ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 194 ถึงขั้นตอนจะผิดพลาด แต่ผลลัพธ์ไม่คลาดเคลื่อน!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 194 ถึงขั้นตอนจะผิดพลาด แต่ผลลัพธ์ไม่คลาดเคลื่อน!

บทที่ 194 ถึงขั้นตอนจะผิดพลาด แต่ผลลัพธ์ไม่คลาดเคลื่อน!

การต่อสู้ที่ดุเดือดดำเนินต่อไป จนกระทั่งความมืดมิดปกคลุมท้องฟ้า ก่อนที่ความโกลาหลอลหม่านจะถูกหยุดชะงักลงด้วยการปรากฏตัวของอาจารย์ใหญ่

“เจ้าคอยดูเถิด แล้วไปบอกอาจารย์ของเจ้าด้วยว่าตราบใดที่ข้ายังอยู่ ร้านทรุดโทรมของนางจะไม่ได้เปิดอย่างแน่นอน!” ซีชางผู้หมดสิ้นเรี่ยวแรงจนต้องอาศัยผู้อื่นคอยประคอง ชี้มือไปทางเซี่ยซิ่นรุ่ยแล้วข่มขู่

เซี่ยซิ่นรุ่ยซึ่งนอนคว่ำอยู่บนพื้นยกศีรษะขึ้นอย่างฉับพลัน ซีชางพูดออกมาแล้ว! เขาต่อสู้อย่างหนักหน่วงมานานนัก ในที่สุดก็ได้ยินประโยคนี้จากซีชางเสียที นั่นหมายความว่าภารกิจของเขาสำเร็จลุล่วง!

แม้ขั้นตอนจะผิดพลาดและต้องเผชิญกับเส้นทางอันยากเย็น พร้อมด้วยร่างกายที่ยังได้รับบาดเจ็บจนบอบช้ำไปทั่วร่าง แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้คลาดเคลื่อน!

“ได้! แล้วข้าจะคอยดู” เซี่ยซิ่นรุ่ยแสยะยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับกระทบกับบาดแผลที่มุมปากของเขา จนต้องร้องออกมา แล้วกล่าวต่อว่า “หากเจ้าไม่มาตามที่เอ่ยไว้ เช่นนั้นก็เป็นสุนัขไปเสียเถิด!”

อารมณ์ของซีชางราวกับไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ เขาตัดสินใจเพียงว่าจะกลับไปรวบรวมผู้คนนับพัน เพื่อกลับไปทำลายร้านโทรม ๆ นั่นให้แหลกเป็นผุยผงในวันพรุ่งนี้เลยแล้วกัน พวกเจ้าจงคอยดูให้ดีเถิด!

ในเวลานั้น น่าเสียดายที่หลิงเยว่แอบโจมตีไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน นางจึงจากไปทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์ที่ซีชางตอบรับคำของเซี่ยซิ่นรุ่ย

เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่าศิษย์ทั้งห้าสิบคนถูกฝูงตะขาบมรกตที่ขยันขันแข็งดึงตัวลุกขึ้นมาแล้วโยนไว้หน้าร้านทรุดโทรมแห่งนั้น

พวกเขาโอดโอยอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังก้าวเข้าไปในร้านร้างนั้นด้วยความสั่นเทา เพราะเกรงกลัวสายตาข่มขู่ของฝูงตะขาบมรกต

ในที่สุดพวกเขาก็ได้ก้าวเข้าไปในร้าน วันหน้าคงมืดมนไม่น้อยเป็นแน่

“อาจารย์หลิง ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ คงไม่สามารถทำงานได้แน่” ศิษย์คนหนึ่งกุมหน้าอกพลางบ่ายเบี่ยงประหนึ่งว่ากำลังจะหมดสติ ทว่าดันสบตากับหัวหน้าตะขาบมรกตที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้น

“จริงหรือ? เท่าที่ข้าเห็นคือ…”

“โอ้! บาดแผลของข้าหายเป็นปลิดทิ้งเลย!”

ศิษย์ผู้นั้นรีบคลานหนีออกจากเงื้อมมือของหัวหน้าตะขาบมรกต แล้วรีบวิ่งเข้าไปในครัวอย่างกระฉับกระเฉง

แม้แต่หัวหน้าตะขาบมรกตยังลงมือเอง เหล่าศิษย์รู้ตัวดีว่าหนีไม่รอดแน่ จึงต้องจำใจเข้าครัวไปช่วยด้วยความรู้สึกราวกับว่ากำลังจะตาย

ฝูงชนบนถนนชิงเฟิงต่างถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ด้วยกลิ่นหอมที่โชยมาเป็นระลอก แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่กำลังจมดิ่งอยู่ในสมาธิก็ไม่อาจรอดพ้นจากการถูกกลิ่นหอมเข้าจู่โจม

ทั้งที่พวกเขากำลังงดเว้นธัญพืช ไร้ซึ่งความปรารถนาต่ออาหาร แต่กลับถูกกลิ่นหอมนี้รบกวนจนไม่อาจบำเพ็ญหรือตั้งมั่นในการกลั่นโอสถได้ ทั้งยังไม่อาจหลับใหลได้ด้วยซ้ำ!

ช่างน่ารำคาญเสียจริง! กลิ่นหอมนี้ต้องโชยมาจากร้านต้องสาปอย่างแน่นอน!

“โอ้! พวกท่านก็ตื่นเช้าเช่นกันหรือ?”

หลิงเยว่กำลังยกซึ้งนึ่งซาลาเปาร้อน ๆ ออกมาจากเตาอย่างระมัดระวัง โดยไม่สนใจดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความหิวโหยของเหล่าผู้บำเพ็ญ

“นี่คือซาลาเปาที่พวกเราเตรียมไว้กินเป็นอาหารเช้า พวกท่านลองชิมดูหน่อยดีหรือไม่?”

มีสำนวนที่กล่าวไว้ว่า อย่าโกรธคนที่ยิ้มให้* [1] หลิงเยว่จึงไล่แจกจ่ายซาลาเปาให้กับผู้บำเพ็ญแต่ละคนที่กำลังโกรธเคือง “อาหารอร่อยทำให้คนอารมณ์ดีขึ้นได้ เชื่อข้าสิ!”

ฝูงชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง มองดูซาลาเปาในมือของพวกเขา ราวกับถูกผีหลอกให้ตกใจ พวกเขามีความคิดจะโยนมันทิ้งลงไป… แต่สัมผัสนุ่มนิ่มและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็พุ่งตรงเข้าจมูกพวกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้พวกเขารู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก

“อย่าหวังว่าจะมาหลอกข้าได้!” ซาลาเปาที่พุ่งเป็นเส้นโค้งข้ามหัวหลิงเยว่แล้วตกลงบนพื้นหญ้าด้านหลังของนาง

ฝูงชนที่ตกใจกลัวพลันโยนซาลาเปาในมือทิ้งไปทันที บางคนถึงขั้นเหยียบหรือเอาซาลาเปาที่อยู่ในมือกลับไปใส่ในซึ้งนึ่งแล้ววิ่งหนีกระเจิงราวกับถูกอะไรบางอย่างไล่ล่า!

ในบรรดาพวกเขาก็ไม่วายมีคนเจ้าอารมณ์อยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงสำนักกลั่นโอสถที่คอยหนุนหลังหลิงเยว่อยู่ พวกเขาก็ต้องกลั้นใจข่มอารมณ์ไว้

จื่อเฉาอวี่ก้มลงเก็บซาลาเปาที่ตกลงพื้น พลางขมวดคิ้ว พวกนางอุตส่าห์ตั้งใจทำออกมาอย่างดี แต่พวกเขากลับไม่รู้บุญคุณเอาเสียเลย!

ด้วยความโมโห นางจึงลอกเปลือกด้านนอกที่สกปรกออก แล้วกัดซาลาเปาเข้าไปคำโต เนื้อกุ้งที่นุ่มอร่อยผสมผสานกับน้ำแกงที่แตกกระจายอยู่ในปาก นอกจากจะมีกลิ่นหอมอบอวลในปากแล้ว ยังมีปราณไหลเวียนไปทั่วร่างกายอีกด้วย

อารมณ์ที่ย่ำแย่ถูกเยียวยาด้วยอาหารแสนอร่อยเพียงคำเดียว อาจารย์หลิงพูดถูกจริง ๆ อาหารสามารถเยียวยาจิตใจได้!

ลูกศิษย์คนอื่นเริ่มพากันเก็บซาลาเปาขึ้นมาจากพื้นด้วยความโศกเศร้า พวกเขาเลียนแบบจื่อเฉาอวี่โดยการลอกส่วนที่สกปรกออกแล้วกัดลงไปด้วยความโมโห

ซาลาเปานี้อร่อยยิ่งนัก สมแล้วที่พวกเขาเป็นคนทำมันขึ้นมา!

เหล่าผู้บำเพ็ญที่ไม่มีวิสัยทัศน์กลุ่มนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน และจะชอกช้ำเพราะได้กลิ่นแต่ซื้อกินไม่ได้ ให้เสียดายจนขาดใจไปเลย!

หลิงเยว่มองดูซาลาเปาที่ถูกเหยียบย่ำอย่างน่าเสียดาย ไม่ทานก็ไม่ควรจะเหยียบย่ำเช่นนี้ พวกเขาไม่รู้จักรักษาของเลยหรือ? ต่อไปจะไม่แจกให้ลองชิมอีกแล้ว นี่มันแย่มาก!

“พวกเขาไม่ทานมันแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เก็บซาลาเปาไว้ให้ข้า ข้าจะกินมันให้หมดเอง!”

นี่เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าตะขาบมรกตได้กินซาลาเปาไส้กุ้ง และมันก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับเขาเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ที่เมืองฮั่วหยาง เขาได้กินเพียงพวกสัตว์อสูรและซาลาเปาไส้ผัก ยังไม่เคยกินซาลาเปาไส้สัตว์ทะเลเลย

“ท่านอาจารย์! ซาลาเปาไส้ปูเสร็จแล้ว พวกเรามากินกันเถิด!” เซี่ยซิ่นรุ่ยโผล่มาจากในร้าน พร้อมกับถือซึ้งนึ่งซาลาเปาห้าชั้นจนมองไม่เห็นหัว เขานำมันมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง

หัวหน้าตะขาบมรกตเปิดฝาออกเป็นคนแรก จากนั้นเขาก็นำไปเปรียบเทียบกับซาลาเปาที่นุ่มฟูในมือ เหตุใดมันถึงดูเหมือนของที่ทำล้มเหลวเล่า? ทั้งที่เขายังตั้งตารอคอยอย่างมาก เพราะเขาก็ชอบปูและไข่ปูเหมือนกัน

“เหตุใดมันถึงแบนจนมองเห็นน้ำแกงและไส้ข้างใน…” หัวหน้าตะขาบมรกตเดิมทีเขาคิดจะพูดว่ามันจะอร่อยได้อย่างไร แต่พอเขามองดูไปเรื่อย ๆ เขาก็มั่นใจว่ามันคงไม่อร่อยอย่างแน่นอน

“อร่อยหรือไม่ ท่านลองชิมดูก่อนเถิด”

ศิษย์ทั้งหลายต่างเฝ้ามองไปที่หัวหน้าตะขาบมรกตด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

หัวหน้าตะขาบมรกตรีบยัดซาลาเปาที่เหลืออยู่ในมือเข้าปาก แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับซาลาเปาร้อน ๆ ขึ้นมา พอกลืนซาลาเปาที่อยู่ในปากลงไปหมดแล้ว เขาก็ยัดซาลาเปาอีกลูกเข้าปากทันที

น้ำแกงแสนอร่อยจากซาลาเปาระเบิดออกไปทั่วโพรงปาก ราวกับกุ้งและไข่ปูแสนอร่อยเต้นระบำอยู่ในปากของเขา แป้งบาง ๆ เมื่อเคี้ยวแล้วยังรู้สึกถึงความเหนียวนุ่มและกลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณพิเศษ

“!!!”

หัวหน้าตะขาบมรกตดวงตาเป็นประกายสีทิบทิม เขาจ้องเขม็งไปที่เหล่าลูกศิษย์ และเมื่อพวกเขาเผชิญกับดวงตาเช่นนี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่าหัวเขาหน้ามรกตต้องการสื่อความหมายว่าอร่อยหรือไม่กันแน่?

“หนึ่งลูกมันเล็กเกินไป ยังไม่ทันได้ลิ้มรสชาติอันใด ข้าจะลองชิมใหม่อีกครั้ง” ขณะกล่าว หัวหน้าตะขาบมรกตก็โยนซาลาเปาอีกห้าลูกเข้าปากทันที ซาลาเปาทั้งห้าลูกถูกกัดจนน้ำแกงกระจายในปาก มันช่างเยี่ยมยอดยิ่งนัก! ความรู้สึกสดชื่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

กล่าวได้ว่าเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยเก่งกาจอย่างแท้จริง แม้แต่ซาลาเปาก็ยังนำมาซึ่งความพิสดารได้!

“อร่อยใช่หรือไม่?”

หัวหน้าตะขาบมรกตพยักหน้าหงึกหงัก ประกาศว่าซาลาเปานึ่งนี้คือของที่มันโปรดปรานที่สุด!

“ของที่เจ้าโปรดปรานนับว่ามีมากนัก” หลิงเยว่เม้มปาก ก่อนจะคีบอันหนึ่งใส่จาน “อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างหัวหน้าตะขาบมรกตที่กินทีละ…”

“โอ๊ย! ร้อนเหลือเกิน ลิ้นข้าโดนลวกจนเจ็บแปลบ แต่มันช่างอร่อยนัก…”

ยังกล่าวไม่ทันจบ หลิงเยว่ก็มองเหล่าศิษย์ที่ประสบเคราะห์ร้ายทีละคนอย่างตกตะลึง หัวหน้าตะขาบมรกตไม่ได้หวั่นเกรงแม้แต่เปลวเพลิงแห่งสวรรค์ เขาสามารถกินซาลาเปานึ่งที่เพิ่งออกจากเตาได้อย่างสบาย แต่เหล่าศิษย์นักกลั่นโอสถของนาง ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญในโลกผู้บำเพ็ญเซียน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนแอและบอบบาง ลิ้นยิ่งบอบบางเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เหตุใดจะทนทานต่อความร้อนเช่นนี้ได้

หลิงเยว่จึงกัดแป้งซาลาเปาเบา ๆ พลางเป่าไส้ด้านในให้หายร้อน ก่อนจะลิ้มรสน้ำแกงอันโอชะ แล้วยัดซาลาเปาทั้งลูกเข้าปาก

ช่างอิ่มเอมใจเหลือเกิน!

“อาจารย์หลิง ข้ารู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เคยประสบมาล้วนสูญเปล่า”

เซี่ยซิ่นรุ่ยลูบหน้าท้องด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ก่อนหน้านี้หมกมุ่นอยู่แต่การกลั่นโอสถแล้วก็การบำเพ็ญ แต่หลังจากที่หลิงเยว่ปรากฏตัวขึ้นทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสีสัน การบำเพ็ญเซียนก็สนุกสนานขึ้นด้วยเช่นกัน!

เหล่าลูกศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษทุกคนต่างพยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน

“เมื่ออิ่มแล้วก็เริ่มทำงานกันเถิด!” หลิงเยว่กล่าวประโยคเดียวก็ดึงลูกศิษย์ทุกคนกลับสู่ความเป็นจริง

ตอนนี้ฟ้าสางแล้ว ลูกค้าที่นางใช้เงินห้าสิบล้านซื้อมาเมื่อวานน่าจะมาถึงแล้ว วันนี้ต้องหาเงินมาชดเชยที่เสียไปให้ได้ทั้งหมด!

อีกอย่างคือ… พรุ่งนี้หรือวันมะรืนอาจจะไม่มีลูกค้าแล้ว ดังนั้นต้องฉวยโอกาสกอบโกยไว้ก่อนดีกว่า!

* [1] อย่าโกรธคนที่ยิ้มให้ เป็นสำนวนจีน มักใช้เพื่อเตือนใจให้ผู้คนใจเย็นและใจกว้าง ไม่ควรต่อยหรือทำร้ายคนที่แสดงท่าทีเป็นมิตร แม้ว่าเราจะโกรธหรือไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท