ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 195 หลิงเยว่ให้หินวิญญาณท่านเท่าไหร่ ข้าให้สองเท่า!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 195 หลิงเยว่ให้หินวิญญาณท่านเท่าไหร่ ข้าให้สองเท่า!

บทที่ 195 หลิงเยว่ให้หินวิญญาณท่านเท่าไหร่ ข้าให้สองเท่า!

หากจะกล่าวว่ากลิ่นของขนมซาลาเปานั้นเปรียบได้ดังกลิ่นหอมจาง ๆ ที่แอบซ่อนอยู่ ทว่ามันกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกลิ่นของปลาเผา เนื้อย่างเสียบไม้ที่เสียบด้วยผักย่าง กุ้งที่อบด้วยกลิ่นของกระเทียม หอยนางรมสด ปูผัดเผ็ดและหม้อไฟที่เต็มไปด้วยเนื้อปู กลิ่นหอมที่โชยมาของอาหารเหล่านี้ ช่างเย้ายวนใจราวกับจะกระชากวิญญาณให้หลุดลอยไปเสียให้ได้ หากสูดดมเพียงเล็กน้อยก็ชวนให้น้ำลายสอ จนกระเพาะอาหารที่เหมือนถูกปิดผนึกไว้นั้นกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แล้วส่งเสียงร้องด้วยความโหยหา

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกลิ่นสุราที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ กลิ่นหอมนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนไม่อาจหักห้ามใจได้แล้ว!

บนถนนชิงเฟิงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอันหลากหลาย โจมตีเข้าไปยังประสาทสัมผัสของผู้คนบนถนนไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะทำสิ่งใดอยู่ก็ตาม กลิ่นหอมเหล่านี้เปรียบเสมือนโอสถวิเศษช่วยกระตุ้นให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกมีชีวิตชีวาได้เป็นอย่างดี

พวกเขายืนอยู่บนดาดฟ้า ระเบียง และริมถนน สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ร้านค้านั้นตั้งอยู่ตรงกลาง ดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี

ร้านค้าต้องสาปที่เงียบเหงาไร้ผู้คนมาเกือบพันปี บัดนี้ราวกับว่าได้ถูกปลดปล่อยจากคำสาปแล้ว ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาในร้านอาหารทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ควันจากเตาอบอาหารฟุ้งกระจายไปทั่วร้าน บรรยากาศดูคล้ายกับโลกมนุษย์ทั่วไป ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวาราวกับว่าจิตใจของผู้คนที่เคยถูกกดขี่จากคำสาปกลับมารู้สึกผ่อนคลายและได้รับการปลอบโยนอีกครั้ง

ถนนชิงเฟิงนั้นทอดยาวไปไกล ผู้คนที่อาศัยอยู่มากมาย แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่เก็บตัวมานานหลายปีที่มิได้ปรากฏตัวต่อโลกภายนอกมานาน ก็ยังถูกดึงดูดให้ตื่นจากภวังค์ด้วยกลิ่นอันเย้ายวนนี้เช่นกัน

น่าเสียดายที่พวกเขาเพียงยืนสังเกตการณ์อยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นร้านอาหารที่ทรุดโทรมแห่งนั้นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีทีท่าจะเข้าใกล้ จนกระทั่ง… กลุ่มคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขายิ่งนัก

“พวกเจ้าเข้าไปพังร้านนี้ แล้วก็กระทืบคนข้างในให้จมดินเสีย แต่อย่าฆ่าคนก็พอ!” ซีชางชี้ไปที่ร้านเล็ก ๆ ด้วยท่าทางโอหัง แต่เหล่าพวกพ้องบริวารที่ถืออาวุธอยู่ด้านหลังกลับลังเลใจ

นี่คือร้านค้าต้องคำสาป ผู้ที่สาปแช่งมีฝีมือเก่งกาจยิ่งนัก ผู้คนที่เข้าออกร้านต้องคำสาปแห่งนี้ล้วนต้องประสบเคราะห์กรรมตกอับยากจนเพราะเหตุแปลกประหลาดสารพัด เรียกได้ว่าสุดแสนจะโชคร้าย!

เรื่องราวในอดีตที่ไกลออกไปคงไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแต่อดีตเจ้าของร้านค้าต้องคำสาปคนก่อนหน้านี้ ซึ่งกำลังรอความตายอยู่ในเมืองวั่งเต๋อ แม้ว่าจะมีระดับการบำเพ็ญอยู่ในขอบเขตทะยานเซียน แต่คำสาปได้แทรกซึมเข้าสู่กระดูกของเขาไปแล้ว ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขากลั่นโอสถ เตากลั่นโอสถจะระเบิดทุกครั้ง แม้แต่ตอนที่เขาตามล่าสัตว์อสูรเพื่อหาหินวิญญาณมาเลี้ยงชีพ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าซื้อ เนื่องจาก… สัตว์อสูรเหล่านั้นจะเน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าสัตว์อสูรจะมีพิษหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายล้วนลงเอยในสภาพเช่นนี้ทั้งหมด!

พวกเขามีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอยู่ตรงหน้าแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผู้คนในเมืองฝู่ซางเปลี่ยนสีหน้าทันที เมื่อมีการพูดถึงร้านต้องคำสาป

“ยืนงงกันอยู่ได้ รีบเข้าไปเสีย!”

เมื่อซีชางเห็นว่าเหล่าพวกพ้องบริวารของตนเองยังยืนนิ่งอยู่ไม่ขยับเขยื้อน จึงรู้สึกว่าพวกเขาทำให้ตนเสียหน้า และยังทำให้คนที่อยู่ภายในร้านหัวเราะเยาะอีกด้วย ความโกรธพลันพุ่งขึ้นมาในทันที เขาไม่สนใจคำสาปใด แล้วคว้าเก้าอี้ขึ้นมาหวังจะทุบมันลงพื้น!

“มาสิ! ฟาดมาที่ข้าเลย!” ทันใดนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่ที่โผล่ออกมา แล้วคว้าเก้าอี้ชี้ไปยังซีชาง

ซีชาง “…”

ซีชางอยากจะทำแบบนั้นเช่นกัน แต่ถ้าหากเขาทำจริง ตระกูลของเขาคงโดนท่านอาจารย์ใหญ่มาท้าประลองเป็นแน่

ด้านหลิงเยว่จึงฉวยโอกาสนี้ ส่งสายตาให้จื่อเฉาอวี่และเซี่ยซิ่นรุ่ย

ไม่เพียงแต่ทั้งสองที่เข้าใจ เหล่าศิษย์คนอื่นต่างเข้าใจด้วยเช่นกัน พวกเขาละทิ้งงานในมือ แสดงความกระตือรือร้น ด้วยการพร้อมใจกันลากซีชางและกลุ่มคนที่กำลังก่อกวนเข้ามาในร้านต้องสาปทันที แม้แต่เหล่าอาจารย์และผู้อาวุโสของสำนักก็ยังลงมือด้วยเช่นกัน

“ไม่! ข้าไม่อยากเข้าไป ท่านพี่ช่วยข้าด้วย!”

“ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าเพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น ปล่อยข้าไปเถิด!”

“แย่แล้ว! ข้าเข้ามาแล้ว ฮือ ๆ ๆ …”

คนกลุ่มที่ถูกโยนเข้ามาในร้านต้องคำสาปแห่งนี้ต่างกอดคอกันร้องไห้ฟูมฟาย พวกเขากำลังร่ำไห้ให้กับชีวิตอันโชคร้ายที่กำลังจะเข้ามาหาพวกเขาในหลังจากนี้

ถึงแม้หลิงเยว่จะไม่อยากพูด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามเหล่าศิษย์ที่เคยกระทำพฤติกรรมเช่นนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า คำสาปน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ?

ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ น่ากลัวถึงเพียงนั้นจริง ๆ!

เรื่องราวของเจ้าของร้านต้องคำสาปคนก่อนนั้น หลิงเยว่เคยได้ยินมาบ้าง แต่นางคิดว่าคำสาปคงอยู่ในตัวคนผู้นั้นมากกว่าและไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับร้านต้องคำสาป

“มันต้องมีความเกี่ยวข้องกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เพราะสองสิ่งถูกสาปพร้อมกัน แต่ตอนนี้พวกเรามีคนมากมาย บางทีพลังของคำสาปอาจจะกระจายออกไปได้ เลยยังไม่ถึงขั้นต้องลงเอยแบบท่านผู้นั้น”

เถาวั่งได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสงบ แล้วยอมรับชะตากรรมพร้อมกับหยิบกุ้งตัวหนึ่งขึ้นมาแกะเปลือกก่อนจะกินเข้าไป

“!!!”

เพียงแค่คำเดียว คำสาปทั้งหลายก็ถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลัง

อาจารย์แทบทุกคนล้วนมีสีหน้าราวกับกำลังจะเดินเข้าสู่ลานประหาร สายตาอันแหลมคมของพวกเขาพลันเหลือบมาทางท่านอาจารย์ใหญ่ผู้กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

ท่านอาจารย์ใหญ่นั้นหน้าหนาอยู่แล้ว เขาไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทั้งยังยกจอกสุราขึ้นมาโบกให้เหล่าอาจารย์ดูด้วยเสียด้วยซ้ำ

หลังจากได้รับสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจมากมาย ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ดื่มสุราอย่างเอร็ดอร่อย สุราสมุนไพรวิญญาณนั้น ช่างเข้มข้นนัก ทั้งยังมีรสชาติที่กลมกล่อม เมื่อกินคู่กับปลาเผาร้อน ๆ อาหารทะเลนานาชนิด และเนื้อย่างเสียบไม้อีกมากมาย ถือเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!

หากไม่ได้อยู่ในร้านต้องคำสาปคงจะสมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้… ท่านอาจารย์ใหญ่คิดเสียดาย

ซีชางที่จำใจต้องนั่งร่วมโต๊ะกับท่านอาจารย์ใหญ่ สีหน้าของเขาเย็นชาราวกับรูปปั้น ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ

เมื่อเขาสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาก็รู้ทันทีว่าตนเองนั้นได้ตกหลุมพรางของหลิงเยว่เรียบร้อยแล้ว

“เจ้ากินเถิด หรือจะให้ข้าป้อน?” ท่านอาจารย์ใหญ่หยิบหมูย่างขึ้นมาหนึ่งไม้ แล้วจ่อมันไว้ที่ริมฝีปากของซีชาง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ทว่าดวงตาของเขากลับดุร้ายยิ่งนัก

“หลิงเยว่ให้หินวิญญาณแก่ท่านมากนักหรือ ท่านถึงได้ปกป้องนางเช่นนี้?”

คำพูดนี้ช่างแสบไปถึงทรวง เหล่าอาจารย์ที่นั่งอยู่ด้านข้างต่างตั้งใจฟังขณะที่กินอาหารไปด้วย

“นางให้มาไม่น้อยเลย” ท่านอาจารย์ใหญ่กินหมูย่างเสียบไม้อย่างเอร็ดอร่อย จนส่งเสียงกรุบกรอบ พลางเคลิบเคลิ้มไปกับรสชาติอันแสนโอชะนี้อย่างช่วยไม่ได้ “แน่นอนว่าหากเจ้ามีฝีมือทำอาหารเช่นนี้ ข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะปกป้องเจ้าเช่นกัน”

“น่าเสียดายนัก โอกาสดี ๆ เช่นนี้เจ้ากลับไม่รู้จักถนอมไว้” ท่านอาจารย์ใหญ่ส่ายหน้า “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะได้ทราบข่าวแล้วว่าหลิงเยว่ได้ผ่านการประเมินการเป็นนักกลั่นโอสถพิเศษขั้นหนึ่ง แล้วเจ้าจะดึงดันไปไย…”

ท่านอาจารย์ใหญ่ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดต่อไปจนจบประโยค ซีชางก็รู้ดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

ท่านอาจารย์ใหญ่กำลังชักชวนให้เขาล้มเลิกการกลั่นโอสถแล้วหันเหไปทางอื่น!

บุตรหลานแห่งตระกูลกลั่นโอสถ สอบเป็นนักกลั่นโอสถขั้นหนึ่งอยู่แปดปีก็ไม่เคยผ่านเลยสักครั้ง นั่นไม่ได้พิสูจน์แล้วหรือว่าตัวเขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เลย

แม้ว่าซีชางจะเชี่ยวชาญในเรื่องของสมุนไพรวิญญาณ และเข้าใจถึงขั้นตอนการกลั่นโอสถเป็นอย่างดี และยังหมั่นฝึกฝนการกลั่นโอสถอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เขาก็ยังไม่สามารถผ่านการประเมินขั้นหนึ่งได้!

วันแรกที่พบกับหลิงเยว่ ก็คือวันที่ซีชางล้มเหลวเป็นครั้งที่แปดแล้ว!

“อย่าได้มีอคติอันใด เจ้าลองชิมดูก่อนเถิด”

คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของเขา แล้วท่านอาจารย์ใหญ่จะมองไม่เห็นความทุกข์ทรมานที่ซีชางต้องแบกรับไว้ได้อย่างไร?

เมื่อตอนที่เลือกพวกเขาเข้ามาเรียนในชั้นเรียนพิเศษ นอกจากภูมิหลังของพวกเขาแล้ว อีกประการหนึ่งก็คืออยากให้พวกเขาลองกลั่นโอสถด้วยวิธีอื่นบ้าง เผื่อว่าจะมีเรื่องประหลาดใจให้ค้นพบ แต่น่าเสียดายที่ศิษย์เหล่านี้กลับคิดว่าตนจะละทิ้งพวกเขา แม้แต่ชั้นเรียนกลั่นโอสถพวกเขาก็ยังไม่อยากย่างกรายเข้าไปด้วยซ้ำ!

ซีชางมองไปที่กุ้งในชามอย่างไม่วางตา เขาพยายามกลั้นใจไม่ให้กินทัน แล้วเงยหน้ามองไปรอบ ๆ

กลุ่มพวกพ้องของเขาที่เมื่อครู่นี้ยังร่ำไห้อยู่นั้น ต่างกำลังดื่มด่ำอยู่กับอาหารราวกับว่าคนที่ร้องไห้เมื่อครู่นั้นหายไปแล้ว

“มาเถิด นี่คือของที่ทำขึ้นพิเศษสำหรับผู้มาอุดหนุนอันดับหนึ่งของร้าน!” หลิงเยว่เดินเข้ามาพร้อมกับกุ้งมังกรขนาดใหญ่เกือบเท่าศรีษะของนาง แผ่นหลังของกุ้งถูกผ่าออก เผยให้เห็นเนื้อกุ้งสีฟ้าอ่อน ด้านบนราดด้วยเครื่องปรุงรสและประดับด้วยสมุนไพรวิญญาณสีเขียวที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ โอ้! กลิ่นหอมน่ากินยิ่งนัก

เมื่อได้ยินคำว่าผู้มาอุดหนุนอันดับหนึ่งของร้านซีชางเกือบจะระเบิดออกมาอีกครั้ง ทว่าภายใต้สายตาอันเฉยชาที่มองมาของท่านอาจารย์ใหญ่ เขาจำต้องสงบปากสงบคำลง

“และนี่ ข้าเตรียมมาเป็นพิเศษเพื่อพวกเจ้า” เนื้อปลาจานหนึ่งที่ถูกหั่นจนบางเฉียบราวกับปีกแมลงปอ ถูกจัดวางเป็นดอกไม้ปลาขนาดใหญ่ปรากฏบนโต๊ะ ทำให้โต๊ะอาหารดูสดใสขึ้นในทันที ขอบดอกไม้ปลายังประดับด้วยสมุนไพรวิญญาณหลากสีที่หั่นเป็นเส้นบาง ๆ ดูงดงามอย่างยิ่ง

“สิ่งนี้ล้วนเป็นของดิบ… ใช่หรือไม่?”

แม้ว่าท่านอาจารย์ใหญ่จะถามด้วยความสงสัย ทว่าก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ของสุกอย่างแน่นอน

แต่คาดไม่ถึงว่าเนื้อปลาทะเลจะมีสีสันสดใสถึงเพียงนี้ สีส้มอมเหลืองอ่อน ๆ สีชมพูอ่อน สีแดงอ่อน สีแดงเข้ม สีฟ้า สีเขียวมรกต ล้วนมีครบถ้วน ราวกับดอกไม้หลากสีสันอันสดใส แม้จะเป็นของดิบก็ยังน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท