ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 130 หลบไป! ข้าจะไปเก็บไข่นั่นเอง!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 130 หลบไป! ข้าจะไปเก็บไข่นั่นเอง!

บทที่ 130 หลบไป! ข้าจะไปเก็บไข่นั่นเอง!

อากาศภายในวังยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับจะเผาผลาญทุกสิ่งให้มอดไหม้!

“อ๊าก!”

“ช่วยด้วย…”

“วิ่ง!”

เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองดังมาจากภายในวัง บางคนยังไม่ทันร้องร่างกายก็พลันถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านทันที ส่วนผู้ที่วิ่งหนีออกมาจากวังก็ไม่รอดเช่นกัน เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ใกล้กับวังอีกาสุริยันล้วนตายสิ้น!

ผู้คนที่กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตานั้น ไม่รวมถึงหลิงเยว่และอีกสองคน เพราะบนร่างของพวกเขามีน้ำลายของตะขาบมรกตห่อหุ้มอยู่จึงช่วยคุ้มครองพวกเขาไว้ได้อย่างหวุดหวิด

แม้เทพอัคคีจะยังไม่ปรากฏตัวตนที่แท้จริง แต่ถือว่าได้ประกาศพลังอันยิ่งใหญ่ของตนต่อสรรพชีวิตแล้ว

ผู่ตานและลู่เป่ยเหยียนที่มุ่งมั่นจะได้มาซึ่งพลังเปลวเพลิงแห่งสวรรค์ ต่างรู้สึกท้อแท้ทันใด เพลิงศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ พวกเขาจะสามารถกล้าเสี่ยงกลั่นมันออกมาได้หรือไม่

แค่คิดพวกเขาก็คงกลายเป็นเถ้าถ่านไปก่อนเสียแล้ว

วังทั้งหลังรวมไปถึงดินแดนสวรรค์ที่หลิงเยว่และอีกสองคนอาศัยอยู่กลายเป็นสีแดงฉาน พื้นดินที่พวกเขาเหยียบยืนก็เปลี่ยนเป็นหินหนืดร้อนระอุ

โชคดีที่พวกเขามีเหล่าผู้คุ้มกันตะขาบมรกตคอยปกป้อง จึงช่วยให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ถูกหินหนืดร้อนระอุเผาทั้งเป็น

ดินแดนลับที่เมื่อครู่ยังเป็นท้องฟ้าแจ่มใส แต่บัดนี้กลับเป็นสีแดงฉานในพริบตา!

ความร้อนยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง…

หัวหน้าตะขาบมรกตกลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ หลายพันปีที่ไม่พบกัน เปลวเพลิงแห่งสวรรค์ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

การที่จะคว้าไข่จากเปลวเพลิงแห่งสวรรค์ได้นั้น ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงลิ่ว ดวงตาสีแดงของหัวหน้าตะขาบมรกตแสดงถึงความลังเล ยกเว้นเสียแต่ว่าจะให้ทั้งเผ่าพันธุ์เสียสละตนเองด้วยวิธีการฆ่าตัวตาย มิเช่นนั้น…

เจ้าสี่เอ๋ย เจ้าจงจากไปอย่างสบายใจเถิด เมื่อเผ่าพันธุ์ตะขาบมรกตสี่ปีกก้าวขึ้นไปเป็นสัตว์เทพแล้ว พวกข้าจะกลับมาแก้แค้นให้เจ้าเอง!

หัวหน้าตะขาบมรกตสาบานเช่นนั้น มันตบไปที่หลังของเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามเพื่อใช้เป็นพาหนะ แล้วบอกให้เจ้าสามรีบไป

เมื่อร่างจริงของเปลวเพลิงแห่งสวรรค์ปรากฏ พวกมันอาจจะต้านทานไม่ได้เป็นแน่

“รอเดี๋ยว ข้ามีหนทางที่จะเก็บไข่นั่นได้” หลิงเยว่ไม่เต็มใจที่จะจากไป ช่างยากเย็นแสนเข็ญนักกว่าจะรอคอยมาจนถึงเวลานี้ นางยังไม่อยากยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ลองดูสักตั้ง!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามก็บินเร็วขึ้น คิดดูเถิด นางอยู่ในระดับกลั่นลมปราณเพียงเท่านั้น จะมีหนทางใดกันเล่า?

หลิงเยว่เห็นทิวทัศน์ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกสิ้นหวังนัก หากมิได้พวกเจ้าตะขาบมรกตสี่ปีกมาช่วย นางคงไม่มีทางเข้าใกล้ไข่นกได้ถึงเพียงนี้ หรือนางจะต้องยอมแพ้ไปอย่างนั้นหรือ?

ในขณะที่เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามกำลังบินออกจากปากนก ลูกแก้วไฟสีทองในปากของนกสามขาก็เปลี่ยนเป็นลูกไฟขนาดใหญ่มหึมาอุดปากทางออกไว้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่อยากให้พวกเขาหนีออกไปได้

“หึ! คิดว่าเพียงลูกแก้วไฟสีทองนั้นจะขังพวกเราไว้ได้หรือ?”

หัวหน้าตะขาบมรกตอ้าปากออก ก่อนจะพ่นของเหลวสีเขียวใส่ลูกแก้วนั้นทันที

เมื่อน้ำลายสีเขียวสัมผัสกับลูกไฟก็พลันเกิดเสียง ฉ่า! ดังสนั่น ควันหนาทึบปกคลุมไปทั่วทั้งวัง พวกของหลิงเยว่รู้สึกแสบตา จนแทบมองอะไรไม่เห็น

บัดนี้เพลิงได้มอดลงแล้ว

เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามพุ่งตัวทะยานออกไป แต่กลับถูกเพลิงที่ลุกโชนขึ้นใหม่ดีดกลับเข้ามา

“โอ๊ย! ร้อน! เจ้านกสกปรก เจ้าจะทำเช่นนี้จริง ๆ ใช่หรือไม่?”

เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สาม แม้จะถูกไฟเผาจนปากเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง แต่มันก็ไม่ยอมแพ้

เปลวเพลิงบนลูกไฟสีทองเต้นระริกด้วยความเงียบ แต่กลับคล้ายว่าจะยั่วยุเจ้าตะขาบมรกตสี่ปีกเสียมากกว่า

“ดี!” หัวหน้าตะขาบมรกตโกรธจัด คราวนี้มันไม่ได้พ่นน้ำลาย แต่กลับ… พ่นพวกฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกออกมา “ไป! หาไข่นั่นมาให้ข้า วันนี้จะต้องให้มันตายอยู่ในไข่ให้ได้!”

ฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกรับคำสั่ง แยกย้ายกันไปอย่างเป็นระเบียบ ส่วนเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามก็พาหลิงเยว่และทั้งสองคนกลับไปที่แดนสวรรค์เช่นเดิม

บรรยากาศช่างต่างไปจากตอนที่พวกเขามา พื้นดินที่กลายเป็นหินหนืดตอนนี้มีไข่ขนาดยักษ์ลอยอยู่ด้านบน รอบไข่ฟองนั้น ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีแดงประกายทอง

อากาศตรงนี้ร้อนระอุจนหลิงเยว่และอีกสองคนที่แม้จะมีน้ำลายปกป้องร่างกายก็ยังเหงื่อออกท่วมตัวจนหน้ามืด

ทันทีที่เห็นไข่ หัวหน้าตะขาบมรกตก็บินตรงไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทาง ลำตัวของมันก็พองโตขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตะขาบมรกตตัวที่สองและตัวที่ห้าไม่ได้เลือกที่จะขยายร่าง แต่เลือกที่จะช่วยเหลือหัวหน้าตะขาบมรกตโดยรวมตัวเข้ากับร่างของผู้เป็นหัวหน้า

ตะขาบมรกตสามหัวตอนนี้ลำตัวใหญ่โตเทียบเท่ากับวังอีกาสุริยันแล้ว!

“โฮก!”

เสียงร้องของสัตว์ที่ดังก้องกังวานราวกับเป็นการโจมตี ทำให้ไฟที่ลุกโชนอยู่รอบเปลือกไข่ดับลงไปบางส่วน!

“ส่งเจ้าสี่มาเสีย! ไม่เช่นนั้น… เจ้าคิดว่าพวกเราเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกจะกินเพียงพืชผักจริงหรือ?” หัวหน้าตะขาบมรกตโบกปีกบาง ๆ ทั้งสองข้าง บินวนอยู่รอบไข่นก

“พวกเราแค่รวมร่างกันสามตัวเท่านั้น เจ้าก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว หึ! ไม่รู้ไปเอาความกล้าจากไหนมาขวางทางข้า!”

หัวหน้าตะขาบมรกตจ้องเขม็งอย่างดูถูก จนด้านในไข่ฟองนั้นสั่นเทาไปหมด

“ศิษย์พี่ ไข่ฟองนั้นมันสั่นเพราะโกรธหรือ?” หลิงเยว่ขยี้ตา นึกว่าตัวเองมองผิดไป

“เจ้าไม่ได้ตาฝาด” ลู่เป่ยเหยียนและผู่ตานก็เห็นเช่นกัน

“หึ! มันต้องกลัวเป็นแน่” เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามพูดจาเยาะหยัน หากพี่ใหญ่ไม่สั่งให้มันเฝ้าพวกมนุษย์เปราะบางเหล่านี้ มันคงจะขึ้นไปท้าทายนานแล้ว

“ข้ามาขวางทางเพราะอยากจะแลกเปลี่ยนกับเจ้าทั้งหลาย”

เสียงเด็กสาวที่อ่อนโยนดังออกมาจากไข่ สร้างความประหลาดใจให้กับมนุษย์ทั้งสาม

สมกับเป็นเขตแดนลับสัตว์อสูรเสียจริง! แม้แต่ไข่ที่ยังไม่ฟักก็ยังพูดได้ ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!

หัวหน้าตะขาบมรกตโกรธมากจนพ่นน้ำลายใส่ไข่ฟองนั้น แต่ยังไม่ทันถึงตัวก็ระเหยหายไปในทันที “จับน้องข้าไป แล้วยังจะมาต่อรองกับข้าอีกหรือ”

“ตราบใดที่เจ้ายอมร่วมมือ ข้าก็จะปล่อยเจ้าตะขาบมรกตตัวนั้นทันที และข้าจะมอบวังแห่งที่สิบของเขตแดนลับสัตว์อสูรให้เป็นของเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกด้วย”

การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ช่างน่าสนใจสำหรับหัวหน้าตะขาบมรกตยิ่งนัก เผ่าพันธุ์ของพวกมันไม่ได้ด้อยกว่าพวกนกหรือมังกรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ทว่าพวกมันกลับไม่ได้วังแม้แต่หลังเดียว แล้วจะไม่ให้โกรธได้อย่างไร!

หัวหน้าตะขาบมรกตไม่ได้ตอบตกลงในทันที มันกดความตื่นเต้นไว้ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าพูดมา ว่าจะให้ข้าทำสิ่งใด?”

“คุ้มครองข้าร้อยปี” ไข่นกกล่าว

“และฆ่ามนุษย์สามคนนั้นด้วย”

ดูคนอื่นทะเลาะกัน สุดท้ายก็มาลงที่พวกตนเอง

มนุษย์ทั้งสามคน “…”

พวกเขาไปทำสิ่งใดให้มันอย่างนั้นหรือ?

ไม่! นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งสำคัญคือ หากหัวหน้าตะขาบมรกตตอบตกลงร่วมมือกับเจ้าไข่นั่น หลิงเยว่ก็มั่นใจว่าเจ้าตะขาบมรกตทั้งสามจะต้องโจมตีพวกเขาทันที ทั้งยังไม่มีเวลาให้หนีด้วย

“ไม่ได้ มนุษย์สามคนนี้ดูแลข้าดีนัก จะฆ่าพวกเขาไม่ได้”

ถ้อยคำนี้ฟังดูแปลกพิกล

ถึงแม้จะแปลกไปสักหน่อย แต่หลิงเยว่และทั้งสองคนก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง

“ส่วนเรื่องคุ้มครองเจ้าร้อยปีนั้น ข้าตกลง”

ระยะเวลาหนึ่งร้อยปีแลกกับวังหลังที่สิบ การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่านัก หัวหน้าตะขาบมรกตในเวลานี้ดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก!

เจ้าไข่นกฟองนั้น ไม่ได้สนใจหลิงเยว่กับพวกพ้องอีกต่อไป มุ่งความสนใจไปที่การกลั่นกรองเปลวเพลิงแห่งสวรรค์อย่างเต็มที่ นางจะสามารถออกไปได้อย่างมากที่สุดก็ภายในสิบวัน

ส่วนมนุษย์ทั้งสามคนนั้น นางจะจัดการเอง!

เมื่อการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ร่างของหัวหน้าตะขาบมรกตก็เหมือนลูกโป่งที่ถูกทิ่มจนแตก แล้วกลับคืนสู่ขนาดปกติ เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สองและตัวที่ห้าก็บินออกมาอยู่ล้อมรอบไข่ ในขณะที่ฝูงตะขาบมรกตสี่ปีกของพวกมันก็บินปกคลุมไปทั่วทั้งวัง

ใบหน้าของหลิงเยว่ซีดเซียว เหล่าผู้พิทักษ์ทั้งสามมุ่งความสนใจไปที่การปกป้องไข่นก นางไม่แม้แต่จะเข้าใกล้พวกมันได้ แล้วจะพูดถึงการทำสัญญาได้หรือ?

จะทำอย่างไรให้เจ้าตะขาบมรกตหันกลับมาอยู่ฝ่ายนางกัน?

“เจ้าตะขาบมรกต พวกเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการอย่างเร่งด่วนหรือไม่ หรือมีสิ่งใดที่ต้องการจะหาแต่ไม่พบอยู่อีก?”

เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามหันกลับมามองหลิงเยว่ ไม่เข้าใจว่าเจ้ามนุษย์ตัวเล็กถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

“ข้าจะถามอีกอย่างหนึ่ง เจ้ามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่เจ้าเต็มใจแลกชีวิตเพื่อมันได้หรือไม่?” หลิงเยว่ถามอย่างระมัดระวัง แต่ทว่าในใจกลับร้อนรน

“ข้าอยากจะได้ร่างมนุษย์”

นี่คือความฝันอันยาวนานของเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สาม ไม่สิ! เป็นความฝันของทั้งเผ่าพันธุ์ น่าเสียดายที่โชคชะตาดูเหมือนจะไม่เข้าข้างพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นหญ้าแปลงร่าง โอสถแปลงร่าง หรือแม้แต่การฝ่าด่านแปลงร่าง ก็ไม่สามารถทำให้พวกมันแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ!

แม้จะฝ่าฟันอุปสรรคอันโหดร้ายของการฝ่าด่านแปลงร่าง แต่เมื่อกลับมา พวกมันก็ยังคงเป็นเพียงตะขาบมรกตสี่ปีกเช่นเดิม…

แต่หากสวรรค์ไม่โปรดปรานพวกมันจริง แล้วเหตุใดจึงประทานร่างกายที่ไม่กลัวแม้แต่เปลวเพลิงแห่งสวรรค์และพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับพวกมันเล่า?

เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามครุ่นคิดคำถามนี้มานานหลายพันปี แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท