ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 147 ผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานเช่นเจ้าหรือจะมาจับข้า

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 147 ผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานเช่นเจ้าหรือจะมาจับข้า

บทที่ 147 ผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานเช่นเจ้าหรือจะมาจับข้า

“ไม่ดีแล้ว เราต้องออกจากที่นี่โดยเร็ว!”

โม่จวินเจ๋อจับข้อมือหลิงเยว่หวังจะพาออกไป แต่ไม่ทันเสียแล้ว พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยทั้งหกตน

มันไม่เพียงล้อมพวกเขาไว้ แต่ยังสร้างม่านค่ายกลไว้โดยรอบถึงสิบกว่าชั้น

“เจ้ามนุษย์เปราะบาง เจ้าดูซิว่าข้าเอาสิ่งใดมาให้เจ้า!”

หัวหน้าตะขาบมรกตแบกเห็ดขนาดยักษ์มาอย่างรีบเร่ง หากไม่มีเสียงลอยมา หลิงเยว่คงนึกว่าเป็นเห็ดที่กลายร่างแล้วกำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขาเสียแล้ว

“เจ้าเห็ดนั่นกำลังวิ่งมา” วิ่งไปได้ครึ่งทางก็ถูกแรงกระแทกจากม่านค่ายกลโปร่งใสจนกระเด็นออกไป

มีวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยตนหนึ่งจำเห็ดทองคำยักษ์ได้ มันยกมือที่สั่นเทาเล็ก ๆ ชี้ไปที่หัวหน้าตะขาบมรกตแล้วพูดว่า “ท่าน… ท่านราชา นั่นไม่ใช่วังของท่านหรือ?”

เขาออกมาเพียงครู่เดียว ไม่เพียงแต่ถูกขโมยน้องสาวไป แต่ยังถูกขโมยวังด้วยหรือ!

เจ้าอีกาสุริยันตัวน้อยเงยหน้ามองเห็ดขนาดยักษ์ที่บินผ่านเหนือศีรษะไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย แล้วก้าวเข้าไปในม่านค่ายกลสิบกว่าชั้นอย่างใจเย็น

นางเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าเลือดบริสุทธิ์ของหลิงเยว่ทรงพลังอย่างยิ่ง มันทำให้ทุกม่านค่ายกลไร้ผล ช่างยอดเยี่ยมนัก!

“นาง… นางเข้ามาได้อย่างไร?!”

เหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยมองหน้ากันไปมาราวกับเห็นผี

พวกมันสร้างม่านค่ายกลถึงสิบหกชั้น ทั้งเข้าและออกไม่ได้ หากปราศจากผู้ใดที่ก้าวข้ามระดับทะยานเซียนไปแล้ว ทว่าเหตุใดนางกลับเข้ามาได้ง่ายดายเช่นนี้

“เดิมทีข้าจะมาหาพวกเจ้า แต่ข้าไม่สนใจแล้ว” เจ้าอีกาตัวน้อยกล่าว พร้อมกับมองดูเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยหกตนอย่างเฉยเมย หลังจากทำพันธสัญญาที่สามารถฝ่าม่านค่ายกลได้ นางก็ไม่น่าสนใจพวกมันอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม การมีเจ้าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยติดตัวไว้ก็ไม่เลว เพราะมันสามารถขังศัตรูไว้ได้ และหลิงเยว่เองก็ไม่สามารถสร้างค่ายกลเช่นนี้ได้

อืม อย่างนั้นจับมาสักตัวแล้วกัน!

สายตาของเจ้าอีกาตัวน้อยมองไปยังวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า นางใช้มืออ้วนกลมเล็ก ๆ นั้นคว้าออกไป

น่าเสียดายที่มันกลับคว้าไม่โดน

จินหนิง “?”

“หลิงเยว่ เจ้าไปจับมันเถิด”

เมื่อถูกเจ้าอีกาตัวน้อยเรียกชื่อตรง ๆ ทั้งยังจัดการมอบหมายภารกิจให้ หลิงเยว่จึงมองไปที่เจ้าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยผู้ซึ่งสวมมงกุฎอยู่ หรือก็คือหัวหน้าของเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์นี้

หัวหน้าของเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยมองมาทางนางเช่นกัน

“ผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานเช่นเจ้าหรือจะมาจับข้า” สีหน้ามืดมัวของหัวหน้าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยพลันสดใสขึ้น ราวกับว่าได้ยินเรื่องตลกที่สุด

“ท่านราชา เจ้าอีกาตัวนี้น่าจะเพิ่งฟักออกมา จึงยังไม่อาจรู้สิ่งใดขอรับ”

“น่าขันยิ่งนัก แค่ผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานตัวน้อยเพียงผู้เดียวกับเจ้าอีกาที่เพิ่งฟักออกมาตัวนี้ กลับกล้ามาท้าทายเหล่าวิญญาณผู้ทักษ์อย่างพวกเรา”

มุมปากของจินหนิงยกขึ้นเล็กน้อย เขาเอื้อมมือออกไปแตะเบา ๆ เพื่อบอกให้เหล่าน้องชายของให้เงียบลง แล้วหันไปทางโม่จวินเจ๋อ “เจ้าคือคนที่ทำพันธสัญญาข้ารับใช้กับเฝิ่นอีใช่หรือไม่?”

“หากเจ้าหมายถึงตัวนี้” โม่จวินเจ๋อโบกมือไปมาอย่างไร้เดียงสา ในขณะที่วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยยังคงนอนสลบไสลอยู่ ศีรษะของนางซึ่งถูกน้ำลายของตะขาบมรกตเกาะติดอยู่นั้นก็ขยับออกเล็กน้อย

หลิงเยว่รีบคว้าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยมานั่งบนฝ่ามือ จากนั้นก็จัดการปรับศีรษะของนางให้ตรง ดูเหมือนว่าน้ำลายของหัวหน้าตะขาบมรกตจะยังเหนียวไม่พอ คงต้องรอออกไปจากที่นี่แล้วค่อยหาวิธีติดให้แข็งแรงกว่านี้แล้ว

ส่วนรอยแผลเป็นรอบคอ เพียงร้อยดอกไม้หรือใบไม้มาใส่ปกปิดไว้นั้นย่อมได้

ราชาวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยเห็นว่าน้องสาวของตนเองถูกกระทำเช่นนี้ก็พลันโมโหยิ่งนัก มงกุฎบนหัวของเขาเปล่งประกายแสงสีทองอร่าม ฉับพลันแสงสีทองนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นจุดสีทองเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน พุ่งเข้าสู่ร่างกายของโม่จวินเจ๋อและหลิงเยว่อย่างรุนแรง

โม่จวินเจ๋อกลับมาใช้วิธีเดิมอีกครั้ง

เขาทำหน้าเย็นชา ปล่อยให้แสงสีทองนั้นเข้ามาในร่างกายอย่างไม่ยี่หระ

อย่างน้อยแสงสีทองก็ยังทะลุผ่านเข้าไปในร่างกายของโม่จวินเจ๋อ แต่ทว่าแสงสีทองอีกส่วนที่สัมผัสกับผิวหนังของหลิงเยว่กลับสลายไปทันที

นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่งสำหรับจินหนิงและเผ่าพันธุ์วิญญาณผู้พิทักษ์!

จินหนิงไม่เชื่อสายตาตนเอง จึงร่วมมือกับน้องชายทั้งห้าคน พยายามหลอมรวมจุดอักขระเข้าไปร่างของหลิงเยว่ ทว่าล้วนล้มเหลวไปเสียหมด แม้แต่อักขระอาคมที่เข้าไปในร่างกายโม่จวินเจ๋อได้สำเร็จแล้วก็ยังหายไปหมดสิ้น!

เป็นไปได้อย่างไร!

เจ้าอีกาตัวน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็โดนแสงสีทองจู่โจมเช่นกัน แต่ผลลัพธ์ก็คือ… ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเช่นกัน

ทั้งสองคนและอีกาหนึ่งตัวยังยืนอยู่ดี มองดูเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ราวกับมองคนโง่เขลา

ม่านค่ายกลนั้นไร้ผล อักขระอาคมก็หายไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพลังที่พวกเขาภาคภูมิใจแท้ ๆ แต่มันกลับไร้ผลต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร?

ยอมไม่ได้อย่างยิ่ง!

ความจริงแล้ว จินหนิงได้คาดเดาไว้ว่าหลิงเยว่อาจเป็นจุดอ่อนใหญ่หลวงของพวกพ้อง แต่กระนั้นเขาก็ยังยากจะยอมรับ!

เมื่อค่ายกลนั้นไร้ผลต่อพวกเขาเช่นนั้น… ก็จงใช้มนุษย์จัดการมนุษย์ด้วยกันเองเถิด!

หลังจากนั้นจินหนิงจึงฉีกมิติออก ผู้บำเพ็ญนับร้อยที่มีแววตาว่างเปล่าก็ปรากฏกายออกมา

การบำเพ็ญขั้นต่ำสุดอยู่ที่ระดับจินตานขั้นปลาย ส่วนผู้บำเพ็ญที่มีพลังสูงที่สุด… อยู่ในระดับทะยานเซียนขั้นต้น

“เหล่าผู้รับใช้อันเป็นที่รักของข้า บัดนี้ได้เวลาที่พวกเจ้าต้องตอบแทนเจ้านายอย่างข้าแล้ว!” จินหนิงกระพือปีกที่โปร่งใส แล้วถอยหลังไป เหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยทั้งห้าก็ติดตามไปด้วย

พวกมันทำท่าทางราวกับรอชมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ ท่าทีนั้นเย่อหยิ่งและจองหองนัก

“เพียงฆ่าพวกเขาทิ้ง ผู้ใดมีส่วนร่วมมากที่สุดและใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมที่สุด ราชาผู้นี้อาจปล่อยให้พวกเจ้าเป็นอิสระ”

ทันทีที่จินหนิงพูดจบ แววตาที่ว่างเปล่าของเหล่าผู้บำเพ็ญก็ค่อย ๆ มีประกายแล้วถูกแทนที่ด้วยความโหดเหี้ยมและความกระหายซึ่งสิ่งที่ต้องการทันที!

โม่จวินเจ๋อตอบสนองอย่างฉับไว ทันทีที่จินหนิงปลดปล่อยผู้บำเพ็ญออกมา เขาก็คว้าหลิงเยว่เหยียบขึ้นบนกระบี่เหมันต์เร้นลับและพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเจ้าอีกาสุริยันตัวน้อยก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

แม้หัวหน้าตะขาบมรกตที่ถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปจะไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้นอย่างแน่ชัด แต่เมื่อเห็นพวกพ้องต่างวิ่งหนี เขาก็ยังคงหนีด้วยความเร็วเพื่อเอาชีวิตรอด โดยไม่ลังเลที่จะแปลงกายเป็นร่างเดิมของตัวเอง บินอ้อมค่ายกลนั้น อ้อมหลังผู้บำเพ็ญไป และหวังว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็น

น่าเสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจ

“ยังมีเจ้าตะขาบมรกตนั่นด้วย ฆ่ามันเสีย!”

จินหนิงไม่ได้ลืมว่าวังของเขาถูกเจ้าตะขาบมรกตนี่ถอนรากถอนโคน ความแค้นที่โดนขโมยบ้านและสูญเสียน้องสาวที่รักไปล้วนต้องแก้แค้นให้สาสม!

ความแค้นใหญ่หลวงที่สุดนั้นย่อมหนีไม่พ้นหลิงเยว่ ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่นี้จำเป็นต้องฆ่าเสียให้ตาย!

เพียงจัดการกับหลิงเยว่ได้แล้ว หุบเขาโบราณตะวันตกก็ยังคงเป็นของเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์ของพวกตนอยู่!

พลังของผู้บำเพ็ญขอบเขตทะยานเซียนนั้นไม่ได้เป็นสิ่งลวง เพราะเพียงเขาโบกมือเบา ๆ ต้นไม้ใหญ่สองข้างทางราวกับถูกปลุกให้ตื่น พวกมันแผ่กิ่งก้านออก ใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนแปรเปลี่ยนเป็นของมีคมชิ้นเล็ก ๆ พุ่งเข้าใส่หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อทันที

ผู้หนึ่งเพิ่งอยู่ขอบเขตสร้างรากฐาน ส่วนอีกผู้หนึ่งอยู่ขอบเขตจินตาน เครื่องรางที่อาจารย์มอบให้ก็ใช้จนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่รอพวกเขาก็คือการถูกแทงทะลุจนกลายเป็นรูโหว่ทั้งตัวและสิ้นใจตายเสียแล้วกระมัง

เจ้าอีกาตัวน้อยเริ่มมีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นางอ้าปาก พร้อมเปลวไฟเล็ก ๆ ที่แปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิง เผาใบไม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ทันท่วงที

“รีบไปเสียตอนนี้ ข้าเพิ่งจะฟักออกจากไข่ สถานการณ์เป็นอย่างไรเจ้าก็รู้อยู่”

หลิงเยว่ย่อมรู้ดีและต้องการที่จะออกไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่ที่นี่ไม่ได้มีเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตทะยานเซียนขั้นต้นคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณอีกสิบกว่าคน และผู้บำเพ็ญขอบเขตจินตานอีกหลายสิบคน พวกเขากำลังปิดล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

คราวนี้พวกเขาคงหนีเคราะห์กรรมไม่พ้นแล้ว

“ได้ พวกเจ้าอยากจะลองดีกับข้าจริง ๆ ใช่หรือไม่?!”

หัวหน้าตะขาบมรกตคำรามเสียงดัง ฝูงตะขาบมรกตในปากของมันก็พากันบินออกมาเป็นฝูง ยกเว้นบริเวณที่อยู่ในม่านค่ายกลนั้นไม่สามารถเข้ามาได้ แต่บริเวณรอบนอกกลับเต็มไปด้วยตะขาบมรกตจำนวนมาก

“เดิมทีข้าไม่ต้องการสังหารหมู่ แต่พวกเจ้าบีบบังคับข้าให้ทำ!”

“ฆ่าพวกมันให้หมด!”

เมื่อเจ้าหัวหน้าตะขาบมรกตออกคำสั่ง ฝูงตะขาบมรกตก็แบ่งออกเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มตรงเข้าหาผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบคน ผู้บำเพ็ญขอบเขตจินตานที่อยู่ใกล้ฝูงตะขาบมรกตมากที่สุด ยังไม่ทันได้ร้องก็สลายกลายเป็นหยดเลือดไปหมด

การที่ผู้บำเพ็ญขอบเขตต่ำกว่าจินตานตายในทันทีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณขั้นปลายผู้หนึ่ง กลับสลายเป็นเลือดเมื่อฝูงตะขาบมรกตสัมผัสร่างด้วย พลันตระหนักได้ว่าเจ้านี่น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท