากที่ไหนก็ทำเงินให้พวกเราได้แล้ว”
“ใช่แล้ว เรื่องทะเลาะระหว่างเถ้าแก่สองคน พวกเราไม่เข้าไปเกี่ยวด้วยจะดีกว่า”
กลุ่มอันธพาลจ้องมองอู๋ฝานจากไกล ๆ พลางพูดคุยกันเสียงเบา แม้ครั้งก่อนพวกเขาถูกสั่งสอนบทเรียนไปแล้ว แต่ใครใช้ให้หวงถิงเฟิงจ่ายหนักกันล่ะ? ยังไงคนเราก็ตายได้เพราะเงินอยู่แล้ว ขอแค่เงินถึงพวกเขาก็พร้อมจะเสี่ยงอันตรายกันอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พวกเขาระมัดระวังยิ่งกว่าครั้งก่อน อย่างน้อยก็เลือกไม่เข้าไปใกล้
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!” ผ่านไปราวสิบนาทีหลังอู๋ฝานเข้าโกดังไป ชายหนุ่มก็กลับออกมาก่อนจะขึ้นรถ
“ไปเร็ว ตามมันไป!” กลุ่มอันธพาลรีบขึ้นรถขับตามหลังอู๋ฝานไป
แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้เห็นความผิดปกติ รถของอู๋ฝานเร็วกว่าของพวกเขาอย่างไม่อาจเทียบ เพียงอยู่บนถนนก็ทิ้งห่างไปจนไม่เห็นไฟท้าย
“เร็วเข้า ขับให้เร็วกว่านี้ คลาดสายตาไปแล้วเนี่ย!”
“ก็ขับอยู่ไม่เห็นรึไง นั่นมันรถซูเปอร์คาร์นะโว้ย รถตู้ของพวกเราจะแข่งตามทันได้ยังไง? ต่อให้กระทืบเท้าไปก็เท่านั้นแหละ”
“หยุดพูดจาไร้สาระแล้วเร่งให้เร็วกว่านี้ ถ้าตามมันไม่ได้พวกเราก็ไม่รู้ว่ามันไปซื้อของมาจากที่ไหน”
“รู้แล้วน่า หยุดบ่นได้แล้ว ฉันต้องการสมาธิ”
แม้กลุ่มอันธพาลจะพยายามขับรถไล่ตามอย่างสุดชีวิต แสดงฝีมือออกมาจนไม่มีอะไรเหลือ แต่สุดท้ายก็ได้ตระหนักว่าพวกตนถูกอู๋ฝานทิ้งห่างจนไม่เห็นฝุ่น กระทั่งเงาของรถก็ไม่อาจเห็น
“ทำยังไงดีล่ะทีนี้?” ชายอันธพาลคนที่ขับรถตัดสินใจจอดข้างทาง ด้านหน้าเป็นทางแยกสองฝั่ง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะตามไปเส้นทางใดดี
“ถามฉันแล้วจะรู้ได้ยังไง?”
“สุ่มดวงเลือกสักทางตามไปไม่ได้รึไง?”
“แล้วถ้าเลือกผิดล่ะ เถ้าแก่หวงรู้แล้วว่าพวกเรากำลังสะกดรอยตามมัน ถ้าสุดท้ายหาคำตอบอะไรไปให้ไม่ได้เขาคงโกรธแน่”
“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้คงไม่รีบบอกหรอก”
กลุ่มคนกำลังหลงทางเพราะไม่ทราบว่าควรไปทางไหนดี
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!”
ทันใดนั้นเองที่เสียงคนเคาะกระจกหน้าต่างรถดังจากด้านนอก กลุ่มคนถึงหันมองไปทางเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
คนที่เคาะกระจกรถของพวกเขาคืออู๋ฝาน!
“เฮ้ย รีบหนี!”
“ออกรถเร็วเข้า!”
กลุ่มคนที่เห็นอู๋ฝานแทบไม่เสียเวลาคิด เพราะความกลัวจากเหตุการณ์ครั้งก่อนฉายวาบขึ้นมาในความทรงจำ พวกเขาจึงรีบขับรถหนีให้พ้นจากที่นี่
กลุ่มอันธพาลพยายามติดเครื่องรถยนต์ แต่เพราะร้อนรนจนเกินไปทำให้พลาด กระทั่งพยายามติดเครื่องรถยนต์หลายครั้งก็ยังไม่ติด
“ตึง!”
ขณะนี้เองอู๋ฝานที่อยู่ด้านนอกต่อยเข้าใส่กระจกรถ กระจกที่ควรแข็งแรงกลับบางดุจกระดาษ หมัดนั้นทะลุเข้ามาพร้อมเศษกระจกที่กระจัดกระจายไปทั่ว
“คิดหนีงั้นเหรอ?” หลังอู๋ฝานทุบกระจกรถแล้วก็คว้าคอชายอันธพาลคนขับรถ ก่อนจะยกร่างและลากตัวอีกฝ่ายออกมาผ่านทางกระจกรถที่แตกออก
“ตึง!”
อู๋ฝานฟาดร่างชายอันธพาลลงกับพื้นก่อนจะมองกลุ่มคนที่ยังอยู่ในรถ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ถ้าไม่อยากโดนแบบนี้ ออกมาด้วยตัวเองซะ”
กลุ่มอันธพาลต่างมองหน้ากันเอง สุดท้ายก็ไม่มีความกล้ามากพอจะขัดคำสั่งของชายหนุ่ม จึงต้องจำใจเปิดประตูรถลงมาด้วยตัวเองอย่างเชื่อฟัง
“สะกดรอยตามฉันมาทำไม?” อู๋ฝานแค่เห็นก็ทราบว่าเป็นคนกลุ่มเดิม “หวงถิงเฟิงสั่งให้มาที่นี่อีกงั้นสินะ?”
กลุ่มคนเลือกที่จะเงียบ
“ตึง!”
อู๋ฝานเตะร่างคนที่อยู่ใกล้จนร่างกระเด็นไปปะทะกับรถ ก่อนจะไถลลงไปนอนกองกับพื้นพลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด คนอื่นที่เหลือต่างได้เห็นได้ยินชัดเจน เมื่อครู่เพื่อนของพวกเขาเพิ่งโดนเตะจนได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงหัก อีกทั้งเสียงยังดังฟังชัด
“เหมือนว่าครั้งก่อนที่สอนบทเรียนไปจะยังไม่ดีพองั้นสินะ?” อู๋ฝานยกขาขวาขึ้นก่อนจะเตะอีกคนหนึ่งจนร่วงลงกับพื้น
คนอื่นที่เหลือต่างมองมาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาอยากยกมือหรือเท้าขึ้นต่อต้าน ทว่าไร้ซึ่งพละกำลัง หากข่มขวัญคนทั่วไปพวกเขาทำได้ แต่ไม่ใช่กับคนแข็งแกร่งเหมือนอีกฝ่าย
“ยังเลือกที่จะไม่พูดงั้นสิ?” อู๋ฝานก้าวเดินเข้าหาอีกคนหนึ่งพร้อมเผยสีหน้าเย็นยะเยือก
เรื่องวัตถุดิบเกี่ยวพันถึงความก้าวหน้าของร้านโลกในแหวนและความลับส่วนตัวของอู๋ฝาน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้เรื่องหลุดรั่วออกไปได้ ดังนั้นใครก็ตามที่คิดเล่นงานประเด็นนี้ตนจะไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ
ตอนที่กลับมาจากหอคันธะสงัดเฉินปิงเหยาก็ได้เล่าให้ฟังแล้วว่าโกดังเก็บวัตถุดิบนอกเมืองถูกปล้น ครั้งนั้นอู๋ฝานสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับหวงถิงเฟิงจึงคอยระมัดระวังเอาไว้ ครั้งนี้เดินทางออกมานอกเมืองก็เพราะจงใจล่อเป้าให้เป็นจุดสนใจ
และไม่นานก็ได้พบว่ามีกลุ่มคนจงใจสะกดรอยตามมา
ตอนที่พบเห็นกลุ่มคน เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหวงถิงเฟิง คล้ายว่าคำเตือนที่เคยมอบให้อีกฝ่ายผ่านกลุ่มอันธพาลเหล่านี้ไปจะไม่เป็นผล ชายคนนั้นไม่คิดเก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย
“บอกแล้ว บอกแล้ว!” เมื่อเห็นอู๋ฝานก้าวเข้ามาใกล้ อีกคนหนึ่งที่ยังไม่โดนอัดก็เผยสีหน้าหวาดกลัวและรีบพูดออกมา
“พูด!” อู๋ฝานเร่ง
“หวงถิงเฟิงเป็นคนส่งพวกเรามา เขาบอกให้พวกเราสะกดรอยตามและสืบให้ได้ว่าซื้อวัตถุดิบมาจากที่ไหน!” อีกฝ่ายตอบกลับ
“แล้วเมื่อกี้ตอนที่ฉันเข้าไปในโกดังได้เห็นอะไรอีกไหม?” อู๋ฝานถาม
“ไม่เห็น พวกเราไม่กล้าเข้าไปใกล้เพราะกลัวนายจะรู้ตัว!”
“ครั้งก่อนที่โกดังฉันถูกปล้นวัตถุดิบ ก็เป็นฝีมือของหวงถิงเฟิงใช่ไหม?” อู๋ฝานยังคงเค้นถาม
“คนที่ถูกจับตัวไปตัดสินใจทำโดยพลการ” ชายอันธพาลตอบกลับมา “แต่พอหวงถิงเฟิงรู้เรื่องเข้าเลยขอซื้อวัตถุดิบนั้นด้วยราคาสูง และบอกให้พวกเราหาโอกาสขโมยมาอีก”
อู๋ฝานพยักหน้ารับ คล้ายว่าเรื่องราวจะแตกต่างไปจากที่คิดเอาไว้นิดหน่อย แต่โดยภาพรวมก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ดังนั้นเขาจึงบอกกับอีกฝ่าย “โทรเรียกหวงถิงเฟิงมานอกเมือง บอกมันว่าสะกดรอยตามฉันจนรู้แล้วว่าซื้อหาวัตถุดิบมาจากที่ไหน บอกให้มันมาด้วยตัวเองจะได้แลกของกับเงิน”