บทที่ 125 มนุษย์ช่างไร้ค่าสิ้นดี!
บทที่ 125 มนุษย์ช่างไร้ค่าสิ้นดี!
เมื่อเข้าใกล้วังอีกาสุริยัน หลิงเยว่ก็เริ่มรู้สึกทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ
ร้อนเหลือเกิน ร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว!
ทุกอย่างดูบิดเบี้ยวไปหมด ลำพังตัวนางเองก็ยังรู้สึกอ่อนแรงถึงเพียงนี้ หากว่าจะเข้าไปตามหาเจ้าไข่ฟองนั้น คงไม่พ้นกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างแน่นอน
“หัวหน้า มนุษย์นางนี้ไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรดี โยนนางทิ้งไปเลยดีหรือไม่?”
ผู้คุ้มกันตะขาบหมายเลขสี่พูดจาโหดเหี้ยม คิดจะเตะหลิงเยว่ลงไป ทว่าขาของมันยังไม่ทันขยับ กลับถูกหัวหน้าตะขาบเตะออกไปเสียก่อน
“เจ้าโง่! ถ้าเจ้าโยนนางทิ้ง แล้วพวกเราจะออกไปได้อย่างไร!”
ทางออกของเขตแดนลับมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ออกไปได้ เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ด้านใน หากอยากจะออกไป จำต้องอาศัยมนุษย์เท่านั้น!
“หัวหน้า ในเขตแดนลับมีมนุษย์เยอะแยะ หากนางผู้นี้ตายไป เราก็เอาคนอื่นมาแทนได้ ท่านถึงกับเตะข้าเพียงเพราะมนุษย์นางหนึ่งเลยหรือ!” ผู้คุ้มกันหมายเลขสี่ที่บินกลับมาแสดงความน้อยใจ
“เจ้าลองเปลี่ยนหัวใหม่เสียดีไหม ช่างโง่เขลานัก!” หัวหน้าตะขาบมองสหายของตนด้วยสายตาเหยียดหยาม เท้าขนาดเล็กนับไม่ถ้วนถีบตะขาบหมายเลขสี่อย่างแรง
ก็เพราะมนุษย์ผู้เปราะบางนางนี้ไม่ใช่หรือ ที่สามารถเข้าออกเขตอาคมที่กักขังพวกมันมานานหลายพันปีได้อย่างง่ายดาย และพวกมันก็ไม่สามารถละทิ้งนางไปได้ นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีเขตอาคมของมนุษย์ผู้นั้นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง หากต้องการบินไปมาได้อย่างอิสระ จำต้องพึ่งพาเจ้ามนุษย์ผู้นี้เพียงเท่านั้น!
ตะขาบผู้คุ้มกันหมายเลขสี่หดตัวเป็นก้อน กอดหัวตัวเองไว้ รู้สึกน้อยใจจนแทบจะร้องไห้
ขณะเดียวกัน หลิงเยว่ก็รู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งสู่ห้วงมืด และหายใจไม่ออก เพียงไม่นาน ตัวของนางก็ถูกของเหลวที่ทั้งเย็นและเหนียวห่อหุ้มร่างเอาไว้ ทำให้สมองของนางเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง
พอหลิงเยว่ลืมตาขึ้น จึงพบว่า… เจ้าตะขาบหมายเลขสี่นั้นกำลังพ่นน้ำลายใส่นาง ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ช่วยนางจากเปลวไฟอันร้อนระอุนี้ได้คือน้ำลายของตะขาบ
หลิงเยว่ “…”
หากไม่ใช่เพราะในน้ำลายนี้ มีกลิ่นหอมของพืชพรรณและไม่มีกลิ่นเหม็นปะปนมาด้วย เห็นทีนางคงเป็นบ้าไปแล้ว ไม่สิ! ต้องเรียกว่าคงจะคลั่งจนล้มพับไปแล้วเป็นแน่!
หลิงเยว่เกลียดน้ำลายยิ่งนัก แต่คราวนี้นางกลับรอดมาได้เพราะน้ำลายเช่นนี้!
“ท่านหัวหน้า มนุษย์ผู้นี้รังเกียจน้ำลายของข้า! ข้าไม่พ่นให้แล้ว!”
“ข้าไม่ได้รังเกียจ” หลิงเยว่ฝืนยิ้มก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “ขอบใจ”
หากเปลี่ยนวิธีได้ หรือไม่ให้เห็นตอนที่กำลังพ่นน้ำลาย หลิงเยว่คงจะยอมรับได้ง่ายกว่านี้
ผู้คุ้มกันตะขาบหมายเลขสี่เอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส “ถือว่าเจ้ามนุษย์คนนี้ยังรู้จักมารยาท น้ำลายของพวกข้าเผ่าตะขาบเขียวมรกตนั้นล้ำค่านัก ในอดีตพวกนักกลั่นโอสถระดับบรรพจารย์จากโลกผู้บำเพ็ญเซียนของเจ้า ยังต้องคุกเข่าก้มหัวร้องขอน้ำลายจากพวกข้าอยู่เลย!”
จริงหรือ? แต่เหตุใดหลิงเยว่ถึงไม่รู้สึกเชื่อเช่นนั้นเล่า?
ทว่าเมื่อถูกของเหลวนั้นห่อหุ้มไว้เช่นนี้ นางกลับรู้สึกสบายตัวอย่างไร้ซึ่งความทุกข์ทรมาน ทั้งสามารถแยกแยะความร้อนได้ แล้วยังช่วยฟื้นฟูพลังวิญญาณได้อีกด้วย หากมองข้ามเรื่องที่ของเหลวนี้คือน้ำลาย ก็นับว่าเป็นของวิเศษอย่างแท้จริง…
หากนักกลั่นโอสถต้องการเช่นนั้น เมื่อใดที่นางล่อลวงเอาตัวผู้คุ้มกันตะขาบมรกตเหล่านี้มาได้ นางจะมอบให้แก่ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่และเหล่าพวกพ้อง พวกเขาคงจะดีใจมิใช่น้อยเลยใช่หรือไม่?
การได้เข้ามาในเขตแดนลับแล้วยังไม่ได้สิ่งใดที่วิเศษก็ช่างเถิด หลิงเยว่มัวแต่หนีเอาตัวรอดมาตลอด ในที่สุดนางก็ได้สิ่งของวิเศษชิ้นหนึ่งที่สามารถนำไปอวดโฉมได้เสียที!
“ขอบใจ เจ้าช่างดีต่อข้าเหลือเกิน!”
หลิงเยว่ไม่สนใจรูปโฉมอันน่าเกลียดของผู้คุ้มกันตะขาบหมายเลขสี่ นางรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก จนต้องโผเข้ากอดมัน
“เจ้ามนุษย์ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ตัวเจ้ามันสกปรก!”
เพิ่งจะกล่าวสรรเสริญน้ำลายของตนเองว่าเป็นของวิเศษไปเมื่อครู่ แต่เมื่อถูกหลิงเยว่โผเข้ากอด มันกลับร้องด้วยความตกใจแล้วรีบหนีไปทันที เห็นได้ชัดว่ารังเกียจน้ำลายของตนเองเสียแล้ว
หลิงเยว่ “…”
ช่างเถิด ตราบใดที่นางไม่รังเกียจก็พอแล้ว
ยิ่งเข้าใกล้เขตวังอีกาสุริยันมากเท่าไหร่ หลิงเยว่ก็เริ่มมองเห็นวังได้ชัดเจนขึ้น ทำให้นางยิ่งรู้สึกตกตะลึงกับรูปลักษณ์ที่งดงามและยิ่งใหญ่
ทั่วทั้งร่างของนกตัวนั้นเป็นสีแดงเพลิงร้อนแรง ไร้ที่ติ ดวงตาสีทองเจิดจรัส ฉายแววเฉลียวฉลาดยิ่งนัก หางเพลิงทั้งหกพลิ้วไหวตามแรงลม แม้จะมีขาสามข้าง แต่นั่นไม่ได้ส่งผลต่อความสง่างามอันน่าเกรงขามของมันให้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย อีกทั้งรู้สึกราวกับว่ามันมีชีวิตจริงเสียด้วย!
นับว่าเป็นฝีมืออันประณีตของมนุษย์โดยแท้!
“หัวหน้า ข้าได้กลิ่นนกแล้ว เจ้าห้ารีบบินเข้าไปเถิด!”
ตะขาบผู้คุ้มกันตัวที่สองซึ่งนอนหลับอยู่พลันตื่นขึ้น ส่วนผู้คุ้มกันตัวที่สามก็ถึงกับน้ำลายไหลย้อย จนหลิงเยว่ต้องรีบเอาขวดโอสถมารองรับน้ำลายตะขาบนั้นไว้โดยไม่รู้ตัว
เมื่อตะขาบมรกตเห็นเช่นนั้น “…”
พวกมนุษย์นับว่ามีคุณธรรมเสียจริง แม้แต่น้ำลายของพวกตนก็ยังไม่เว้น ช่างไร้ค่าสิ้นดี!
หลิงเยว่บรรจุน้ำลายตะขาบมรกตได้หลายขวด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ค่อย ๆ บรรจงเก็บใส่แหวนมิติอย่างระมัดระวัง
“ทางเข้าอยู่ที่ปากของมัน เจ้าห้าบินเข้าไปเลย!” หัวหน้าตะขาบกล่าวอย่างตื่นเต้น
ปากของนกสามขาถูกประดับด้วยลูกแก้วสีแดง โดยมีเปลวไฟสีทองที่กำลังสั่นไหวอยู่ภายในด้วยหวังจะครอบครอง หลิงเยว่จึงเอื้อมมือออกไป แต่กลับถูกหัวหน้าตะขาบมรกตผู้คุ้มกันตบในทันที
“หากไม่มีลูกแก้วแล้ว วังนี้จะต้องพังทลายลงมาอย่างแน่นอน!”
“หัวหน้า ท่านยกย่องมนุษย์ตัวน้อยนี้มากเกินไปแล้ว ไหนเลยนางจะขยับเขยื้อนลูกแก้วนี้ได้ ขนาดพวกเราทั้งห้าร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจทำได้เลย”
เมื่อหลิงเยว่ถูกตะขาบมรกตหมายเลขสามดูถูกเช่นนี้ มุมปากนางพลันกระตุก อยากจะหาโอกาสพิสูจน์ตนเองเสียจริง!
เริ่มต้นจากไข่ฟองนั้นก่อนเลย!
“ระบบ ไข่ฟองนั้นดูมีฤทธิ์นัก ข้าควรใช้วิธีใดจึงจะจับมันมาได้เล่า”
[ม้วนคัมภีร์สัญญาศักดิ์สิทธิ์ : สามารถทำสัญญากับสัตว์เทพตนใดก็ได้ อัตราความสำเร็จ 100% ราคาเดิมหนึ่งหมื่นล้านค่าพลังวิญญาณ ลดราคาเหลือหนึ่งพันล้านค่าพลังวิญญาณ]
ลดราคาให้ด้วยหรือ? เหตุใดระบบถึงใจดีเช่นนี้เล่า?
คงไม่มีกลลวงใดซ่อนอยู่กระมัง?
สิ่งอื่นที่หลิงเยว่เคยคิดว่าแพงนักหนา แต่สำหรับม้วนคัมภีร์ที่สามารถทำสัญญากับสัตว์เทพได้เช่นนี้ ถือเป็นของที่คุ้มค่านัก!
“เจ้าลดราคาให้ข้าจริงหรือ มิได้หลอกลวงข้าใช่หรือไม่”
[ไม่]
“เช่นนั้น ข้าจะซื้อแบบแบ่งจ่าย!”
ช่างเถิด ไม่ว่าระบบจะคิดกลลวงใด แต่นางขอซื้อเก็บไว้ก่อนแล้วกัน!
หลิงเยว่ข่มใจที่สั่นไหว พลางลูบม้วนคัมภีร์เล็ก ๆ ที่วางอยู่ในอ้อมแขน ม้วนคัมภีร์นี้สามารถทำสัญญากับสัตว์เทพได้หนึ่งตัว นางคิดไว้ว่าหากวันหนึ่งเมื่อนางร่ำรวย นางจะต้องทำสัญญากับสัตว์เทพให้เป็นกองทัพ!
แล้วระบบก็หัวเราะเยาะนางขึ้นมา
หลิงเยว่ถาม “หัวเราะเช่นนี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
คิดว่านางไม่มีทางร่ำรวยหรือคิดว่านางกระทำการใหญ่เกินตัวเช่นนั้นหรือ?
[ม้วนคัมภีร์สัญญาศักดิ์สิทธิ์ บุคคลหนึ่งใช้ได้เพียงหนึ่งม้วนเท่านั้น ม้วนที่สองจะไม่มีผล]
ถึงอย่างนั้น นางก็จะใช้เสน่ห์ของนาง รวบรวมกองทัพสัตว์เทพให้ได้ หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีผู้ใดคัดค้านกระมัง หรือหากไม่ได้อีก นางก็จะฟักไข่สัตว์เทพเองเสียเลย!
หลังจากอยู่ในระดับสร้างรากฐานแล้ว นางก็จะสามารถฟักไข่สัตว์อสูรได้!
ระบบส่งเสียงหัวเราะเยาะอีกครั้ง ฟังดูเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
ช่างเถิด หลิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดใหญ่เกินตัวไปบ้างแล้ว แค่เอาชีวิตรอดออกจากเขตแดนลับแห่งนี้ได้หรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน!
ยิ่งไปกว่านั้น ม้วนคัมภีร์สัญญาศักดิ์สิทธิ์ยังใช้ได้ยากเย็นนัก ไม่เพียงต้องใช้เลือดของนางเท่านั้น ยังต้องอยู่ใกล้กับตัวไข่ของสัตว์เทพที่ต้องการอีกด้วย
“เอ๊ะ? หลังจากเข้ามาข้างในแล้ว เหตุใดกลิ่นนกถึงจางลง หรือว่าเจ้านกตัวนั้นหนีไปแล้ว?” หัวหน้าตะขาบพูดขึ้น แล้วบินสำรวจไปมาในวังอันมืดมิด
“ข้าก็ไม่ได้กลิ่นแล้วเช่นกัน แต่แปลกจริง ท่านหัวหน้า เจ้านกตัวน้อยเปราะบางเพียงนั้น หากออกไปคงไม่พ้นเจอทางตันแล้ว แต่หากยังคงอยู่ในวังจนกว่าจะฟักไข่ออกมา นับว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดเสียยิ่งกว่า!”
“โอ้! เจ้าสี่ เจ้าใช้สำนวนของมนุษย์ได้เสียแล้ว!” ตะขาบผู้คุ้มกันหมายเลขห้าตกตะลึง
“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเช่นนี้ เราต้องแยกย้ายกันไปหาไข่นั้น แล้วรีบจัดการมันเสีย ก่อนที่พวกมนุษย์จะเข้ามา”
หัวหน้าแมลงตะขาบหันมาจ้องหลิงเยว่ด้วยดวงตาสีแดงก่ำ “เจ้ามนุษย์ จงเดินนำหน้าแล้วคอยคุ้มกันข้าเถิด”
หลิงเยว่ “???”
ไม่ใช่ว่าพวกมันจะปกป้องนางอย่างดีหรือ?
เหตุใดถึงกลายเป็นนางที่ต้องปกป้องพวกมันเสียแล้ว?
ภายในวังทั้งหลังนี้ไม่ได้สว่างไสวและมีสีแดงฉานเหมือนด้านนอก แต่กลับมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด หลิงเยว่พยายามมองอย่างยากลำบาก นางเห็นดวงตาห้าคู่สีแดงสดของเหล่าผู้คุ้มกันตะขาบเพียงเลือนรางอยู่ท่ามกลางความมืด
“โอ๊ย! ช่วยข้าด้วย!”
ทั้งคนทั้งตะขาบยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่แหลมคมก็ดังมาจากที่หนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก