ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 192 นางช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 192 นางช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก!

บทที่ 192 นางช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก!

“นางผ่านการประเมินเป็นนักกลั่นโอสถพิเศษขั้นหนึ่งแล้ว” ตอนที่ผู้อาวุโสหลิวพูดคำเหล่านั้น น้ำเสียงของท่านฟังดูฝืนใจเป็นอย่างยิ่ง

หากไม่ใช่เพราะความดื้อดึงของเจ้าหัวดื้อผู้นั้น และแรงกดดันจากเหล่าอาจารย์สำนักกลั่นโอสถ ชุดคลุมพิเศษชิ้นนี้คงไม่มีวันได้ถือกำเนิดเป็นแน่!

“นักกลั่นโอสถพิเศษหรือ?”

คำกล่าวนี้ก่อให้เกิดกระแสฮือฮาอย่างรุนแรง แล้วพิเศษอย่างไรกันเล่า?

“นี่คือจดหมายท้าประลองจากสำนักกลั่นโอสถลำดับที่หก สำนักวั่งเต๋อ ส่งถึงเจ้าและเหล่าศิษย์ ในอีกสามเดือนข้างหน้า ณ จัตุรัสกลางเมืองฝู่ซางของหอจี้ซื่อ จะมีการประลองแบบเปิดต่อหน้าฝูงชน หากเจ้าพ่ายแพ้ต้องมอบชุดคลุมนักกลั่นโอสถพิเศษขั้นหนึ่งและออกไปจากเมืองฝู่ซางเสีย”

“แล้วหากชนะเล่า?”

“ชนะหรือ…” ผู้อาวุโสหลิวยิ้มอย่างมีเลศนัย “ผลตอบแทนจากชัยชนะอย่างนั้นหรือ? เจ้าฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้คงไม่ต้องให้ข้ากล่าวมากกระมัง”

หากนางชนะ อาหารวิญญาณพิเศษจะได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในเหล่านักกลั่นโอสถอย่างแน่นอน

ชุดคลุมนักกลั่นโอสถพิเศษขั้นหนึ่งนั้นเป็นเพียงผลผลิตที่เกิดจากแรงกดดัน ไม่ได้มีความหมายใด ทว่าหลิงเยว่ต้องการใช้อาหารวิญญาณพิเศษสื่อว่านางมีคุณสมบัติที่จะสวมชุดคลุมพิเศษนี้ได้ และเหล่าศิษย์ของนางต่างมีคุณสมบัตินี้เช่นกัน!

หลิงเยว่ย่อมรู้ดีถึงผลตอบแทนในการประลองครั้งนี้ แต่หากรับคำท้าโดยไม่ไตร่ตรอง ผลลัพธ์ที่ได้มีเพียงอย่างเดียวคือพ่ายแพ้!

ที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมของนักกลั่นโอสถ พวกเขาจะยอมให้อาหารวิญญาณพิเศษชนะได้อย่างไร นั่นไม่ใช่การเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนักกลั่นโอสถจำนวนนับไม่ถ้วนหรือ?

แน่นอนว่า หากพ่ายแพ้ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ใดเลย ถือเสียว่าได้ใช้โอกาสนี้เผยแพร่อาหารวิญญาณพิเศษ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น

แต่ทั้งสองอย่างอาจจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยปราศจากความขัดแย้ง!

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะไล่นางออกจากเมืองได้แล้วจะเป็นอะไร เพราะอาหารวิญญาณพิเศษได้กระจายไปทั่วทั้งดินแดนทางตอนเหนือและหยั่งรากลึกลงไปแล้ว หรือเหล่านักกลั่นโอสถคิดจะทำลายทะเลทรายทางตอนเหนือทั้งผืนเลย?

ฮ่า ๆ!

หลิงเยว่ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด นางส่งจดหมายท้าประลองกลับคืนไปยังท่านผู้อาวุโสหลิว “ข้าไม่สามารถรับจดหมายท้าประลองนี้ได้ แต่ในอีกสามปีข้างหน้าเราจะได้พบกันในการแข่งขันนักกลั่นโอสถ!”

ถึงอย่างไร ในตอนนั้นภารกิจของนางก็สำเร็จลุล่วงแล้ว หากนางแพ้ก็แค่ออกไปจากเมืองนี้เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ!

นางไม่ต้องการชุดคลุมที่แสบตาชุดนั้นเลยสักนิด ถ้ามันยุ่งยากเกินไป นางก็จะจัดตั้งสมาคมนักกลั่นโอสถพิเศษเป็นของตนเอง และทำชุดคลุมเองด้วยเสียเลย!

สำนักหลานเทียนยังมีนักกลั่นโอสถอีกเหลือเฟือ!

ในตอนนี้จื่อเฉาอวี่และเซี่ยซิ่นรุ่ยรู้สึกว่าหลิงเยว่งดงามมาก พวกเขาทั้งสองไม่ได้โง่เขลา จุดประสงค์ของท่านผู้อาวุโสหลิวก็แค่อยากไล่ให้อาจารย์ของพวกเขาออกไปเท่านั้น การจะเอาชนะนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

พวกเขาเรียนในชั้นเรียนพิเศษมาเพียงครึ่งปีเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเก่งกล้ากว่านักกลั่นโอสถที่กลั่นโอสถมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

แต่แน่นอนว่า หากเทียบกันที่ทักษะการกลั่นโอสถ พวกเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านักกลั่นโอสถเหล่านั้นเท่าไหร่นัก!

ทว่าท่านผู้อาวุโสหลิวมีความหมายที่ชัดเจน นั่นคือการใช้โอสถและอาหารวิญญาณพิเศษมาเปรียบเทียบกัน!

ท่านผู้อาวุโสหลิวไม่คาดคิดว่าเด็กสาวอายุเพียงสิบแปดปี ที่มีการบำเพ็ญเพียงขอบเขตสร้างรากฐานผู้นี้จะปฏิเสธ นางเพียงยิ้มเยาะและเก็บจดหมายท้าประลองนั้นไป

“น่าละอาย ช่างไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรียิ่งนัก!” อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักกลั่นโอสถฝ่าฝูงชนออกมาพอดี ก็พบกับท่านผู้อาวุโสหลิวที่เดินออกมา ท่านผู้อาวุโสหลิวรู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเขาพูดประโยคนี้ออกมาพร้อมกับส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ

“เจ้า!” ท่านผู้อาวุโสหลิว ผู้จำได้ว่าผู้นี้คือใคร นางพลันหายใจติดขัด

“อย่างไร? เจ้าประสงค์จะต่อสู้กับข้าหรือ?” ท่านอาจารย์ใหญ่ที่ปลอมตัวมาเป็นชายชราร่างเตี้ย ในเวลานี้กลับแผ่รัศมีขยายออกไปราวหนึ่งจั้ง เขาเงยหน้ามองอย่างไม่พอใจไปทางท่านผู้อาวุโสหลิวที่กำลังโมโห

แน่นอนว่าท่านผู้อาวุโสหลิวรับรู้ดีว่าหากตนลงมือ ย่อมไม่อาจบรรลุผลอันใด ทั้งยังมีแนวโน้มสูงที่จะได้รับบาดเจ็บ จึงจำใจฉีกมิติแล้วรีบหนีไปในทันที เกรงว่าหากชักช้าเพียงนิด อาจอดใจไม่ได้จนต้องแลกชีวิตกับท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว

“ช่างขี้ขลาด!”

ท่านอาจารย์ส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก้าวเท้าหมายจะเดินตามไป แต่ครั้นนึกถึงทรัพย์สินที่สูญเสียไปในช่วงเวลานี้ ท่านจึงยั้งเท้าไว้ก่อน

หลิงเยว่ยื่นชามกุ้งรสชาติแปลกประหลาดสองชนิดให้กับท่านอาจารย์ ใหญ่ หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่ท่านได้ช่วยนางแก้แค้นเพียงเล็กน้อย นางคงไม่ลำบากถือมาให้เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ท่านยังกล้าติเตียนเรื่องความขี้ขลาดของท่านผู้อาวุโสหลิวกระนั้นหรือ? ในเมื่อตัวท่านอาจารย์ใหญ่เองก็ขี้ขลาดไม่แพ้กัน

“ข้าสาปแช่งร้านนั้นเอาไว้ บางทีกุ้งชามนั้นมันคงเปื้อนกลิ่นสาปแช่งอยู่บ้าง…”

มือของท่านอาจารย์ใหญ่ที่กำลังจะกินต้องชะงักลง เกิดอาการลังเลขึ้นมาทันที

หลิงเยว่ “…”

“ท่านอาจารย์ใหญ่ หากท่านไม่กิน ข้ายินดีจะรับประทานเอง!”

เหล่าศิษย์ที่อดทนไม่ไหวต่างก็เตรียมจะคว้ากุ้งมากิน ทว่ากลับถูกท่านอาจารย์ใหญ่ตบมือไล่ “พวกเจ้าอยากกินก็ไปทำเองเถิด เป็นถึงศิษย์ชั้นเรียนพิเศษแท้ ๆ ช่างน่าอับอายจริงเชียว!”

จากนั้นหลิงเยว่ก็หยิบชามอีกใบออกมา พร้อมกับเดินไปหาฝูงชนที่ยืนมุงดูอยู่ และออกปากเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านยืนอยู่นานคงเมื่อยแล้วกระมัง ข้าให้คนละตัวก็แล้วกัน หากท่านใดที่ทานไปแล้วรู้สึกว่าอร่อย พรุ่งนี้เชิญมารับประทานที่ร้านได้…”

คำว่า ‘ไม่จำกัด’ ยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก ฝูงชนต่างรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขาทั้งหลายล้วนมองหลิงเยว่และกุ้งในชามราวกับมองปีศาจร้าย โดยเฉพาะเมื่อได้ยินนางกล่าวว่าทำกุ้งนั้นขึ้นที่ร้านต้องสาป ยิ่งแน่ใจเป็นที่สุดว่ามันจะต้องปนเปื้อนกลิ่นสาปแช่งอยู่แน่นอน!

“ท่านอาจารย์หลิง ท่านเองก็เมื่อยแล้วไม่ใช่หรือ?” ศิษย์ชายคนหนึ่งเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพยายามเอื้อมมือไปหยิบชามจากหลิงเยว่ แต่เขาก็หยิบออกมาอย่างง่ายดาย

ขณะที่อาจารย์ของเขากลับยืนตัวแข็งทื่อ สีหน้าของนางเจ็บปวดขณะมองฝูงชนที่ถอยห่างออกไปหลายก้าว

พวกเขาหวาดกลัวเพียงนี้เชียวหรือ!

โชคดีที่นางตัดสินใจไม่รับคำท้าประลอง นางมองดูฝูงชนที่กำลังหวาดกลัวและไม่เต็มใจเหล่านั้น พลันตระหนักได้ว่าไม่มีทางชนะอยู่แล้ว แม้ว่านางจะไม่ได้ถูกสาปก็ตาม

ท่านอาจารย์ใหญ่ประคองชามในมือไว้แน่น ยกมือขึ้นหมายจะลูบไหล่หลิงเยว่เพื่อปลอบโยน ทว่ามือเพิ่งจะยื่นออกไปได้ครึ่งทาง ก็หักเหไปกลางอากาศ แล้วคว้ากุ้งขึ้นมาแทน

กุ้งคงจะไม่ได้โดนคำสาปมากเท่าไหร่กระมัง?

หลิงเยว่เหลือบตามองท่านอาจารย์ใหญ่อย่างน้อยใจ “ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าจะเปิดร้านพรุ่งนี้แล้ว ร้านคงจะไม่ร้างผู้คนใช่หรือไม่?”

ท่านอาจารย์ใหญ่ที่เพิ่งจะกินเนื้อกุ้งเข้าไปโดยยังไม่ทันได้ซาบซึ้งถึงรสชาติ “…”

ความหมายของนางเป็นเช่นเดียวกับที่เขาเข้าใจใช่หรือไม่?

ไม่เหมาะเท่าไหร่กระมัง? ในฐานะอาจารย์ใหญ่จะไปใช้อำนาจในทางมิชอบได้อย่างไรกัน?

แต่เมื่อเผชิญกับหลิงเยว่ที่ยิ่งดูน้อยใจและกำลังจะกลายเป็นความไม่พอใจนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างยากลำบาก

น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจมาดูความวุ่นวายนี้ ช้าก่อน! กุ้งจานนี้มันช่างอร่อยเสียจริง! กลิ่นหอมของสุราสมุนไพรในเนื้อกุ้งช่างเป็นรสชาติที่โดดเด่น วิเศษจริงยิ่งนัก!

“กุ้งอร่อยหรือไม่?” หลังจากหลิงเยว่พูดจาเป็นนัยกับอาจารย์ใหญ่เสร็จก็ปรากฏตัวขึ้นดั่งวิญญาณร้ายด้านหลังของเหล่าศิษย์

“อร่อยมากขอรับอาจารย์หลิง พรุ่งนี้อาจารย์ช่วยสอนอาหารจานพิเศษนี้ได้หรือไม่ขอรับ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาใสซื่อของเหล่าลูกศิษย์ หลิงเยว่จึงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ได้! พรุ่งนี้สถานที่เรียนจะเป็นที่นี่ พวกเจ้าอย่าลืมมากันเล่า!”

เหล่าศิษย์ที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินกุ้งพลันรู้สึกว่าเนื้อกุ้งในปากไม่อร่อยเสียแล้ว

“อาจารย์ ท่านดูลูกค้ากลุ่มนั้นเถิด”

ลูกศิษย์ใช้หัวกุ้งชี้ไปยังกลุ่มคนที่หวาดกลัวจนวิ่งหนีไปจนเกือบมองไม่เห็นเงา

“จริงด้วย ถึงแม้พวกเราจะมาพรุ่งนี้ก็คงขายไม่ออก…”

ศิษย์ที่ได้รับสายตาอันเย็นเยียบจากหลิงเยว่ ต่างค่อย ๆ ลดเสียงลง

“พวกเจ้าล้วนยากไร้เช่นนี้แล้ว ยังกลัวคำสาปอีกหรือ?”

ประโยคเดียวแทงใจเหล่าศิษย์จนหน้าซีด ช่างทำร้ายจิตใจอะไรเช่นนี้เล่า!

ท่านอาจารย์ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเกิดหัวดื้อแล้วพรุ่งนี้ไม่มาหรือ!

หากพวกเจ้าไม่มารึ?

หลิงเยว่ได้คิดเอาไว้แล้ว หากพวกเขาไม่มา นางจะส่งฝูงตะขาบมรกตไปรับพวกเขามาคนละตัว แล้วให้พวกเขาลองสัมผัสชะตากรรมเดียวกับกลุ่มของซีชางเสีย

ซีชางหรือ?

จริงด้วย! นางลืมเจ้าพวกเคราะห์ร้ายนั่นได้อย่างไร!

แววตาของหลิงเยว่วูบไหวไปมา เมื่อความคิดอันแยบยลผุดขึ้นในสมอง!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท