ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 119 บังคับซื้อบังคับขาย พฤติกรรมของโจรโดยแท้!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 119 บังคับซื้อบังคับขาย พฤติกรรมของโจรโดยแท้!

บทที่ 119 บังคับซื้อบังคับขาย พฤติกรรมของโจรโดยแท้!

“เมืองฮั่วหยาง รีบเปิดกลไกป้องกันให้พวกข้าเข้าไป!”

กลุ่มผู้บำเพ็ญที่เดินทางมาถึงกลุ่มแรกมองกลไกป้องกันเมืองขนาดใหญ่ด้วยความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม… เมืองฮั่วหยางที่โด่งดังเรื่องความยากจน กลับมีเงินจ้างคนมาจัดเตรียมกลไกอันใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร

“ค่าผ่านทางเข้าเมือง คนละหนึ่งร้อยหินวิญญาณ พร้อมด้วยสัตว์อสูรหนึ่งตัว!”

ช่างไร้ยางอายเสียจริง!

เมื่อก่อนค่าผ่านทางเข้าเมืองเพียงคนละห้าหินวิญญาณเท่านั้น

ตอนนี้ไม่เพียงจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แต่ยังต้องเพิ่มสัตว์อสูรหนึ่งตัวอีกด้วยหรือ?

หากจะทำเช่นนี้ พวกเขาไปปล้นไม่ดีกว่าหรือ

เหลยซายังคงกล่าวต่อไปว่า “สำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์จะจ่ายด้วยหินวิญญาณเพียงแค่เก็บสัตว์อสูรหนึ่งหรือสองตัวที่อยู่ด้านนอกนั้นมาแลกแทน ส่วนผู้ที่ไม่มีแรงออกไปเก็บสัตว์อสูร จ่ายคนละห้าร้อยหินวิญญาณ นอกเหนือจากสัตว์อสูรที่ต้องส่งเป็นค่าผ่านทางแล้ว สัตว์อสูรที่เก็บเพิ่มได้หนึ่งตัว จะมีมูลค่าตั้งแต่ห้าร้อยถึงหนึ่งแสนหินวิญญาณ ขึ้นอยู่กับประเภทและสัตว์อสูรที่อยู่นอกเมืองนั้นถูกทำเครื่องหมายไว้หมดแล้ว”

สัตว์อสูรชั้นต่ำที่นอนตายเรียงรายอยู่บนพื้นจำนวนมาก ล้วนถูกทำเครื่องหมายโดยท่านรองเจ้าเมืองอี้เหิง ผู้มีพลังอยู่ในขอบเขตบำเพ็ญเต๋าแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถแอบซ่อนหรือขโมยเอาไปได้ เหล่าผู้บำเพ็ญที่พลังมากกว่าขอบเขตบำเพ็ญเต๋านั้น ยิ่งไม่สนใจสัตว์อสูรระดับต่ำ ดังนั้นการ กระทำครั้งนี้จึงมุ่งเป้าไปที่ผู้บำเพ็ญที่มีพลังต่ำ ยากจนและมีจิตใจชั่วร้าย

หากพวกเขามีคนมากพอ พวกเขาก็คงไม่อยากให้กลุ่มผู้บำเพ็ญนอกเมืองเหล่านี้มาแตะต้องของของพวกเขาเช่นกัน

เหล่าผู้บำเพ็ญที่รออยู่ข้างนอกได้ยินอย่างนั้นแล้ว ต่างก็อยากจะกรูกันเข้ามาหั่นเหลยซาออกเป็นแปดชิ้น!

แต่สุดท้ายก็ต้องจำยอม เพราะพวกเขาไม่ต้องให้ลงมือฆ่าสัตว์อสูรให้เปลืองแรง เพราะแค่เก็บซากสัตว์อสูรเพียงหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น

แต่ทว่าในสภาพอากาศที่ร้อนจนแทบละลายแบบนี้ พวกเขาไม่อยากจะขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว เหล่าผู้บำเพ็ญที่ร่ำรวยจึงเลือกที่จะจ่ายด้วยหินวิญญาณ ส่วนผู้บำเพ็ญที่ยากจนก็จำต้องไปเก็บสัตว์อสูร

เหลยซา มองไปที่ถุงเก็บของที่เริ่มเต็มไปด้วยหินวิญญาณแล้ว ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ ไม่คิดว่าการได้มาซึ่งหินวิญญาณนั้นจะง่ายดายถึงเพียงนี้ สมกับเป็นความคิดอันชาญฉลาดของเสี่ยวชิง

กลุ่มแรกที่ถูกปล่อยเข้ามายังได้เพลิดเพลินกับอุณหภูมิที่แตกต่างจากข้างนอก ร่างกายจึงสดชื่นราวกับจะนอนแผ่บนพื้นให้อิ่มหนำเสียให้ได้

ผู้มาเยี่ยมชมที่เคยมาเมืองฮั่วหยาง ต่างพากันตกใจจนแทบถลนเมื่อได้เห็นเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

นี่มันยังเป็นเมืองฮั่วหยางอยู่หรือ?

ยิ่งกว่านั้น กลิ่นอะไรช่างหอมหวนเช่นนี้ ท้องข้าเริ่มหิวขึ้นมาทันที

“ท่านผู้บำเพ็ญ จะพักที่นี่หรือไม่ขอรับ?”

“ท่านผู้บำเพ็ญ ที่พักของเรามีห้องสำหรับบำเพ็ญด้วยนะขอรับ อาหารการกินก็มากกว่าที่อื่น ราคาไม่แพง ท่านอยากจะไปหรือไม่?” พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเชิญชวน โดยไม่ลืมที่จะโจมตีคู่แข่งของตนเอง พลางพูดจาถามไถ่ แต่ก็อาศัยฐานะเป็นผู้บำเพ็ญในขอบเขตสร้างรากฐานที่ตนเองมีอยู่ พาเหล่าผู้บำเพ็ญที่เข้ามาใหม่ไปยังที่พักของตน

ผู้บำเพ็ญที่ถูกพาตัวไปต่างก็เกิดอาการตื่นตระหนก แต่ก็เห็นว่าผู้คนอื่น ๆ ก็ล้วนมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรกับตน ในไม่ช้ากลุ่มแรกก็ถูกพาตัวไปจนหมดสิ้น

หลิงเยว่ที่เฝ้าดูตั้งแต่ต้นจนจบก็อ้าปากค้าง นางแค่ให้เขาพูด ไม่ได้ให้พูดพร้อมกับลงมือทำด้วยนี่!

แบบนี้มันรุนแรงเกินไป หากทำให้ผู้บำเพ็ญที่ตามมาภายหลังตกใจกลัวจะทำอย่างไร?

หลิงเยว่เดินตามหลังเซี่ยงหมิงไป ก่อนจะหลบอยู่ข้าง ๆ เพื่อเฝ้าดู

“ท่านผู้บำเพ็ญต้องการไปพักผ่อนหรือจะรับประทานอาหารก่อนหรือ?”

“ต้องการพักผ่อน…”

“อ้าว… ต้องการจะรับประทานอาหารก่อนเช่นนั้นหรือ? ได้เลย ท่านรอสักครู่”

เซียงหมิงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ยอมให้ผู้บำเพ็ญที่ลากตัวมามีโอกาสได้พูด เอาแต่ตัดสินใจแทนพวกเขา หรือจะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะข้าง ๆ มีหญิงสาวผู้หนึ่งที่มองไม่ออกว่าระดับการบำเพ็ญของนางอยู่ระดับใดที่ดูแลพวกเขาอยู่

นี่มันเป็นการบังคับซื้อบังคับขาย พฤติกรรมของโจรโดยแท้!

หลิงเยว่มองไปยังโรงเตี๊ยมข้าง ๆ พบว่าทุกแห่งล้วนเป็นแบบเดียวกัน หลิงเยว่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่ก็รู้สึกเห็นใจเหล่าผู้บำเพ็ญที่ตัวสั่นเทา อยากต่อต้านแต่ก็ไม่สามารถทำได้

ไม่นานนัก อาหารก็ถูกนำออกมาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง

เซียงหมิงมีฝีมือในการทำซาลาเปาเป็นพิเศษ ดังนั้นบนโต๊ะจึงเต็มไปด้วยซาลาเปาหลากสีสัน ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก มีไส้แตกต่างกันไปและนอกจากนี้ เธอยังมีน้ำใจนำเครื่องเคียงแสนอร่อยอย่างยำผักรสเปรี้ยวเผ็ดและน้ำต้มกระดูกสัตว์หม้อใหญ่มาให้ด้วย

“มีแค่… ซาลาเปาหรือ?” ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งถามอย่างระมัดระวังพร้อมกับกลืนน้ำลาย

เขาไม่มีตากระนั้นหรือ?

เซียงหมิงบ่นอยู่ในใจพรางชี้ไปที่ยำผักและน้ำแกง “ท่านไม่เห็นหรือว่ายังมีน้ำแกงและเครื่องเคียงอยู่”

“อ๋อ จริงด้วย ทั้งหมดห้าร้อยหินวิญญาณ จ่ายเงินก่อนนะขอรับ”

เหล่าผู้บำเพ็ญ “…”

ชัดเจนว่าเป็นการปล้นกันอย่างโจ่งแจ้ง ซาลาเปานี้ถึงจะทำอย่างประณีตและมีหลากหลายแบบ แต่ก็ไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายห้าร้อยหินวิญญาณหรอก

ห้าหินวิญญาณยังจะสมเหตุสมผลกว่า!

ผู้บำเพ็ญที่อาวุโสกว่าจ่ายหินวิญญาณไปอย่างไม่เต็มใจนัก เดิมทีคิดว่าเท่านี้จะพอแล้วกระมัง

คงจะปล่อยให้พวกเขาไปพักผ่อนได้แล้ว

แต่ภรรยาของเซียงหมิงที่อยู่ข้าง ๆ กลับเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ได้ ต้องกินก่อนถึงจะไปพักได้!”

ซาลาเปาพิเศษเหล่านี้สามีของนางตั้งใจทำทั้งคืน พวกคนเหล่านี้ช่างไม่รู้คุณค่า วันนี้หากผู้ใดไม่กิน ก็อย่าคิดจะก้าวออกจากร้านซาลาเปานี้ไป!

ต้องบอกว่าสามีภรรยาคู่นี้ช่างเข้ากันจริง ๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญจึงทำได้เพียงกลั้นน้ำตา หยิบซาลาเปาขึ้นมากัดกิน

“!!!”

ซาลาเปามีเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟู กัดกินทั้งแป้งและไส้พร้อมกัน กลิ่นหอมฟุ้งเต็มปากแถมยังฉ่ำอีกด้วย อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ… ที่สำคัญคือพลังและปราณที่สูญเสียไปในร่างกายก็กลับคืนมาไม่น้อยเลย

“นี่คือ… ซาลาเปาอะไรกัน?”

ผู้บำเพ็ญอาวุโสที่กินเข้าไปเป็นคนแรกและก็เป็นคนแรกที่ถาม ชำเลืองมองซาลาเปาที่ตัวเองกัดไปคำใหญ่ จากนั้นก็เงยหน้ามองเจ้าของร้านที่คางแทบจะชี้ฟ้า

“นี่คือซาลาเปาไส้พิเศษ เป็นอย่างไร อร่อยจนไม่รู้สึกขาดทุนเลยใช่หรือไม่?” เซียงหมิงพูดด้วยสีหน้าระรื่น จากนั้นก็ชี้ไปที่ซาลาเปาสีสันต่าง ๆ ที่อยู่ถัดไป “ที่เจ้ากินอยู่นี่คือไส้หมูล้วน อันนี้เป็นไส้ผัก ส่วนนี่ไส้ผสม และนั่นไส้หวาน…”

หลิงเยว่มองดูบรรยากาศที่หอมกรุ่นแบบนี้อย่างไรก็ไม่เบื่อ โดยเฉพาะท่าทางของผู้คนที่จำใจกินพร้อมกับความรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย แต่หลังจากได้กินเข้าไปแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างน่าดู ชมไม่รู้เบื่อ

หลิงเยว่เดินจากไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

ถูกต้องแล้ว หากต้องการให้ผู้บำเพ็ญอดอาหารอยู่รับประทาน จำเป็นต้องใช้วิธีบังคับตั้งแต่แรก จนกว่าพวกเขาจะติดใจแล้วพวกเขาก็จะไม่ขัดขืนอีก หลิงเยว่เข้าใจแล้ว

ตอนนี้ในร้านขายของชำสำหรับอาหารขนาดใหญ่ยังคงเงียบเหงาอยู่ เห็นทีจะต้องให้เจ้าหน้าที่ไปเรียกลูกค้าที่หน้าประตูเมืองแล้ว ว่าแต่กลุ่มผู้บำเพ็ญเหล่านี้มาช้าเหลือเกิน

ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว มีเพียงผู้บำเพ็ญในละแวกใกล้เคียงที่มาเท่านั้น ผู้ที่อยู่ไกลกว่านั้นยังไม่ปรากฏตัว ส่วนพวกพ้องของนางก็ยังไม่มาด้วย หรือว่าถอยหนีไปแล้วเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงเกินไป

ไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ ด้วยอาหารเลิศรสมากมายเหล่านี้ต่างพากันเชื้อเชิญพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่มาได้

เพียงแต่ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ ‘สัตว์เทพจุติ’ นี้จะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน ซูซวงและชิงยวนสองแม่ทัพใหญ่ก็ยังไม่กลับมา หลิงเยว่ก็พลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี

ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการ แต่เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ามันราบรื่นเกินไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้เมื่อได้เห็นเมืองฮั่วหยางที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย กลับไม่มีผู้ใดแสดงท่าทีโต้แย้งหรือคัดค้านใด ๆ แม้แต่ตอนที่ถูกพาตัวไปและถูกบังคับให้ซื้อของ พวกเขาก็ไม่พยายามต่อต้าน แต่กลับยินยอมอดทน ซึ่งต่างจากผู้บำเพ็ญที่นางเคยรู้จักซึ่งมักจะลงมือทันทีหากไม่พอใจ

หลิงเยว่ครุ่นคิดไปพลางเดินไป เมื่อผ่านร้านขายสัตว์อสูรย่าง นางก็หยิบสัตว์อสูรย่างที่สุกดีแล้วมาหนึ่งกำมือโดยไม่ลังเล

ฮั่วเยี่ยนที่กำลังย่างสัตว์อสูรอยู่อย่างเพลิดเพลิน เมื่อเห็นว่าของหายไปจึงมีน้ำโหขึ้นมา ทว่าเมื่อเห็นหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีดำที่กำลังเดินไปกินไปผู้นั้น ก็พลันหายโกรธทันที ท่านรองเจ้าเมืองผู้มีพระคุณ จะกินสัตว์อสูรย่างของตนอีกกี่ไม้ก็ย่อมได้

แสงสีแดงส่องผ่านเข้ามาในเมืองฮั่วหยาง แม้จะถูกปกคลุมด้วยม่านพลังอาคมก็ตาม ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีดำยามค่ำคืน กลับถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ยิ่งเวลาล่วงเลย สีแดงก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นจนแทบแยกไม่ออกว่านี่คือกลางวันหรือกลางคืน

ดินแดนทางตอนเหนือที่แสนทุรกันดารนี้ความร้อนตอนกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก ครานี้อากาศแปรปรวนมิได้ลดลงเลย กลับร้อนอบอ้าวเสียยิ่งกว่าเก่า

หลิงเยว่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีชาด มือไม้อ่อนแรงลงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ นางรู้สึกราวกับว่ากำลังจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่อยู่นอกเหนือจากแผนการ และไม่อาจคาดเดาได้กำลังจะเกิดขึ้น

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท