ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 178 ชีวิตขมยิ่งกว่ามะระ

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 178 ชีวิตขมยิ่งกว่ามะระ

บทที่ 178 ชีวิตขมยิ่งกว่ามะระ

ทว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้กินเวลานานอย่างที่หัวหน้าตะขาบมรกตคิดไว้ เมื่อดอกไม้สีขาวบนตัวเจ้าแมงมุมเบ่งบานเต็มที่ มันก็เริ่มคลุ้มคลั่ง พ่นพิษและใยแมงมุมพร่ำเพรื่อ โจมตีต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างอย่างไม่เลือกหน้า แล้วกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความทุรนทุราย ราวกับกำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

“เจ้าทำอะไรข้า!” น้ำเสียงของแมงมุมยักษ์แหบพร่า เต็มไปด้วยความหวาดกลัว มันรับรู้ได้ชัดเจนว่าดอกไม้บนร่างกำลังใช้เนื้อหนังของมันเป็นอาหาร คอยดูดเลือดเนื้ออยู่ตลอดเวลา และรากของดอกไม้เหล่านั้นก็ฝังลึกลงไปเรื่อย ๆ ในอวัยวะภายใน จนใกล้จะลุกลามไปถึงแก่นปราณอสูรแล้ว!

ไม่!

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะต้องตายแน่!

“พี่สาวมนุษย์ ปล่อยข้าเถิด เมื่อครู่ข้าเพียงเล่นกับท่านเท่านั้น…”

สลับบทบาทกันอย่างสิ้นเชิง

น่าเสียดายที่หลิงเยว่ซึ่งกำลังจมดิ่งอยู่ในวิชาปรสิตไม่ได้ยินเสียงร้องขอความเมตตาของเจ้าแมงมุมแต่อย่างใด ในตอนนี้ขนาดของดอกไม้สีขาวกำลังขยายใหญ่ขึ้น เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของแมงมุมที่ถูกทรมานดังก้องไปทั่ว

จิตใจของมันบอกมันว่าการระเบิดตนเองคงช่วยให้มันรู้สึกดีขึ้น แต่กว่าจะฝึกฝนจากแมงมุมตัวเล็กธรรมดาให้มีแก่นปราณอสูรได้นั้น ช่างยากเย็นเหลือเกิน แล้วมันจะยินยอมละทิ้งอย่างง่ายดายได้อย่างไร?

“ปล่อยข้าเถิด ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ ข้าผิดไปแล้ว”

หัวหน้าตะขาบมรกตซึ่งเฝ้าดูอยู่รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยทำสิ่งใดกับแมงมุมลายตัวนี้กันแน่ เหตุใดแมงมุมที่พลังเทียบเท่าผู้บำเพ็ญขอบเขตจินตานขั้นปลาย ถึงกลายเป็นผู้วิงวอนขอความเมตตาจากมนุษย์ที่มีพลังเพียงขอบเขตสร้างรากฐานได้

หลิงเยว่พยายามส่งพลังปราณเข้าไปในดอกไม้สีขาวอย่างสุดความสามารถ นางอยากลองดูว่าวิชาปรสิตในปัจจุบันของนางจะสามารถดูดซับพลังจากแมงมุมยักษ์ตัวนี้จนหมดสิ้นหรือไม่!

“ฟู่…”

หลิงเยว่และแมงมุมก็พ่นเลือดออกมา แล้วล้มลงพร้อมกัน

ดอกไม้สีขาวและต้นหญ้าเขียวขจีเริ่มเหือดแห้งลงไปแล้ว รอบข้างเต็มไปด้วยความโกลาหล

หัวหน้าตะขาบมรกตกระโดดลงจากต้นไม้แล้วอุ้มหลิงเยว่ขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองแมงมุมยักษ์ที่กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดแล้วหันมาจ้องมองหลิงเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชัง พร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัด

“ลาก่อน”

หยดน้ำลายสีเขียวถูกดีดไปยังแมงมุมยักษ์ ก่อนที่ร่างของแมงมุมนั้นจะระเบิดกลายเป็นจุณ

เสียงดังกึกก้องจากด้านนอกกำแพงเมืองฝู่ซางดังออกมา จนกลายเป็นที่สนใจของผู้บำเพ็ญภายในเมือง แต่เมื่อพวกเขามาถึงก็พบเพียงพื้นดินไหม้เกรียมและควันดำที่แสบจมูกเท่านั้น

ตัวการที่ทำให้กลายเป็นเช่นนี้หายตัวไปแล้ว

หัวหน้าตะขาบมรกตอุ้มหลิงเยว่กลับมายังสักนัก แล้วโยนคนในอ้อมแขนลงกับพื้นอย่างรุนแรง

“ปล่อยข้า ข้าจะเดินเอง!”

เซี่ยซิ่นรุ่ยซึ่งถูกตะขาบมรกตกระชากคอเสื้อแล้วโยนเข้าไปในห้องเรียนของชั้นพิเศษ ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าความสามารถในการฝึกฝนของตนเองนั้นด้อยกว่าตะขาบมรกต เขาจึงทำได้เพียงปล่อยให้ตะขาบมรกตอุ้มตนเองบินผ่านศีรษะของเพื่อนร่วมชั้นไป แล้วถูกโยนลงข้าง ๆ หลิงเยว่ที่นอนอยู่บนพื้น

ใบหน้าของหลิงเยว่ซีดเผือดราวกับคนตาย ทำให้เซี่ยซิ่นรุ่ยตกใจกลัว ตะขาบมรกตไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็คลานเข้าไปหาอาจารย์ของตนและตรวจสอบลมหายใจของนางทันที เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาพัดผ่านปลายนิ้วของตนเอง เขาจึงได้กล้าหายใจ

เขากลัวมากจนคิดว่าอาจารย์หลิงตายแล้วเสียอีก

เมื่อตรวจชีพจรแล้วพบว่าอาจารย์เพียงสูญเสียพลังวิญญาณและพลังร่างกายไปจนหมดสิ้น ทั้งยังได้รับบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อย นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง

รอจนกระทั่งป้อนโอสถให้หลิงเยว่เสร็จ เซี่ยซิ่นรุ่ยถึงได้หันสายตาไปที่หัวหน้าตะขาบมรกตที่ไม่เอาไหน “เจ้าเก่งกาจเพียงนี้ เหตุใดจึงปล่อยให้อาจารย์ได้รับบาดเจ็บได้เล่า?”

หัวหน้าตะขาบมรกตมองเพดานอย่างรู้สึกผิด

“พวกมนุษย์ไม่ได้อยากฝึกฝนกันหรือ หากไม่ฝึกฝนแล้วจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร?”

ตอบโต้ได้อย่างดีเยี่ยม หัวหน้าตะขาบมรกตชื่นชมตนเอง

เซี่ยซิ่นรุ่ยถึงกับชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดได้มีเหตุผล

“เจ้าพาอาจารย์หลิงไปฝึกที่ใด?”

“ถนนชิงเฟิง บ้านเลขที่เจ็ดเจ็ดสี่”

“ว่าอย่างไรนะ! ถนนชิงเฟิง บ้านเลขที่เจ็ด… เจ็ดสี่หรือ?” ที่นั่นมีแต่ตึกร้างทรุดโทรมที่ถูกสาปแช่ง อาจารย์หลิงคงไม่ได้เผลอไปโดนคำสาปเข้ากระมัง

เซี่ยซิ่นรุ่ยรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง แต่เขารู้เรื่องคำสาปเพียงน้อยนิด ทันใดนั้น เซี่ยซิ่นรุ่ยพลันนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา แล้วรีบวิ่งออกจากห้องเรียนไป

ไม่นานนัก จื่อเฉาอวี่ก็ถูกเซี่ยซิ่นรุ่ยลากตัวมา “พูดมา เจ้าแอบใช้คาถาคำสาปกับอาจารย์หรือไม่?!”

“อาจารย์หลิงดูแลเจ้าไม่น้อย เหตุใดถึงทำได้ลงคอ จิตใจต่ำช้านัก เจ้าคอยดูเถิด ข้าจะไปหาท่านอาจารย์ใหญ่เดี๋ยวนี้ เจ้าตะขาบมรกตช่วยจับตาดูแม่มดร้ายกาจตนนี้ไว้ด้วย!”

เซี่ยซิ่นรุ่ยกล่าวแล้วเดินจากไป

หลังจากโดนด่าและยังถูกตราหน้าว่าเป็นแม่มดร้ายกาจ จื่อเฉาอวี่จึงได้แต่ “…”

เจ้าเซี่ยซิ่นรุ่ยคงไม่ได้คิดว่าอาจารย์เป็นเช่นนี้เพราะฝีมือข้ากระมัง?!

หัวหน้าตะขาบมรกตเองก็พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเซี่ยซิ่นรุ่ยฉลาดนัก ที่ไหนได้เขากลับเป็นคนที่มองไม่ออกเสียเอง

“อาจารย์หลิง เป็นอะไรไป?”

“ประมาณตนไม่ได้จึงถูกของต้องห้ามเล่นงาน”

“ไม่ได้โดนคำสาปใช่หรือไม่?” แม้จื่อเฉาอวี่จะไม่รู้สึกถึงร่องรอยคำสาปในร่างหลิงเยว่ แต่คำสาปขั้นกลางขึ้นไปก็ไม่ใช่ว่าผู้ใช้คาถาคำสาปขั้นต้นอย่างนางจะรับรู้ได้

หัวหน้าตะขาบมรกตไม่อยากตอบคำถามไร้สาระ จึงหันศีรษะไปนอกหน้าต่าง บังเอิญเหลือเกินที่ได้สบตากับท่านอาจารย์ใหญ่ที่รีบร้อนมาพอดี

ท่านอาจารย์ใหญ่เพียงเหลือบมองหลิงเยว่ครู่เดียว ก็หันกลับมากระทืบเซี่ยซิ่นรุ่ยอย่างแรง

“โอ๊ย! ท่านอาจารย์ใหญ่ เหตุใดท่านจึงตีข้า!” เซี่ยซิ่นรุ่ยประคองท้ายทอยพร้อมกับความน้อยเนื้อต่ำใจ

“เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หากข้ามาช้ากว่านี้สักครึ่งชั่วยาม แผลคงหายดีแล้ว สาปให้เจ้าหัวเป็นไม้เสียไม่ดีกว่าหรือ?”

เซี่ยซิ่นรุ่ย “…”

“ได้รับบาดเจ็บอย่างไร?” แม้ท่านอาจารย์ใหญ่จะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็ใช้คาถาบำบัดช่วยเร่งการฟื้นตัวของหลิงเยว่

“เพราะร้านเล็ก ๆ ทรุดโทรมที่ท่านให้นางอย่างไรเล่า” ในที่สุดหัวหน้าตะขาบมรกตก็สามารถพูดอย่างเต็มปากเต็มคำได้เสียที หากจะหาผู้ที่ผิดก็ต้องเพราะมนุษย์ตรงหน้าเอง

ภายในร้านเล็ก ๆ ทรุดโทรมแห่งนั้น ซ่อนเจ้าแมงมุมลายที่อยู่ขอบเขตจินตานขั้นปลายแฝงไว้ด้วย ทำให้ท่านอาจารย์ใหญ่ขมวดคิ้วแน่น

ไม่น่าใช่เช่นนี้ ก่อนหน้านี้ได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว นอกจากจะทรุดโทรมไปหน่อย มีข่าวลือเสียหายออกไปบ้าง ก็ไม่พบปัญหาอื่น

“อาจารย์ใหญ่เจ้าคะ… ข้าช่างโชคร้ายนัก!”

หลิงเยว่ที่ฟื้นขึ้นมาแล้วคว้าชายเสื้ออาจารย์ใหญ่เอาไว้ น้ำตาพลันไหลพรากออกมา

หลิงเยว่สะอื้นเล่าเรื่องราวความโชคร้ายของตนเองให้ฟัง หัวหน้าตะขาบมรกตที่ได้ยินเรื่องราวนั้นที่ถูกเสริมเติมแต่งแล้วก็ถึงกับกล้ามเนื้อกระตุก

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอร้านข้างหอจี้ซื่อให้เจ้าดีหรือไม่?” อาจารย์ใหญ่เพียงเห็นสีหน้าเสแสร้งของหลิงเยว่ก็รู้ทันทีว่านางกำลังคิดการใหญ่

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่ต้องเอาร้านนั้นก็ได้ ขอที่ไหนก็ได้ยกเว้นร้านทรุดโทรมนั่นก็พอ”

หลิงเยว่ยังคงกังวลกับเรื่องที่ท่านอาจารย์ใหญ่เคยบอกว่า ถ้าลองแล้วอาจจะสิ้นใจตายก่อน จึงไม่กล้าเปิดร้านใกล้ ๆ กับหอเลี่ยนตาน แต่ร้านทรุดโทรมนั้น นางไม่อยากลงทุนใช้หินวิญญาณตกแต่งอีกแล้ว แค่ข่าวลือก็เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการค้าขายของนางในวันข้างหน้าแล้ว!

อาจารย์ใหญ่ลำบากใจยิ่งนัก

ร้านขายโอสถเป็นรายได้หลักของสำนัก การคิดเปลี่ยนร้านโอสถที่ดีอยู่แล้ว ให้กลายเป็นร้านสุราสมุนไพรวิญญาณคงจะทำให้คนส่วนใหญ่ไม่พอใจ ร้านเล็ก ๆ ที่ทรุดโทรมนั้นเหมาะให้หลิงเยว่ลองผิดลองถูกแล้ว

แม้จะยากลำบาก เขาเชื่อมั่นว่าหลิงเยว่จะทำได้แน่!

“ความจริงไม่จำเป็นต้องเปิดร้านก็ได้อาจารย์หลิง หากอยากขายอะไรก็ฝากขายที่ร้านตระกูลเซี่ย หรือร้านขายของในสำนักได้เช่นกัน!”

หลิงเยว่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ความจริงแล้วก่อนที่ร้านเล็ก ๆ แสนทรุดโทรมจะสร้างใหม่เสร็จ ก็ให้ร้านของสำนักและที่บ้านของเหล่าศิษย์ช่วยเปิดทางให้สุราสมุนไพรวิญญาณก่อน

หลังจากนั้นรอจนร้านที่ทรุดโทรมเปิดกิจการ แล้วยังต้องกลัวสุราสมุนไพรวิญญาณขายไม่ได้อีกหรือ?

เมื่อถึงเวลานั้นก็จัดกิจกรรมอะไรสักอย่าง เช่น ซื้อสุราสมุนไพรวิญญาณเท่าไหร่ก็จะให้อาหารวิญญาณกินเป็นกรณีพิเศษ

นอกจากจะได้เงินแล้วยังได้กระจายข่าวเรื่องอาหารวิญญาณพิเศษอีกด้วย…

หลิงเยว่รู้สึกทันใดว่า ชาติก่อนที่เป็นแค่แม่ครัวนั้นได้ฝังกลบพรสวรรค์ทางการค้าของนางไว้อย่างสิ้นเชิง!

“ยอดเยี่ยม ตกลงตามนั้น!”

หลิงเยว่เต็มไปด้วยพลัง ความมั่งคั่งมหาศาลที่เป็นของนางกำลังจะมาถึงแล้ว!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท