เฉียงเหลียงมองดูร่างของจินจงกลายเป็นแสงสีเหลืองทองแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา เขานั้นรู้สึกตกตะลึงและแข็งค้างไป ณ จุดๆนั้น จินจงที่เป็นผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนวันที่ 8 กลับตายแบบนั้น?
ตาย!
ในตอนนี้เอง ก็ได้มีแหวนล่วงลงสู่พื้น ซึ่งนั่นก็คือแหวนมิติของจินจง
พอมองแหวนมิติของจินจงที่หล่นสู่พื้น เฉียงเหลียงที่ตกตะลึงก็ตื่นขึ้นจากความสับสน จากนั้นเขาก็แสดงท่าทางมีความสุขและยื่นแขนออกไปเตรียมจะขโมยแหวนแต่เมื่อเขากําลังจะเคลื่อนไหว ก็ได้มีแรงดูดออกมาจากฝ่ามือของหวงเสี่ยวหลง ทําให้แหวนมิติวงนั้นพุ่งสู่มือของหวงเสี่ยวหลง
เฉียงเหลียงก็เลยตกใจไปชั่วขณะแล้วหันไปจ้องหวงเสี่ยวหลงด้วยความอิจฉาและหวาดกลัว
เคล็ดวิชาซูมีเทวะ!
ชายหนุ่มตรงหน้าของเขานั้นเป็นเจ้าของเคล็ดวิชาต่อสู้อันดับหนึ่งในโลกใบนี้ เคล็ดวิชาซูมเทวะ!
เฉียเหลียงก็กระโดถอยโดยไม่เสียเวลาคิดให้มากความ และในครู่ต่อมา เขาก็หันหน้าหนีไปแต่หลังจากเขาหันตัว ก็ได้มีเงามาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา นั่นก็คือหวงเสี่ยวหลงที่เข้ามาปิดกั้นทางหนีของเขา
“เจ้าน้องชาย ไม่สิ ผู้อาวุโส!” เฉียงเหลียงก็พูดออกมาด้วยความหวาดกลัวแต่ในขณะที่เขาจะอ้าปากขอร้อง ก็ได้มีแขนมากมายปรากฏขึ้นบนหลังของหวงเสี่ยวหลงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรงเล็บ ฝ่ามือดัชนี แขนของเขาทั้งหมดต่างโจมตีใส่เฉียงเหลียงอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นก็ได้มีกลิ่นอายปีศาจพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกับมีฝูงปีศาจนับหมื่นปกคลุมท้องฟ้าและผืนปฐพีซึ่งนี่ก็คือผลของเคล็ดวิชากรงเล็บเทพอสูร!
ต่อมาได้มีวงแหวนสีทองกระจายตัวและพุ่งออกไปทีละอัน ไม่ว่ามันจะผ่านอะไรไป ทุกสิ่งที่มันพุ่งผ่านไปจะหยุดนิ่งแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตก็ตาม นี่แหละคือฝ่ามือผนึกพระเจ้า
ต่อจากนั้นก็มีหมอกสีเทาพุ่งออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดสีดํา นี่ก็คือดัชนีวิญญาณสัมบูรณ์
เฉียงเหลียงก็เฝ้ามองอย่างหมดหนทางในฝระที่กรงเล็บเทพอสูรเข้าเขมือบตัวเขาไป จากนั้นพอเขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นของวงแหวนผนึกพระเจ้าและดัชนีวิญญาณสัมบูรณ์ เขาก็หมดแรงใจที่จะต่อต้าน ความคิดเดียวที่เขามีอยู่นั้นก็คือหลบหนี แต่มันกลับสายไปเสียแล้ว เนื่องจากฝ่ามือผนึกพระเจ้าและดัชนีวิญญาณสัมบูรณ์ได้พุ่งมาถึงตัวเขาแล้ว สุดท้ายในดวงตาของเขานั้นก็เหลือเพียงแต่ความสิ้นหวัง
ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขา เฉียงเหลียงก็นึกถึงนายน้อยของเขาขึ้นมาทันทีแล้วสงสัยว่ามันเป็นโชคหรือภัยพิบัติกันแน่ที่นายน้อยไปท้าทายคนที่ท่าหวาดกลัวขนาดนี้
กล่าวกันว่าคนที่ฝึกเคล็ดวิชาซมีเทวะนั้นมีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกจิตวิญญาณต่อสู้ได้ทั้งใบ
กรงเล็บเทพอสุร ฝ่ามือผนึกพระเจ้าและดัชนีวิญญาณสัมบูรณ์นั้นก็ได้พุ่งใส่หน้าอกของเฉียงเหลียง ทําให้เขาพุ่งออกไปกระแทกพื้นราวกับว่าวที่แตกหัก จากนั้นก็เหมือนจินจงก่อนหน้าเขา รอยประทับดัชนีฝ่ามือกรงเล็บก็เปล่งแสงออกมาจากร่างเขาและจากนั้นตัวเขานั้นก็หายไปราวกับอากาศธาตุ
สีหน้าของหวงเสี่ยวหลงนั้นยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่เริ่มยันจบ จากนั้นเขาก็ใช้แรงดูจากฝ่ามือดึงเอาแหวนมิติของเฉียงเหลียงลอยเข้าสู่มือจากนั้นเขาก็ได้ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในแหวนและพบว่าเหรียญทอง หินวิญญาณ โอสถวิญญาณ และเคล็ดวิชาลับสองวิชา หนึ่งในนั้นก็คือเคล็ดวิชา เสียงเพรียกแห่งหยินปีศาจ ส่วนอีกอันคือฝ่ามือเทวะแห่งความว่างเปล่า
เสียงเพรียกแห่งหยินปีศาจงั้นหรือ? แม้หวงเสี่ยวหลงจะฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้มาหลายแบบแล้ว แต่เขานั้นยังไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ใช้เสียงในการโจมตีมาก่อน ดังนั้นเขาถึงดีใจที่ได้พบเคล็ดวิชา เสียงเพรียกแห่งหยินปีศาจในแหวนมิติของผู้อาวุโสจินจงแห่งนิกายนักบุญพิษ
ที่จริงแล้วเคล็ดวิชาเสียงเพรียกแห่งหยินปีศาจนั้นไม่ใช่เคล็ดวิชาต่อสู้ที่อ่อนแอ แต่พอเอาวิชานี้มาใช้กับปราณเพทอสูรอสูรที่เป็นธาตุหยินระดับสูงสุด จะทําให้พลังโจมตีของเสียงเพรียกแห่งปีศาจหยินนั้นเพิ่มเป็นสองเท่าจากที่จินจงใช้ออกมา แต่หมัดเทวะแห่งความว่างเปล่ามันเคล็ดวิชาประเภทใหนกัน? หวงเสี่ยวหลงก็ได้หยิบคัมภีร์เคล็ดวิชาออกมาจากแหวนมิติแล้วเริ่มตรวจสอบทีละหน้า ยิ่งเข้าอ่านมากท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกตะลึง
เคล็ดวิชาหมัดเทวะแห่งความว่างเปล่านี้เป็นเคล็ดวิชาแห่งโลกเทวะแห่งความว่างเปล่า!
หากเทียบลําดับของแต่ละโลก โลกเทวะแห่งความว่างเปล่านั้นมีลําดับต่ํากว่าโลกใต้พิภพและโลกพุทธะ แต่มันก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในโลกเทวะ แล้วเคล็ดวิชาฝ่ามือเทวะแห่งความว่างเปล่านี้มา อยู่ในมือผู้อาวุโสนิกายนักบุญพิษได้อย่างไร?! ซึ่งแหวนมิติวงนี้ก็เป็นของผู้อาวุโสเฉียงเหลียงด้วย
นอกจาก ทําไมเฉียงเหลียงถึงไม่ใช้เคล็ดวิชานี้ด้วยหล่ะ? ถ้าหากเขาใช้ บางที่หวงเสี่ยวหลงคง ฆ่าเขาลําบากกว่าเมื่อกี้เป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเปิดหน้าสุดท้ายของเคล็ดวิชาหมัดเทวะแห่งความว่างเปล่า หวงเสี่ยวหลงก็เข้าใจว่าการจะฝึกเคล็ดวิชาหมัดเทวะแห่งความว่างเปล่าได้ นั้นอย่างน้อยจะต้องมีจิตวิญญาณต่อสู้ระดับ 12
ไม่ต้องสงสัยเลย…ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณต่อสู้ของเฉียงเหลียงจะไม่ตรงกับเงื่อนไข ดังนั้น เขาจึงฝึกไม่ได้ แต่เฉียงเหลียงไปเอาเคล็ดวิชานี้มาได้อย่างไร?
ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ทําให้หวงเสี่ยวหลงหันไปมอง ด้วยการมีหุ่นเชิดยักษ์ช่วยเหลือ ทําให้ฉินหยาง หลี่เฟยและที่เหลือสามารถจัดการศิษย์นิกายนักบุญพิษได้อย่างสบายๆ
เมื่อฉินหยางและคนที่เหลือมองเห็นหวงเสี่ยวหลงเดินเข้ามาใกล้ สายตาที่มองหวงเสี่ยวหลงก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาที่มองหวงเสี่ยวหลงอย่างหวาดกลัวและหลงใหล พวกเขาเห็นฉากที่หวง เสี่ยวหลงใช้เคล็ดวิชาซูมีเทวะกําจัดผู้อาวุโสจินจงและเฉียงเหลียงอย่างชัดเจน
เคล็ดวิชาซูมีเทวะ! พอคิดถึงคํานี้ พวกเขาทั้ง 4 ก็ทนไม่ไหวจึงได้สั่นไหวออกมาด้วยความตื่นเต้น
หวงเสี่ยวหลงก็เดินมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากทั้งสี่คนแล้วโบกมือทําให้เกิดแสงสว่างขึ้นไปพร้อมกับหุ่นเชิดยักษ์ได้กลับเข้าไปอยู่ในเจดีย์หลิงหลง จากนั้นเขาก็เหลือบมองซากศพศิษย์ นิกายนักบุญพิษรอบๆแล้วพูดออกมาว่า “ทําความสะอาดทันที พวกเราจะเดินทางต่อในไม่ช้า”
“ได้ขอรับ นายน้อย!” พวกเขาทั้งสี่ก็ตอบออกมาด้วยเสียงดังก้อง
พวกเขาทั้งสี่คนก็ใช้เวลากําจัดซากศพรอบๆโดยใช้เวลาไม่นาน จากนั้นทุกคนก็เดินทางต่อ ส่วนสําหรับแหวนมิติของศิษ์นิกายนักบุญพิษทั้งหลาย หวงเสี่ยวหลงได้เก็บไว้หมดแล้ว ศิษย์นิกายนักบุญพิษส่วนใหญ่นั้นมีการบ่มเพาะอยู่ตั้งแต่ระดับเซียนเทียนชั้นกลางขึ้นไป ดังนั้นในแหวนมิติของพวกเขาจึงมีของดีๆอยู่เยอะ
ครึ่งวันผ่านไป
ห้องลับใต้ดินเมืองหลวงแห่งดาบ นายน้อยนิกายนักบุญพิษ ฮูเอ๋อกําลังแสดงสีหน้าเศร้าสร้อย นั่นเพราะข้ารับใช้ของเขาได้มารายงานว่าพวกเขาขาดการติดต่อกับจินจงแหละเฉียงเหลียง ในดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความสงสัย
ต่อมา10 วันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไป 10 วัน ปัจจุบันหวงเสี่ยวหลงกําลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าเมืองอันยิ่งใหญ่ มองจากไกลๆ เมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากราวกับหุบเขาเทวะที่ทําหน้าที่ค้ําจุนสวรรค์! ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในสิบเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งดินแดนแห่งความโกลาหล และอยู่ในอันดับที่ 2 มีนามว่าเมืองหมื่นเทวะ
พอยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเก่าแก่และลึกลับ งมันแตกต่างไปจากเมืองหลวงแห่งดาบ บรรยากาศรอบเมืองแหลวงแห่งดาบนั้นเต็มไปด้วยพลังอํานาจและความดุร้ายแต่ทว่าเมืองหมื่นเทวะนี่ราวกับทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด
“นี่สินะคือเมืองหมื่นเทวะ” หวงเสี่ยวหลงก็ตรวจสอบอักษรโบราณทั้ง 4 ตัวที่อยู่ด้านบนของประตูเมือง มีข่าวลือว่า อักษรโบราณทั้งสี่ตัวนี้ถูกสลักโดยราชาแห่งชนเผ่าเทวะโบราณที่ใช้พลังแห่งเนตรในการสลัก
ซึ่งชนเผ่าเทวะโบราณนั้นมีราชาที่มีชื่อเสียงอยู่ 6 คน
“เข้าไปกันเถอะ”ครู่ต่อมา หวงเสี่ยวหลงก็ถอนสายตาจากตัวอักษรโบราณแล้วพูดบอกฉินหยางและคนที่เหลือ ทั้งสี่คนก็ได้ตอบรับอย่างเคารพและเดินตามหลังหวงเสี่ยวหลงเข้าไปในเมือง
เมืองหมื่นเทวะนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของดินแดนแห่งความโกลาหล โดยปกติ มันเป็นเมืองที่ดูมีชีวิตชีวามาก แต่เนื่องจากมันใกล้ถึงเวลางานประมูล ทําให้จํานวนผู้คนเยอะกว่าปกติ โชคดีที่ถนนในเมืองหมื่นเทวะนั้นว้างขวาง จึงไม่รู้สึกแออัด
หวงเสี่ยวหลงก็เดินเล่นไปตามถนนในขณะที่มองดูร้านค้าและรอบๆไปด้วย เขาได้มองเห็นคน เดินที่เดินไปมาบนถนแต่งตัวแตกต่างกันไป ร้านก็เต็มไปด้วยเดินเข้าออกอยู่เรื่อยไป ซึ่งร้านส่วนใหญ่ก็จะขายเคล็ดวิชาบ่มเพาะและเคล็ดวิชาต่อสู้
หนึ่งชั่วโมงต่อมาซึ่งใกล้จะเที่ยงวัน กลุ่มหวงเสี่ยวหลงก็ได้พบร้านอาหารแห่งหนึ่งจึงได้เดินข้า
ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านที่มีขนาดใหญ่และโด่งดังมากซึ่งร้านนี้มักจะมีลูกค้าเข้าออกอยู่เรื่อยไป และก็ยังผู้คนพูดคุยกันเสียงดังซึ่งไปจุดประกายความสนใจของหวงเสี่ยวหลง
“ข้าได้ยินว่าของชิ้นสุดท้ายที่จะประมูลในครั้งนี้นั้นไม่ใช่ดัชนีทะลายวายุของวิหารพันภานุภาพ!”
“อ่อ แล้วมันคืออะไรหล่ะ?”
“มันคือหยก! เป็นหยกที่ชนเผ่าเทวะโบราณหลงเหลือไว้!”