บทที่ 257 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-5
“ดูจบแล้วหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเฉย
ราวกับยังคงหวนคิดถึงเรื่องนี้อยู่
แต่จิตวิญญาณของเขากลับคืนมาแล้ว
“ดูจบแล้ว”
เงียบขรึมอยู่นานทีเดียว
ในที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็ปริปากพูด
“ท้ายที่สุดหิมะละลายสิ้น วสันต์พลันปกคลุมโลก”
เซียวจินข่านทอดถอนใจด้วยประโยคแปลกๆ
“หมายความว่าอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่มีความหมายใด เพียงทอดถอนใจประโยคหนึ่งเท่านั้น”
เซียวจินข่านหัวเราะพลางส่ายศีรษะกล่าว
“แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่เคยกล่าววาจาไร้สาระ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“นั่นขึ้นอยู่กับว่าข้ากล่าวด้วยสถานะใด”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“เช่นนั้นประโยคนี้ของเจ้าออกมาจากปาก ‘ไท่ไป๋’ หรือจากปากเซียวจิ่นข่านเล่า”
“ครึ่งต่อครึ่ง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งสับสนมากยิ่งขึ้น
“แต่เหตุใดเจ้าไม่ให้ข้าดูจนจบ”
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าดูจบแล้วไม่ใช่หรือ”
เซียวจินข่านดื่มสุราหนึ่งจอก
“ข้าดูจบเพียงสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าดูเท่านั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เรื่องมันยาว หากรอเจ้าดูทั้งหมดทีละนิด ไม่ใช่ว่าจะอยากเห็นเขาในวัยนี้ด้วยหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“มองไม่เห็นจุดเปลี่ยน มักทำให้ข้ากระวนกระวายใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจและกล่าว
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเถี่ยกวนอินถึงกลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
ทว่าคำถามที่สำคัญที่สุดนี้กลับไม่ได้รับคำตอบจากม้วนภาพเชื่องช้าที่เซียวจินข่านให้เขาดู
“สิ่งที่ข้าสามารถให้เจ้าดูได้ ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าควรรู้ สิ่งที่ไม่อาจดูได้ หากเจ้าฝืนจะดูย่อมไม่ใช่เรื่องดี”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ไฉนจึงมีไม่ดีด้วยเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
“ไม่ดีก็คือไม่ดี เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าคิดว่าดี ตราบใดที่ไม่สอดคล้องกันล้วนไม่ดี”
“คำพูดนี้จะต้องออกมาจากปาก ‘ไท่ไป๋’ เป็นแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“รู้ได้อย่างไร”
เซียวจิ่นข่านถาม
แต่ในใจเขารู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งกล่าวได้ถูกต้อง
“เพราะยามที่เซียวจินข่านสหายข้าพูดคุยกับข้าแต่ไรมาจะพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมและไม่ลึกซึ้งเด็ดขาด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
จากนั้นดื่มสุราหนึ่งจอก
“หากข้าไปแล้ว เจ้าจะโดดเดี่ยวหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งวางจอกสุราพลันถามขึ้น
มือที่หมายจะหยิบไหสุราของเซียวจินข่านสะดุ้งเบาๆ
ทันใดนั้นชักกลับและวางลง
“ไฉนเจ้าไม่ถามข้าว่าจะมีความสุขหรือไม่เล่า”
เซียวจิ่นข่านย้อนถาม
“ความสุขรึ หรือข้าอยู่ที่นี่จะทำให้เจ้ารู้สึกไม่มีความสุข”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่พอใจเล็กน้อย
“เจ้าคิดผิดแล้ว สำหรับคนเช่นข้าความเหงาคือความสุข เจ้าอยู่ ข้าย่อมไม่เหงา แต่มันก็ทำลายความสุขของข้าเช่นกัน”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งโผล่มากะทันหัน
เขาจะไม่รู้รสชาติความสิ้นหวังในเรื่องนี้ได้อย่างไรเล่า
ชีวิตของคนธรรมดามักมีความปรารถนาอยู่เสมอ
ได้มองเห็นและได้รับถือเป็นความพึงพอใจประเภทหนึ่ง
มองไม่เห็นและไม่ได้รับทำได้เพียงหวังเท่านั้น
ความหวังและความพึงพอใจเชื่อมโยงกันเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง นี่แหละชีวิต
หายวับเร็วพลัน ทว่าคงอยู่ตลอดไป
บางทีคำพูดนี้เช่นนี้อาจเป็นภาพลวงตาสำหรับคนทั่วไป
แต่นี่เป็นสิ่งที่เซียวจินข่านกำลังเผชิญหน้าอยู่จริงๆ
สำหรับเขานี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมลงตัวที่สุดแล้ว
เช่นเดียวกับสายลมที่ไร้ทิศทาง
ครั้นพบกำแพงที่ผ่านไม่ได้ก็เลี้ยวอ้อมไปก็พอ
อย่างไรเสียมันก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพัดไปทางใด
แต่ตราบใดที่พัดต่อไป พัดไปเรื่อยๆ ก็พอ
ในวสันต์ฤดูที่เต็มไปด้วยดอกไม้ผลิบานนี้
คนอื่นเพียงชื่นชมเสน่ห์และความงดงามของดอกไม้สดใหม่
ทว่าเซียวจิ่นข่านมองเห็นความเหี่ยวเฉาและความตายของพวกมันหลังจากสารทฤดูคืบคลาน
ความทรงจำของเขาซับซ้อนเกินไปทั้งยังยุ่งเหยิงยิ่งนัก
ในตอนแรกเริ่ม เซียวจิ่นข่านเคยพยายามลองจัดแจงเรียบเรียง
แต่ผ่านไปนานวันเข้า ตัดไม่ขาด ยิ่งจัดยิ่งยุ่งเหยิง
จึงปล่อยมันไปตามธรรมชาติเช่นนี้เสียเลย
บางสิ่งไม่ใช่เพียงต้องการแล้วจะเป็นเช่นนั้น
ทุกสิ่งล้วนมีชะตากรรม
เหมือนกับที่เขาให้หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเพียงอดีตที่ผ่านมาของเถี่ยกวนอินสั้นๆ
โลกมนุษย์เวียนวน
วัฏจักรดำเนินต่อไปซ้ำๆ
แต่มนุษย์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ท่ามกลางวัฏจักรที่ดำเนินต่อไปซ้ำๆ เกรงว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงความผิดบาป
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าเขาตั้งข้อกล่าวหาทำให้แม่ทัพผู้นั้นมีความผิดจนถูกประหารทั้งครอบครัว
หารู้ไม่ว่า ความทรงจำสำหรับเซียวจิ่นข่านเป็นความผิดบาปอย่างหนึ่ง
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
รอบกายของเขาจะยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นเรื่อยๆ
แม้วันซานฝู[1] ก็ยังทนไม่ไหวจนต้องจุดกองไฟตรงหน้า
แต่ไม่ว่าไฟจะลุกโชนเพียงใด ไม่ว่าเปลวเพลิงจะรุนแรงเพียงไหนก็ตาม
เพียงทำให้ผิวของเขาแสบร้อนและแดงเถือกเท่านั้น
ทว่าไม่มีทางอบอุ่นเข้าไปในหัวใจของเขาได้เลย
ไม่อาจละลายความทรงจำที่ไม่ต้องการให้มีอยู่เหล่านั้นไปได้
หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตของเซียวจินข่าน
แต่ไม่อาจเข้าใจได้
หลิวรุ่ยอิ่งเคยวิเคราะห์ความรู้สึกนึกคิดของเขา
แต่ไม่อาจกระจ่างแจ้ง
ระหว่างทั้งสองคนมีเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงกัน
นั่นคือต่างก็โปรดปรานแสงยามค่ำคืนเป็นพิเศษ
…………………..
นี่เป็นสิ่งที่จิ่วซานปั้นไม่เห็นด้วย
ทันทีที่ตะวันขึ้น เขาจะเดินไปยังลานเล็กๆ นอกเรือน
หรี่ตามองดวงอาทิตย์
บิดขี้เกียจ
เทียบกับกลางคืนแล้ว
เขาชอบแสงอาทิตย์มากกว่า
เขาชอบให้แสงแดดสาดส่องทั่วตัว แม้แต่ปกเสื้อตรงหน้าอกยังรู้สึกถึงความอบอุ่น
สิ่งนี้ทำให้จิ่วซานปั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก
เขาลูบคลำปกเสื้อตรงหน้าอกตนเอง
ล้วงน้ำเต้าสุรา
ชูขึ้นสูงไปทางดวงอาทิตย์
จากนั้นกระดกดื่มรวดเดียวไปกว่าครึ่งขวด
หลิวรุ่ยอิ่งและเซียวจินข่านนั่งอยู่ในเรือน
มองร่างของจิ่วซานปั้นในลานเล็กๆ นอกเรือน
สายตาแฝงด้วยความอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก
ในตอนนี้เอง หลิวรุ่ยอิ่งดูเหมือนเข้าใจขึ้นมาฉับพลันว่าเหตุใดจิ่วซานปั้นจึงดื่มสุราเช่นนี้
เพราะแม้ในช่วงเที่ยงวันดวงอาทิตย์จะขึ้นสูงที่สุด
ทว่ามักจะมีสถานที่ที่ร่มเงาแสงอาทิตย์สาดส่องไม่ถึง
และเงาเหล่านี้เป็นสิ่งที่จิ่วซานปั้นเกลียดชังอย่างยิ่ง
ดังนั้นเขาทำได้เพียงใช้สุราทำให้ตนเองไร้ความรู้สึก
เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ และไม่อยากทำความเข้าใจ
ดื่มเพิ่มอีกสองสามจอกก้าวข้ามไปอย่างเลือนรางพร่ามัวยังดีกว่า
ยามใกล้พลบค่ำเข้ามาทุกครั้ง สุราที่เขาดื่มก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งดื่มอย่างรีบเร่งมากขึ้น
คล้ายกับจะหาที่ปกป้องคุ้มครองตนเองสักแห่ง
ทนไม่ไหวแทบจะเข้าไปซ่อนตนอยู่ในน้ำเต้าสุรานั่น
หลีกหนีจากโลกที่ค่ำคืนกำลังจะมาเยือนด้วยวิธีเช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งก็แปลกพิลึกเช่นกัน
ทั้งๆ ที่ตนและจิ่วซานปั้นมีอุปนิสัยต่างกันลิบลับ เหตุใดจึงกลายมาเป็นสหายที่ดีต่อกันเพียงนี้ได้
…………………..
“กลางคืนจะยาวเพียงใด กลางคืนก็ไม่อาจอยู่ได้ตลอด ดวงอาทิตย์จะสูงเพียงใดก็ไม่อาจเอาแต่ส่องแสงเสมอไป ภายในร่างกายผู้ฝึกยุทธ์มีอินหยางสองขั้วอยู่ไม่ใช่หรือ เจ้าเคยพบเจอผู้ที่มีแต่อินบริสุทธิ์หรือหยางบริสุทธิ์ด้วยหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
เขาอ่านความคิดของหลิวรุ่ยอิ่ง
คำพูดเหล่านี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งกระจ่างแจ้งทันที
ทุกคนล้วนชอบตีความทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในรูปแบบของตนเอง
แต่ต่อให้วิธีการจะสมบูรณ์แบบเพียงไหน ท้ายที่สุดจะมีช่องโหว่อยู่เสมอ
มีเพียงเสริมเติมซึ่งกันและกันจึงเหมาะสมลงตัวที่สุด
เช่นเดียวกับในหนึ่งวันมีสองช่วงที่งดงามที่สุด
ทว่าสลับสับเปลี่ยนทั้งยามกลางวันและกลางคืน
ช่วงหนึ่งเป็นแสงสีแดงของอาทิตย์อัสดง
ช่วงหนึ่งเป็นแสงสีทองของตะวันโผล่พ้นฟ้า
“แต่แม้ว่าข้าจะไปแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางเหงาเดียวดายอีกต่อไป”
หลิวรุ่ยอิ่นถอนสายตากลับมา
“ไฉนจึงไม่ได้เล่า”
เซียวจิ่นข่านย้อนถาม
“เจ้ายังมีศิษย์ดีๆ อีกคนที่ต้องสอน!”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้หวาหนงแล้วกล่าว
หวาหนงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยจิตวิญญาณแรงกล้า
ชีวิตในป่าเขาอันยาวนาน ทำให้เขาไม่กล้าผ่อนคลายในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
การผ่อนคลายหมายถึงความตาย
“จริงอยู่ที่เป็นศิษย์ของข้า ทว่าสิ่งที่ข้าควรสอนก็สอนไปหมดแล้ว”
เซียวจินข่านกล่าวอย่างง่ายดาย
“สอนหมดแล้วหรือ เจ้าสอนสิ่งใดแก่เขา”
หลิวรุ่ยอิ่งเบิกตากว้าง ถามด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่เป็นเรื่องระหว่างอาจารย์กับศิษย์ อย่างน้อยข้าก็ได้สอนทุกสิ่งที่สามารถสอนได้ในตอนนี้แล้ว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“จากนั้นเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาไม่มีทางต่อบทสนทนานี้
เขารู้ว่าหลังจากเซียวจินข่านหยุดไปครู่หนึ่งย่อมต้องพูดต่อให้จบอย่างแน่นอน
แต่ยามนี้อดทนรอไม่ได้จึงถามออกไป
“จากนั้นก็เป็นเรื่องของอาจารย์อาเช่นเจ้าแล้ว!”
เซียวจินข่านตบไหล่หลิวรุ่ยอิ่งพลางกล่าว
“ข้าหรือ เจ้าคงไม่ได้จะผลักศิษย์ของเจ้าให้ข้าดูแลสั่งสอนหรอกกระมัง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าเป็นถึงอาจารย์อา ของขวัญพบหน้าก็หาได้ให้สิ่งใดไม่ อย่างน้อยก็ควรมีส่วนร่วมด้วยไม่ใช่หรือ”
ชื่อของเซียวจินข่านมีคำว่า ‘ข่าน[2]’ อยู่ในนั้น
แต่โอกาสที่จะเสียดสีเหมือนเมื่อครู่ กลับมีไม่มากจริงๆ
หลิวรุ่ยอิ่งเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เขาลูบคลำบนกาย
นอกจากกระบี่ของตนและ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ เล่มนั้นแล้ว
ไม่มีสิ่งใดที่สามารถให้ได้จริงๆ
ถึงอย่างไรหวาหนงก็ไม่สนแม้แต่เงินด้วยซ้ำ
เมื่อครู่ยังบอกจิ่วซานปั้นว่ายี่สิบตำลึงเงินของเขาเชื่อมกับสองชีวิต
เขาไม่รู้ว่าควรให้สิ่งใดจึงจะถูกใจศิษย์หลานที่มีวิสัยทัศน์สูงส่ง
เมื่อคิดเช่นนี้ พลันรู้สึกว่าตนเองคิดผิด
หลิวรุ่ยอิ่งไร้ข้อโต้แย้ง
ในใจพลันคิดว่ามีส่วนร่วมก็มีส่วนร่วมจะเดือดร้อนเท่าไรกัน
“ข้าต้องการให้เจ้าพาเขากลับเมืองหลวง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“แต่ข้าจะกลับไปกรมสอบสวนกลาง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
เขาเข้าใจความหมายของเซียวจินข่าน
นี่เป็นการขอให้หวาหนงตามตนเองไปกรมสอบสวนกลางด้วย
และเดิมทีตนก็เป็นนายกองแห่งกรมสอบสวน
หวาหนงเป็นเด็กหนุ่มจากป่าเขา
“ด้วยยศนายกองหลิว เดาว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องนับด้วยซ้ำกระมัง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
นี่เป็นการค่อนแขวะหนที่สองภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาของเขาแล้ว
“มันไม่ยาก แต่เพราะเหตุใดกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ประโยคนี้ไม่ได้ถามในฐานะหลิวรุ่ยอิ่ง
ทว่าถามในฐานะนายกองสัคคะเนตรแห่งกรมสอบสวนกลาง
ครั้นคิดโดยละเอียดมันช่างน่าสนใจจริงๆ
………………………………………………………..
[1] วันซานฝู เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดในรอบปี ในแต่ละปีวันเวลาของช่วงวันซานฝูจะไม่ตรงกัน แต่อยู่ประมาณกลางเดือนกรกฎาคมหรือกลางเดือนสิงหาคม
[2] ข่าน ในภาษาจีนหมายความว่า พูดจาเสียดสี