บทที่ 167 น่าโมโหเสียจริง ถูกนางข่มขวัญเข้าเสียแล้ว
บทที่ 167 น่าโมโหเสียจริง ถูกนางข่มขวัญเข้าเสียแล้ว
หลังจากที่ซีชางเคี้ยวเม็ดโอสถที่ทำจากฟักทอง โอสถก็เริ่มออกฤทธิ์ในการรักษาบาดแผล แม้ความเร็วในการฟื้นฟูจะค่อนข้างช้า แต่รอยฟกช้ำบนใบหน้าก็จางลงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอย่างไร โอสถได้ผลดีหรือไม่?”
หลิงเยว่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าซีชางอย่างละเอียด และเผลอยิ้มออกมา
“เป็นเพียงแค่พ่อครัวก็ไม่แตกต่างจากกลั่นโอสถ” หลิงเยว่โบกมือ สั่งให้เหล่าตะขาบมรกตที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนางส่งโอสถให้กับเหล่าศิษย์ที่เหลืออีกสี่สิบเก้าคน หากผู้ใดไม่ยอมกิน ก็ให้บังคับให้กินเสีย
แม้จะไม่มีตะขาบมรกตตัวใดที่ผ่านการแปลงร่าง แต่หากคำนวณด้วยระดับของผู้บำเพ็ญแล้ว ระดับต่ำสุดของพวกมันคือระดับจินตานขั้นปลาย ส่วนขั้นสูงสุดก็คือระดับปฐมวิญญาณขั้นสูง และอีกก้าวเดียวพวกมันก็จะสามารถวิวัฒนาการ คือการเปลี่ยนจากดวงตาสีเขียวกลายเป็นดวงตาสีแดง และท้องของพวกมันก็จะสามารถขยายพื้นที่เปิดออกเป็นมิติได้อีกด้วย
เพียงพอต่อการจัดการกับเหล่าผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานและระดับจินตานพวกนี้แล้ว
เมื่อเอ่ยถึงมิติ…
หลิงเยว่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนยังมีปรมาจารย์บางท่าน ที่มีมิติภายในร่างกายของตนเอง ซึ่งสร้างจากตะขาบมรกตสี่ปีก มิติภายในร่างของตะขาบมรกตนั้นเปรียบเสมือนโลกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ทุกฤดูราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ ภายในมิติของตะขาบมรกตขั้นสูงนั้นยังสามารถปลูกสมุนไพรวิญญาณหายากและเร่งการเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น ดังนั้น…
จึงทำให้เผ่าตะขาบมรกตสี่ปีก ที่อยู่นอกเขตแดนลับสัตว์อสูรสูญพันธุ์ไปหมดสิ้นแล้ว ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างเขตแดนลับสัตว์อสูรขึ้นมานี้ คงไม่อาจทนเห็นเหล่าตะขาบมรกตสูญพันธุ์ได้ จึงสร้างเขตอาคมจองจำปีศาจที่แข็งแกร่งขึ้นมาเพื่อกักขังเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกเหล่านี้เอาไว้เพื่อให้พวกมันสามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลิงเยว่จึงรู้สึกไม่สบายใจนัก การที่นางตัดสินใจนำตะขาบมรกตสี่ปีกออกนอกเขตแดนลับสัตว์อสูรนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่?
นางหวาดกลัวว่าหากเมื่อใดที่มีผู้ยิ่งใหญ่คิดร้ายกับหัวหน้าตะขาบมรกต และใช้ตัวมันไปสร้างเป็นมิติภายในร่างของตนเอง เมื่อนั้นคงจะแย่แน่
ตอนนี้หลิงเยว่จึงไม่อยากใส่ใจกับสีหน้าของเหล่าศิษย์ที่กินโอสถลงไปแล้ว นางกลับเป็นกังวลและเล่าความกังวลใจของตนเองให้กับหัวหน้าตะขาบมรกตฟัง
“ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปปลุกเจ้าอีกาน้อย ให้นางพังเขตแดนลับสัตว์อสูรแล้วส่งพวกเจ้ากลับไป”
“ข้าไม่กลับ!”
หัวหน้าตะขาบมรกตพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง มันเอือมระอาชีวิตที่ต้องกัดกินดินและสูดอากาศเปล่า ๆ มานานแล้ว เมื่อมีโอกาสได้ออกมา มันจะยอมกลับไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร
หัวหน้าตะขาบมรกตรู้ว่าเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยผู้นี้ทำไปด้วยความปรารถนาดี มันจึงพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองลง “พวกเราได้กลายพันธุ์แล้ว มนุษย์หน้าไหนก็ไม่มีทางเปลี่ยนพวกเราให้กลายเป็นมิติภายในร่างกายได้”
“จริงหรือ? อย่าเอาทั้งเผ่าพันธุ์มาเสี่ยงเพียงเพื่ออาหารเชียวนะ”
หากหัวหน้าตะขาบมรกตกลับไปที่เขตแดนลับสัตว์อสูรแล้ว แม้หลิงเยว่จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่มันก็เป็นแค่ความลำบากเท่านั้น หากนางอดทนเสียหน่อยย่อมมันไปได้แน่ แต่หากปล่อยให้เหล่าตะขาบมรกตถูกกวาดล้างทั้งเผ่าพันธุ์ จะถือเป็นบาปมหันต์สำหรับนางนัก!
“ข้าดูโง่เขลาถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
ไม่รู้เหตุใด ในวันนี้หัวหน้าตะขาบมรกตถึงได้รู้สึกถูกชะตากับเจ้ามนุษย์เปราะบางผู้นี้ขึ้นมาบ้าง
ส่วนเหตุผลที่อยู่เคียงข้างนาง นอกจากนางจะมีโอสถแปลงร่างที่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์พวกตนแปลงร่างเป็นมนุษย์สำเร็จ และสามารถทำอาหารได้อร่อยแล้ว จุดเด่นที่สุดคือนางมองเผ่าตะขาบมรกตสี่ปีกโดยปราศจากความโลภโดยสิ้นเชิง
ดีกว่ามนุษย์ที่ทำพันธสัญญากับตะขาบมรกตตัวอื่น ๆ ยิ่งนัก!
หึ!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยจะมีเม็ดโอสถแปลงร่างอีกกี่เม็ด ก็ไม่มีทางบัญชาข้าได้!
จำนวนมากมายถึงเพียงนี้ หากจะเดินอวดโฉมอยู่ในสำนักคงจะเป็นที่สะดุดตามากเกินไป
หัวหน้าตะขาบมรกตไม่สนใจหลิงเยว่ ทั้งยังกลอกตาใส่นาง
ค่าตอบแทนเป็นโอสถแปลงร่างหนึ่งเม็ด แค่ให้ลูกหลานของหัวหน้าตะขาบมรกตสั่งสอนพวกมนุษย์เพียงเล็กน้อย งานสบาย ๆ เช่นนี้ ตัวมันจะยอมละทิ้งได้อย่างไร
“บัดนี้จะเปลี่ยนใจก็สายไปเสียแล้ว เจ้าเป็นหนี้ข้าสามเม็ด”
หลิงเยว่เดาะลิ้นเบา ๆ ช่างเถิด สามหมื่นล้านเท่านั้น รอให้เหล่าศิษย์พี่ใช้หนี้นางเสียก่อน แล้วค่อยเอามาใช้หนี้ให้หัวหน้าตะขาบมรกตภายหลังก็ได้
จากนั้นหลิงเยว่ก็หันไปสนใจเหล่าศิษย์ที่ได้รับการต้อนรับจากตะขาบมรกตอย่างเป็น ‘มิตร’
“ข้าดูประวัติของลูกศิษย์หมดทุกคนแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยเส้นสายของครอบครัวเข้ามา พวกเจ้าทุกคนล้วนมีแต่ชื่อเสียงของนักกลั่นโอสถ แต่ไร้ซึ่งความสามารถในการกลั่นโอสถอย่างแท้จริง บางคนก็ไม่มีความสามารถในการกลั่นโอสถเลยแม้แต่น้อย ส่วนบางคนแม้เรียนเป็นสิบปีก็ไม่สามารถสำเร็จการศึกษาได้…” พูดมาถึงตรงนี้หลิงเยว่จึงหันไปมองที่ซีชางเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มผู้นั้นจ้องมองไปที่หลิงเยว่แล้วเขาก็รู้สึกว่าแววตาของนางช่างร้ายกาจเหลือเกิน ซีชางโกรธจนตัวสั่น แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรโผงผางนัก เพราะเหล่าตะขาบมรกตที่รายล้อมนางอยู่นั้นมีจำนวนมากเกินไป
“ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่พอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร มัวแต่สนใจเรื่องกิน เที่ยวเล่น และรังแกผู้อื่น อ๋อ! แล้วยังมีศิษย์บางคนที่ไม่สนใจอะไรนอกจากความรักอีกด้วย พวกนางมักจะแสดงละครแย่งผู้ชายคนเดียวกันให้คนทั้งสำนักได้ดู…” หลิงเยว่พูดพลางส่ายหัวไปด้วย สีหน้าของนางนั้นช่างอธิบายได้ยากนัก
นางพูดเพียงสองสามประโยคก็สามารถทำให้บรรดาลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ด้านล่างไม่พอใจกันถ้วนหน้า หากไม่มีเหล่าตะขาบมรกตข่มขู่อยู่ พวกเขาคงจะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว
เถาวั่งผู้ที่นั่งดูอยู่ข้าง ๆ ชื่นชมความกล้าหาญของหลิงเยว่เป็นอย่างยิ่ง มีเหล่าศิษย์ที่มาจากครอบครัวใหญ่อยู่หลายคน แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าจะล่วงเกินมากนัก
“อาจารย์หลิง ท่านไม่กลัวตายที่ใดสักแห่งของสำนักบ้างหรืออย่างไร?” คำพูดอันเป็นการข่มขู่ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน หญิงสาวในชุดสีม่วงจ้องมองหลิงเยว่ด้วยสายตาที่ดุร้าย ราวกับว่าได้วางแผนให้นางตายไว้เรียบร้อยแล้ว
“เหล่าตะขาบมรกตคงปกป้องเจ้าได้ชั่วครู่เท่านั้น ไม่อาจปกป้องเจ้าได้ตลอด” ซีชางซึ่งสงบสติอารมณ์ลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หากรู้ว่าข้าเข้ามาด้วยเส้นสาย แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านปู่ของข้าคือผู้ใด?”
“หากไม่มีตะขาบมรกตสี่ปีก เจ้าก็ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว”
เหล่าลูกศิษย์ที่โกรธแค้นต่างตะโกนข่มขู่และด่าว่าหลิงเยว่ โดยไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
หากเป็นไปได้ หลิงเยว่อยากจะเลือกศิษย์ด้วยตัวนางเองมากกว่าที่จะมาเจอกับเหล่าศิษย์ที่หลงตัวเองและไม่เห็นหัวผู้ใดเช่นนี้
ทางด้านนอกห้องเรียนมีทั้งลูกศิษย์ ผู้อาวุโส และอาจารย์คนอื่นมุงดูอยู่เต็มไปหมด แม้แต่อาจารย์ใหญ่ของสำนักก็ยังแอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนเฝ้าสังเกตอย่างเงียบ ๆ ด้วย
“หากไม่มีตะขาบมรกตสี่ปีก ข้าก็ยังมีคนคอยหนุนหลังอยู่เช่นกัน ไม่เลวร้ายไปกว่าพวกเจ้า และอาจจะดีกว่าพวกเจ้าทุกคนเสียด้วยซ้ำ”
หลิงเยว่เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะหยิบป้ายหยกที่แสดงถึงตัวตนว่าเป็นศิษย์สายตรงของสำนักหลานเทียน หนึ่งในสามสำนักใหญ่ของโลกผู้บำเพ็ญเซียนออกมา “อาจารย์ของพวกเจ้าคือศิษย์สายตรงคนที่ห้าของปรมาจารย์ด้านการกลั่นโอสถชิงยวน”
เมื่อป้ายหยกของศิษย์สายตรงสำนักหลานเทียนปรากฏสู่สายตาทุกคน เหล่าฝูงชนก็เงียบสงัดลงชั่วขณะ บรรยากาศที่เคยวุ่นวายกลายเป็นความเงียบงัน ทุกคนต่างจับจ้องไปที่หยกในมือของนางด้วยความเคารพและยำเกรง
ทว่าก็ยังมีบางคนที่แสดงสีหน้าดูถูก
ทันใดนั้น หลิงเยว่ก็หยิบป้ายหยกในฐานะรองเจ้าเมืองออกมาอย่างเชื่องช้า
“นอกจากฐานะศิษย์สายตรงของสำนักหลานเทียนแล้ว ข้าก็ยังเป็นรองเจ้าเมืองฮั่วหยาง เมืองที่เพิ่งรุ่งเรืองขึ้นในดินแดนตอนเหนืออีกด้วย เหล่าผู้อาวุโสและนักกลั่นโอสถที่ไปที่นั่นไม่มีผุ้ใดพูดถึงชื่อหลิงเยว่บ้างเลยหรือ? ถึงแม้จะไม่พูดถึงแต่ก็น่าจะรู้ว่าเมืองฮั่วหยางสร้างฐานะขึ้นมาได้จากสิ่งใด และตะขาบมรกตสี่ปีกที่อยู่เคียงข้างข้าก็มีจำนวนเยอะที่สุดอีกด้วย!”
สายตาของเหล่าผู้คนที่เดิมทีตั้งใจจะมาดูเรื่องสนุก ๆ จดจ้องไปที่ตะขาบมรกตสี่ปีก แต่ทว่าบัดนี้สายตาทุกคู่ก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่หลิงเยว่ด้วยเช่นกัน
น้ำเสียงนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยนที่สุด แต่กลับเป็นคำพูดที่รุนแรงที่สุด คงมีเพียงหลิงเยว่เท่านั้นที่ทำได้
“การเป็นลูกศิษย์ของข้า ถือเป็นเกียรติของพวกเจ้าทั้งหลายแล้ว”
“อืม พูดได้ถูกต้อง ถือเป็นเกียรติของพวกเขาจริง ๆ” เถาวั่งอารมณ์ดีเห็นด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่เหล่าศิษย์ที่ถูกเปรียบเทียบจนสีหน้านั้นหมองลงไป เขารู้สึกชื่นใจไม่ใช่น้อย!
เมื่อเทียบกับระดับพลังแล้ว แม้ว่าหลิงเยว่จะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานขั้นต้น แต่ก็อย่าได้ละเลยเรื่องวัยและรากวิญญาณของนางไปเสีย เพราะนางมีความสามารถในการฝึกฝนที่เก่งกาจที่สุด!
และเมื่อเปรียบเทียบที่ภูมิหลังแล้ว ในสำนักแห่งนี้มีผู้ที่เทียบเสมอหลิงเยว่ได้เพียงไม่กี่คน ยิ่งกว่านั้นนางอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นก็สามารถพึ่งพาความสามารถของตนเอง นำพาเมืองฮั่วหยางเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ลองถามดูเถิดว่ามีผู้ใดกระทำได้อย่างนางอีกหรือไม่?
แล้วลองมองดูว่ารอบกายนาง ยังมีหัวหน้าตะขาบมรกตสี่ปีกที่แปลงร่างแล้วเฝ้าปกป้องนางอยู่ ด้วยเหตุนี้แล้ว ใครเล่าจะเทียบได้!
ผู้คนเหล่านั้นต่างจ้องมองไปที่หลิงเยว่ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แล้วรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก