ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 110 กลิ่นตัวท่านรองเจ้าเมืองเหม็นหึ่ง!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 110 กลิ่นตัวท่านรองเจ้าเมืองเหม็นหึ่ง!

บทที่ 110 กลิ่นตัวท่านรองเจ้าเมืองเหม็นหึ่ง!

“อึก แหวะ…”

กลิ่นตัวของหลิงเยว่นั้นเหม็นมาก ราวกับว่าเพิ่งลุกขึ้นมาจากกองศพเน่า แม้จะใช้คาถาชำระล้างแล้ว ทว่ากลิ่นเหม็นนั้นก็ยังคงติดตามตัวนางไม่หาย

ในที่สุดเหล่าผู้คุ้มกันทั้งสี่ของหลิงเยว่ก็ได้มาถึงแล้ว ทั้งสามเป็นชายและหญิงหนึ่งคน พวกเขาทั้งตัวเปื้อนเลือดราวกับมาจากสมรภูมิที่มีแต่ซากศพและทะเลเลือด

ชายฉกรรจ์นักโทษอีกสองคนที่รอดตายนั้น ก็ได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน

ช่วงนี้เมืองฮั่วหยางมีนักโทษน้อยลงทุกที คงต้องหวงแหนทุกคนเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นคนเลว แต่นับได้ว่ามีพลังการต่อสู้ที่ไม่ควรมองข้าม

ดูเถิด แม้จะถูกสัตว์อสูรที่มีขอบเขตสร้างรากฐานขั้นกลางหลายตัวรุมโจมตี แต่พวกเขายังสามารถยืนหยัดต่อสู้มาได้จนถึงตอนนี้ หากฟื้นฟูร่างกายเสียหน่อย พวกเขาก็ยังสามารถต่อสู้กับสัตว์ร้ายในครั้งต่อไปได้

หัวหน้าทหารกองเจ็ดแบกนักโทษที่หมดสติสองคน ส่วนหลิงเยว่นั้นถูกหัวหน้ากองที่สิบเอ็ดอุ้มไว้ราวกับองค์หญิง ส่วนหัวหน้ากองอีกสองคนก็นำทาง มุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมือง

หลิงเยว่ที่กลับมาถึงเมืองฮั่วหยาง แทบจะหมดสติลงเสียตรงนั้น แต่กลิ่นตัวของนางไม่พึงประสงค์เอาเสียเลย

“แหวะ…”

ซูซวงยืนมองอย่างสนุกสนานอยู่ข้าง ๆ

“เร็วเข้า ลบกลิ่นบนตัวข้าออกไปเร็วเจ้าค่ะ!!!”

หลิงเยว่มีดวงตาแดงก่ำ ลำคอนางร้อนราวกับไฟ เสียงที่เปล่งออกมาจึงแหบพร่า

“เหยื่อที่ถูกงูเหลือมลายจุดน้ำตาลทำเครื่องหมายด้วยน้ำลายไม่สามารถลบออกได้ในระยะเวลาชั่วคราว”

หลิงเยว่ “!!!”

หึ! นางไม่เชื่อหรอก!

นางรีบค้นหาตำรับโอสถในหัว แต่ยังไม่ทันได้อ่านอย่างละเอียด คำพูดต่อมาของซูซวงที่เต็มไปด้วยความสะใจก็ตามมา

“ผ่านไปครึ่งเดือน มันก็จะหายไปเอง”

นางต้องทนอยู่กับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไปอีกครึ่งเดือนเช่นนั้นหรือ? ไม่! หลิงเยว่รับไม่ได้ มันต้องมีหนทางแก้ไข

ไม่ช้า ตำรับโอสถอาหารวิญญาณในหัวก็พลันขึ้นมาให้ความหวังแก่นาง

“พาข้ากลับไปยังจุดที่พบศพงูเหลือมลายจุดน้ำตาลเดี๋ยวนี้!” หลิงเยว่ดึงแขนซูซวงแล้วรีบวิ่งออกไปจากประตูเมือง

โอสถรักษาอยู่ที่ตัวงูยักษ์ ทั้งไม่ใช่ถุงน้ำดี ไม่ใช่เนื้องู และไม่ใช่เลือด แต่มันคือหนังงู เพียงกินหนังงู กลิ่นเหม็นบนร่างกายก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว

ซูซวงมีความอดทนกับหลิงเยว่มากนัก เพราะนางอยากเห็นว่าหลิงเยว่จะกำจัดกลิ่นเหม็นบนร่างกายของตนได้อย่างไร?

ทั้งสองมาช้าไปก้าวหนึ่ง งูเหลือมที่นอนตายอยู่นั้นถูกสัตว์อสูรที่เดินผ่านมากิน จนแยกชิ้นส่วนไม่ออกเสียแล้ว

ทว่าโชคดีที่สัตว์อสูรไม่กินหนังงู พวกมันเพียงฉีกเนื้อหนังจนขาดแล้วกองไว้ข้าง ๆ หลิงเยว่กลั้นอาการคลื่นไส้ไว้ แล้วเริ่มเก็บหนังงูออกมา ซูซวงเห็นดังนั้นจึงปิดจมูกพลางถอยหลบออกไปอยู่ไกล

“เจ้าจะเอาของที่ขาดวิ่นเหล่านี้ไปทำสิ่งใด?”

“กินเจ้าค่ะ”

เพียงคำเดียวก็ทำให้ซูซวงแข็งค้างกลายเป็นหิน กินอย่างนั้นหรือ?

เสี่ยวชิงเกลียดชังพญางูเหลือมลายจุดสีน้ำตาลที่ทำให้ตนมีกลิ่นเหม็นจนถึงขั้นอยากจะกินเข้าไปให้สิ้นซากเลยหรือ?

จะกินลงได้อย่างไร?

“หากเจ้าอยากกิน ข้าจะพาเจ้าไปล่าตัวใหม่ดีหรือไม่”

หนังของงูเหลือมลายจุดน้ำตาลเป็นวัสดุชั้นดีสำหรับการทำเกราะอ่อน แต่ไม่เคยมีผู้ใดคิดจะกินหนังของมัน หลิงเยว่เป็นคนแรก และนางก็จำใจอย่างที่สุด ที่จะต้องดมกลิ่นเหม็น ๆ นี้ไปอีกครึ่งเดือน ช่างทรมานราวกับว่าจะเอาชีวิตของนางไปเสียให้ได้!

การล่างูเหลือมลายจุดน้ำตาลที่สดใหม่นั้นย่อมใช้เวลานาน ทว่านางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!

“พาข้ากลับไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ไหวแล้ว”

ซูซวงนิ่งอึ้งไป มันมีเพียงแค่กลิ่นเหม็นเล็กน้อยเท่านั้นไม่ใช่หรือ? หลังจากปิดกั้นการรับรู้กลิ่นด้วยพลังปราณแล้ว นางก็พาหลิงเยว่บินกลับเข้ามาในเมือง

หลิงเยว่เทกองหนังงูที่ฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ ลงในอ่างน้ำขนาดใหญ่ พลันขัดถูทำความสะอาด จากนั้นหั่นหนังงูเป็นเส้นยาวเกือบเท่าสองนิ้วมือประกบกัน บางชิ้นของหนังงูยังมีรอยเขี้ยวสัตว์อสูรปรากฏอยู่ แต่หลิงเยว่ไม่ได้สนใจนัก

นางขัดล้างอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งหนังงูสีน้ำตาลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวจาง ๆ หลิงเยว่จึงได้เทเครื่องปรุงรสที่เตรียมไว้ลงไปทีเดียว แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน

จากนั้นก็นำกระทะเหล็กใบใหญ่ขึ้นตั้งไฟ เตรียมทอดหนังงู

“โอ้! กลิ่นตัวของท่านรองเจ้าเมืองช่างเหม็นนัก!”

ฝูงชนที่มุงดูอยากรู้ว่าหลิงเยว่กำลังทำสิ่งใด แต่เมื่อเข้าไปใกล้ กลิ่นของนางก็ทำให้พวกเขาต้องล่าถอย

“อึก!… ไม่นะ!”

“ข้าไปก่อนนะ โอ้ก!…”

แม้อีกฝ่ายจะวิ่งหนีไปไกลแล้ว แต่เสียงอาเจียนก็ยังลอยมาให้ได้ยินอีก

คนเหล่านี้ช่างไม่มีมารยาทเสียจริง!

หลิงเยว่หน้าบึ้งตึง โดยไม่ปริปากบ่น แล้วนำหนังงูที่หมักไว้ลงในไข่ จากนั้นก็คลุกแป้ง แล้วจึงนำไปทอดในกระทะ

ฉ่า!

กลิ่นหอมฟุ้งกระจายทันที แต่ก็ยังไม่สามารถกลบกลิ่นเหม็นจากตัวนางได้ ทั้งถนนจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นและกลิ่นหอมคละเคล้ากันไป ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากกินและอยากอาเจียนในเวลาเดียวกัน ช่างน่าสับสนเหลือเกิน

หนังงูเส้นแล้วเส้นเล่าลอยขึ้นมาจากกระทะ หลิงเยว่พลิกกลับอย่างใจเย็น จากนั้นหนังงูที่ขาวซีดก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีเหลืองทอง

หลิงเยว่ตักหนังงูที่ทอดเสร็จแล้วขึ้นมาจากกระทะ นางไม่มีเวลาแม้แต่จะรอให้น้ำมันสะเด็ด และไม่สนใจว่าจะร้อนเพียงใด นางหยิบหนังงูขึ้นมาเป่า แล้วรีบยัดเข้าปากทันที

“กรอบ กรอบ”

ทันทีที่หนังงูทอดกรอบเข้าปากและถูกเคี้ยวจนละเอียด จมูกของหลิงเยว่ก็เหมือนจะไม่ได้กลิ่นเหม็นที่โชยออกมาจากตัวของนางแล้ว แต่จากปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้าง ก็แสดงว่ากลิ่นเหม็นยังคงอยู่

ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังงูทอดจะอร่อยเพียงนี้ ด้านนอกมีกลิ่นหอม รสชาติเค็ม กรอบ ส่วนหนังงูมีสัมผัสคล้ายวุ้น กัดแล้วกลายเป็นน้ำแกงที่มีรสชาติเข้มข้น ราวกับว่าเอาน้ำแกงงูที่ต้มจนได้ที่ มาห่อด้วยแป้งไข่แล้วทอด เกิดเป็นกลิ่นหอมติดปาก ปราณธาตุดินพลันกระจายไปทั่วร่างกาย

ยอดไปเลย!

สีหน้าซีด ๆ ของหลิงเยว่พลันดูดีขึ้น นางหยิบหนังงูทอดอีกชิ้นขึ้นมากินอย่างเพลิดเพลิน

เสียงกรอบแกรบและสีหน้าที่เปี่ยมสุขของหลิงเยว่ ทำให้ซูซวงที่เฝ้าดูอยู่อดขมวดคิ้วไม่ได้ นางคิดอยากกินอยู่เหมือนกัน… แต่พอหวนนึกถึงหนังงูที่ถูกสัตว์อสูรฉีกขาด แล้วทิ้งไว้ข้างทาง ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก ความอยากกินที่มีอยู่ก็มลายไปในทันที

หลังจากที่กินหนังงูทอดไปสิบชิ้น กลิ่นเน่าอันไม่พึงประสงค์บนร่างของหลิงเยว่ก็หายไป บริเวณรอบข้างนั้นก็ไม่เหลือกลิ่นเหม็นอีกต่อไปแล้ว แต่กลับมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนของทอดลอยมาแทน

พวกชาวเมืองที่วิ่งหนีไปไกล เมื่อได้กลิ่นของกินแล้วจึงวิ่งกลับมา

“ท่านรองเจ้าเมืองน้อย ท่านกินสิ่งใดอยู่ ขอข้าชิมหน่อยได้หรือไม่?”

“หอมนัก เพียงได้กลิ่นก็น้ำลายสอแล้ว”

“อาหารนี้อร่อยหรือไม่ ท่านรองเจ้าเมืองน้อย”

พวกเขาลืมตอนที่ตัวเองวิ่งหนีพร้อมกับอาเจียนไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ

หลิงเยว่มีท่าทีฮึดฮัด จงใจกินหนังงูทอดเสียงดัง ใบหน้าของเธอดูมีความสุขยิ่งนัก พร้อมกับบรรยายรสชาติอย่างละเอียด

ทุกคนเบิกตากว้าง ตกตะลึงกับสิ่งที่หลิงเยว่อธิบาย

นั่นมันอร่อยถึงเพียงใดกัน!

“พี่เสี่ยวชิง ข้าเองก็อยากกินบ้าง”

หลิงเยว่ก้มลงมอง เห็นเด็กหญิงตัวน้อยวัยสามขวบโอบขานางอยู่ ตอนนี้แหงนหน้ามองพลางทำตาละห้อย… ในมือหลิงเยว่กำลังถือหนังงูทอดที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง นางจึงโยนส่วนที่เหลือเข้าปากต่อหน้าเด็กหญิงตัวน้อย ด้วยคิดว่าเด็กน้อยจะร้องไห้ แต่กลายเป็นว่าน้ำลายในปากของเด็กน้อยคนนั้นไหลออกมาแทน

ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด น้ำลายไหลออกมาราวกับสายน้ำ ลงมาเปียกชุดที่เด็กคนนั้นใส่อยู่ทันที

“กินนิดเดียวก็ได้ แค่เลียก็พอเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยทำหน้าเว้าวอน

“พี่เสี่ยวชิง ให้ข้าคำหนึ่ง”

“พี่เสี่ยวชิง…”

เพียงชั่วครู่ ขาของหลิงเยว่ก็มีเด็กน้อยมาห้อยโหนอยู่หลายคน น้ำลายของเด็กน้อยไหล จนทำให้กระโปรงผ้าโปร่งของนางเปียกชุ่ม เมื่อขาไม่มีที่เกาะแล้ว เด็กที่ตัวสูงหน่อยก็โอบเอวนาง ส่วนเด็กที่สูงไม่ถึงก็เกาะแขนเสื้อแทน

สำหรับกลุ่มจอมจุ้นจ้านตัวน้อย ทำให้หลิงเยว่ไม่สามารถปฏิเสธได้ลง ทว่า… มีบางคนที่เป็นเด็กน้อยธรรมดา บางคนมีแก่นปราณแต่ยังไม่สามารถนำพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้ จึงไม่เหมาะที่จะกินเนื้อสัตว์อสูรในตอนนี้

หลิงเยว่จึงไม่มีทางอื่น นอกเสียจากจำเป็นต้องเอาไก่ธรรมดาที่เตรียมไว้จากถุงเก็บของออกมาทอดให้พวกเขากิน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท