ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 150 สุดท้ายก็ผิดหวัง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 150 สุดท้ายก็ผิดหวัง

บทที่ 150 สุดท้ายก็ผิดหวัง

เวลาผ่านไปครึ่งปีแล้ว แต่ตะขาบมรกตทั้งสี่ตัวก็ยังไม่ได้กินโอสถแปลงร่าง

เหตุผลหลักคือ ไม่มีเม็ดโอสถสำหรับเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ มันจึงไม่ยอมให้พี่น้องของมันทั้งสามตัวแปลงร่างก่อน พวกมันตกลงกันว่าจะรอให้หลิงเยว่กลับมาแล้วค่อยแปลงร่างพร้อมกัน นางคงมีเม็ดโอสถแปลงร่างเหลืออยู่เป็นแน่!

ไม่รู้ว่าผู้ใดปล่อยข่าวออกไปว่า เผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการกลั่นโอสถยังไม่สูญพันธุ์ ทำให้นักกลั่นโอสถมากมายมุ่งหน้ามาที่เมืองฮั่วหยางเพื่อมาชมพวกตะขาบมรกตทั้งหลาย แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้มาเพื่อดูอย่างเดียว หากพาตัวใดตัวหนึ่งกลับบ้านไปด้วยได้นับว่ายิ่งดี!

ดังนั้นเมืองฮั่วหยางในตอนนี้จึงไม่เพียงมีอาหารมากที่สุด แต่ยังมีนักกลั่นโอสถมากที่สุดเป็นอันดับสองอีกด้วย

ไม่ว่ามองไปที่ใดก็มีแต่นักกลั่นโอสถอยู่เต็มไปหมด!

เมื่อก่อนเมืองฮั่วหยางมีนักกลั่นโอสถเพียงสิบคน มีนักกลั่นโอสถระดับต้นแปดคนและระดับกลางอีกสองคน แต่ตอนนี้มีทั้งระดับสูงและระดับปรมาจารย์!

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สังกัดเมืองฮั่วหยางก็ตาม

ซูซวงยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองดูวิวทิวทัศน์เบื้องล่างด้วยความคับข้องใจ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่มีใครอยากอยู่เมืองฮั่วหยางแห่งนี้

เมืองของพวกเขาแย่ที่ใดหรือ? เพียงมีลมทะเลทรายรุนแรง และฝุ่นค่อนข้างเยอะไปสักหน่อย สัตว์อสูรที่บุกมาโจมตีก็มาเพียงเดือนละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นเอง

เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ?

ชิงยวนที่ยังอยู่ในเมืองฮั่วหยางเหลือบมองไปที่ซูซวง บนไหล่ของนางมีตะขาบมรกตดวงตาสีแดงเกาะอยู่ แม้ลักษณะเช่นนั้นจะดูอัปลักษณ์ แต่ก็แปลกและสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่านักกลั่นโอสถที่รวมตัวอยู่บริเวณเชิงกำแพงเมือง ต่างละเลยชิงยวนผู้สูงส่งและสง่างาม แต่กลับหันไปสนใจตะขาบมรกตแทนเสียอย่างนั้น

ตะขาบมรกตตัวที่สามรู้สึกว่าในเวลานี้ ตนเองเป็นตะขาบมรกตที่ดูดีที่สุดในโลก ดูเถิด กลุ่มมนุษย์เหล่านี้ตาค้างกันหมดแล้ว ทั้งยังมี… ติงหลิวหลิ่วที่จ้องมองมันจนน้ำลายไหลอีกต่างหาก

ทันใดนั้น มันก็ไม่อยากทำพันธสัญญากับมนุษย์อ่อนแอผู้นี้อีกต่อไป

ติงหลิวหลิ่วซึ่งยังไม่รู้ว่าตนถูกดูหมิ่นจากตะขาบมรกตตัวที่สาม นางยังคงจ้องมองด้วยความคาดหวังไปที่เจ้าตัวอัปลักษณ์ที่เปลี่ยนมาเกาะบนไหล่ของชิงยวน ดวงตาของเจ้าตะขาบตัวที่สามนั้นกลับไม่ได้หันมาสนใจนางเลยแม้แต่น้อย สัตว์อสูรที่คาดว่าจะเป็นผู้รับใช้ของนางในภายหน้า ช่างทำร้ายหัวใจของนางเหลือเกิน

นางถือเป็นยอดฝีมือแห่งยอดเขาโอสถเช่นกัน แล้วเหตุใดเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามและตัวที่สี่จึงดูแคลนนางเช่นนี้

เพื่อที่จะรวบรวมหินวิญญาณซื้อตะขาบมรกตให้ได้โดยเร็วที่สุด ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา นางจึงพยายามอย่างสุดความสามารถในการกลั่นโอสถแล้วนำไปขาย ในขณะนี้นางเก็บหอมรอมริบได้ถึงสามสิบล้านก้อนแล้ว! ใกล้เป้าหมายสองแสนล้านหินวิญญาณเข้าไปอีกขั้นแล้ว!

แม้จะเป็นเช่นนี้ พวกมันก็ยังไม่อยากมองนางแม้แต่แวบเดียว!

ช่างเถิด ด้วยความที่มันน่ารักถึงเพียงนี้ ติงหลิวหลิ่วจึงเลือกที่จะให้อภัยเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สาม

“ท่านอาจารย์ ข้าจะได้ทำพันธสัญญากับเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามนั่นเมื่อใดเจ้าคะ?”

คำว่าเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามนี้ทำให้ติงหลิวหลิ่วพูดไม่ค่อยออกนัก หลังจากที่ทำพันธสัญญากับมันแล้ว นางจะคิดชื่อที่ไพเราะและฟังดูดีให้กับเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามตัวนี้อย่างแน่นอน!

“เจ้าไปถามมันเองเถิด”

ชิงยวนจะไม่มาแย่งชิงสัตว์อสูรกับลูกศิษย์ของตนเองอย่างแน่นอน แต่เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามนี้เป็นฝ่ายเกาะติดนางเองต่างหาก

เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามตัดสินใจแกล้งตายไปเสียเดี๋ยวนั้น ช่างเถิด… ปล่อยให้มันคิดดูก่อนแล้วกัน

เพิ่งหลับตาลงได้ไม่นาน เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สามพลันเบิกตากว้าง จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปทันที ไม่แม้แต่จะส่งเสียงใด จากนั้นเงาของเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สอง สี่ และห้า ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

พวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพี่ใหญ่แล้ว! การที่พี่ใหญ่กลับมา นั่นหมายความว่าโอสถแปลงร่างของเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ได้มาถึงแล้ว พวกมันจะได้แปลงร่างเป็นมนุษย์พร้อมกันเสียที!

ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เจ้าตะขาบมรกตรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง!

เมื่อเห็นน้องชายของมันทั้งสี่ตัวกำลังบินตรงมาหา หัวหน้าตะขาบมรกตก็ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ พวกนั้นยังรู้จักออกมาต้อนรับ ไม่เสียแรงที่ข้า…

หัวหน้าตะขาบมรกตกำลังจะพูดต่อ แต่ทันใดนั้นก็เห็นเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ที่บินอยู่หน้าสุด บินข้ามศีรษะของเขาไป มันตรงเข้าหาหลิงเยว่และโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของนางทันที

หัวหน้าตะขาบมรกต “?”

นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

หลิงเยว่ “?”

เจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่จำคนผิดหรือ?

นางยังจำตอนอยู่ในเขตแดนลับสัตว์อสูรได้ ผู้ที่รังเกียจนางมากที่สุดก็คือเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ การกระทำเช่นนี้ย่อมต้องมีสิ่งใดแอบแฝงเป็นแน่!

“ส่วนแบ่งโอสถแปลงร่างของข้าอยู่ที่ใด?”

ย่อมเป็นเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจนักว่าเหตุใดถึงได้ต้อนรับอย่างดีเยี่ยมเช่นนี้!

หลิงเยว่สะบัดเจ้าตะขาบมรกตตัวที่สี่ออกไป เจ้าสิ่งนี้มีค่าถึงหนึ่งหมื่นล้านค่าพลังวิญญาณ นางจะไม่ยอมยกให้ผู้ใดง่าย ๆ เป็นอันขาด เว้นแต่ว่า… มันจะหาคนมาชดใช้หนี้ให้แทน

“อยากได้หรือ? เช่นนั้นก็เอาหินวิญญาณมาสองแสนล้านก้อน”

“เจ้าไปหาศิษย์พี่รองของเจ้าเสีย”

เจ้าตะขาบตัวที่สี่หันขวับไปมองว่านอวี้เฟิงที่กำลังบินตรงมา

หลิงเยว่คาดไม่ถึงว่าตะขาบมรกตตัวที่สี่จะทำพันธสัญญากับศิษย์พี่รองของนาง!

โชคชะตาช่างเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากยิ่ง…

ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้นอกจากนางกับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ศิษย์พี่อีกสามคนล้วนมีตะขาบมรกตกันครบแล้ว!?

หลิงเยว่ครุ่นคิด นางนึกถึงลู่เป่ยเหยียน เขาเป็นช่างตีเหล็ก การทำพันธสัญญากับตะขาบมรกตตัวที่ห้าย่อมไม่ช่วยให้ตีเหล็กสำเร็จมากขึ้น ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด เช่นนั้นแล้ว เอาเจ้าตะขาบมรกตคืนมาดีหรือไม่?

หลงหว่านโหรวเองก็คิดเช่นกัน ตั้งแต่ที่ลู่เป่ยเหยียนพาตะขาบมรกตตัวที่ห้ามาเมืองฮั่วหยาง นางจึงติดตามเขาไปทุกหนแห่ง พยายามชักจูงให้เขายกเลิกพันธสัญญากับตะขาบมรกตตัวที่ห้าเสีย

แต่ลู่เป่ยเหยียนไม่ยินยอม และทันทีที่เขาจะทำพันธสัญญากับเจ้าตะขาบมรกตตัวที่ห้า หลงหว่านโหรวจะออกมาขัดขวางทุกครั้ง จะคิดหนีก็ไม่ได้ เนื่องจากเขาถูกนางจับจ้องอยู่ตลอด

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาไม่น่ากลับเมืองฮั่วหยางพร้อมกับผู่ตานเลย สู้กลับสำนักแล้วทำพันธสัญญาเสียดีกว่า

ครั้นลู่เป่ยเหยียนได้ยินข่าวว่าหลิงเยว่กลับมา เขาก็รู้สึกราวกับเจอแสงสว่าง รีบคว้าอาวุธคู่กายแล้วใช้ความเร็วสูงสุดบินออกไปหานางทันที

หลายคนและอีกหลายตัวมารวมตัวกันในห้องโถงของจวนเจ้าเมือง

เมื่อชิงยวนมาถึง นางสังเกตเห็นหัวหน้าตะขาบมรกตที่แปลงร่างได้สำเร็จเป็นตัวแรก จึงประหลาดใจยิ่งนัก เผ่าพันธุ์ตะขาบมรกตสี่ปีกไม่เคยมีตัวใดที่สามารถแปลงร่างได้ แม้แต่พวกที่พลังระดับพ้นโลกีย์ก็ยังคงรักษารูปลักษณ์เช่นเดิมไว้

“เจ้า… เป็นเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกจริงหรือ?”

ชิงยวนเริ่มสงสัยในตัวหัวหน้าตะขาบมรกต พวกมันเพียงมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันเท่านั้นหรือ?

หัวหน้าตะขาบมรกตที่นั่งพิงเก้าอี้มองชิงยวนด้วยสายตาเย็นชา มันเหนื่อยจากการบินมาเป็นเดือนแล้ว สำหรับคำถามโง่เง่าเช่นนี้ มันไม่มีอารมณ์จะตอบ

น้ำลายของเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกมีชื่อเรียกว่าปี้สุ่ยเย่ เมื่อเติมลงไปในโอสถจะช่วยเพิ่มคุณภาพได้!

แน่นอนว่ายังมีประโยชน์อื่น ๆ อีก ซึ่งหลิงเยว่ ผู่ตาน และลู่เป่ยเหยียนต่างได้ลองใช้แล้ว

ชิงยวนที่ได้รับปี้สุ่ยเย่จึงรีบเข้าไปในห้องกลั่นโอสถทันที ด้วยหวังจะลองใช้ของเหลวนี้กลั่นโอสถ หากคุณภาพของโอสถดีขึ้นจริง ถือเป็นการพิสูจน์ว่าหัวหน้าตะขาบมรกตตนนี้เป็นเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกอย่างไม่ต้องสงสัย

ตะขาบมรกตสี่ปีกที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน!

“ศิษย์น้องหลิง พอจะทำอย่างไรกับศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้บ้างหรือไม่?” ลู่เป่ยเหยียนพูดคุยกับหลิงเยว่ พลางกะพริบตาส่งสัญญาณไปทางหลงหว่านโหรว

ส่วนสายตาของหลงหว่านโหรวยังคงจับจ้องอยู่ที่หัวหน้าตะขาบมรกตกับเจ้าตะขาบมรกตตัวที่ห้าอย่างไม่วางตา

เห็นได้ชัดว่านางปรารถนาจะครอบครองมัน

เมื่อศิษย์พี่ใหญ่ปรารถนา หลิงเยว่ย่อมช่วยอยู่แล้ว เพราะศิษย์พี่ใหญ่คอยดูแลนางเป็นอย่างดี ถึงเวลาที่นางจะต้องตอบแทนบ้าง!

“ศิษย์พี่ลู่ ท่านยอมยกให้นางเถิด”

ลู่เป่ยเหยียนกอดตะขาบมรกตตัวที่ห้าไว้แน่น เขาและตะขาบมรกตตัวที่ห้าล้วนผ่านความเป็นความตายร่วมกันมา แม้กระทั่งยอมเป็นหนี้สองแสนล้านหินวิญญาณเขาก็ยังเต็มใจ ไหนเลยจะยอมให้ถูกพรากจากกันเช่นนี้เล่า!

“ท่านหัวหน้าตะขาบมรกต ท่านเห็นพี่ใหญ่ของข้าเป็นอย่างไร?”

เมื่อเห็นว่าลู่เป่ยเหยียนหวงแหนถึงเพียงนั้น หลิงเยว่จึงหันไปหาหัวหน้าตะขาบมรกต ตัวหนึ่งเป็นหัวหน้าฝูงตะขาบมรกต ส่วนอีกคนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนาง ช่างเหมาะสมยิ่งนัก!

“เป็นเช่นนั้นไม่ดีแน่”

ให้ข้าขายตนเองให้กับมนุษย์หรือ? ย่อมเป็นไปไม่ได้!

เพื่อโอสถแปลงร่างเพียงเม็ดเดียว ต้องส่งน้องชายสุดแข็งแกร่งออกไปถึงสี่ตัว เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ามนุษย์เปราะบางนี่ยังไม่พอใจอีกหรือ?

จะให้ข้าส่งทั้งฝูงออกไปทำพันธสัญญากับมนุษย์ให้หมดเลยหรืออย่างไร!?

หากหลิงเยว่รู้ความคิดของหัวหน้าตะขาบมรกต คงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง!

“ในเผ่าตะขาบมรกตของเจ้าไม่มีตัวใดอยากแปลงร่างแล้วหรือ?”

“เจ้า… ยังมีโอสถนั่นอีกหรือ?”

หัวหน้าตะขาบมรกตมองหลิงเยว่ด้วยสายตาใคร่รู้ ยอมรับว่าการนำโอสถห้าเม็ดมาให้คือเรื่องที่น่าตกใจยิ่งแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับสื่อว่ายังมีโอสถแปลงร่างเหลืออยู่อีก?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท