บทที่ 258 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-6
เขากับเซียวจินข่านต่างมีสถานะแตกต่างกัน
เปลี่ยนวาจาได้อย่างอิสระ
แต่มักจะทำให้อีกฝ่ายคาดเดาอยู่บ่อยครั้ง
ภายในชั่วพริบตา จากความอ่อนโยนกลายเป็นความเคร่งขรึมและแข็งกระด้าง
“เพราะเจ้าต้องการคนเช่นนี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“หรือว่าเจ้าจะรับศิษย์เพื่อข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
เซียวจินข่านเบือนหน้าหนีและนิ่งเงียบ
หลิวรุ่ยอิ่งพลันเข้าใจว่าเซียวจิ่นข่านในยามนี้กลายเป็นไท่ไป๋อีกครั้ง
เขาสามารถยอมรับในบางเรื่อง
แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้เป็นอันขาด
ไม่พูด ทุกสิ่งล้วนปกติ
พูดแล้ว พลันมีตัวแปรเกิดขึ้น
“ได้ ข้ารับปากเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาก็มีความทะเยอทะยานของตนเอง
ส่วนหวาหนงนั้นสามารถเป็นกระบี่คมเพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของเขาให้สำเร็จ
ก้าวแรกของตนได้เข้าสู่ผู้บังคับการกรมสอบสวนในภายภาคหน้าไปแล้ว
หนทางมีทั้งอุปสรรคและยาวนาน
ไม่รู้ว่าจะมีการพลิกผันอีกกี่หน
เมืองหลวงเป็นสถานที่ซึ่งมังกรข่มพยัคฆ์คำราม
แม้พายุทรายจะพัดโหมอาณาจักรติ้งซีก็ยังชูธงขึ้นสูง
แต่ยังสง่างามห่างชั้นเมืองหลวงมากนัก
ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์
แต่เพียงพริบตาเดียวดาบทองม้าเหล็กอาจถูกเหยียบย่ำแหลกเป็นชิ้นๆ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งในตอนนี้
พร้อมลุยแล้ว
ความหมกมุ่นในใจของเขามั่นคงมากพอ
นับตั้งแต่เขาเผาคู่มือเล่มนั้นทิ้ง
น้ำใจแก่มิตรสหายเขียนไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
กระบี่ยาวที่ร้ายกาจไม่เคยห่างมือ
แม้อายุยังน้อย
จิตใจสูงส่ง ทว่าไม่เย่อหยิ่ง
ตราบใดที่ในอกยังมีเลือดร้อนอยู่
ไม่ว่าโลกจะสงบสุขหรือโกลาหล
เขาก็ไม่อาจถอนตัวออกไปได้อีก
“จากนี้ไปเจ้าคอยติดตามท่านอาจารย์อาหลิวให้ดี”
เซียวจินข่านกล่าวกับหวาหนง
“เช่นนั้นท่านอาจารย์เล่า”
เจ้าหนุ่มน้อยจะต้องคาดไม่ถึงเป็นแน่
ผลลัพธ์ที่ตนเองทุ่มแรงกายแรงใจเดินทางไกลหมื่นลี้เพื่อคารวะอาจารย์จะเป็นเช่นนี้
อยู่กับอาจารย์ได้ไม่ถึงครึ่งค่อนวันก็ต้องแยกจากกันแล้ว
แต่เขายังคงนิ่งมาก
ราวกับเหยี่ยวโฉบลำธารบนภูเขา
“เมื่อเจ้าได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ข้าย่อมไปหาเจ้า”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หวาหนงมาพบเขาหนึ่งหน
เขาจะไปตามหาหวาหนงหนึ่งหน
เกรงว่าทั้งใต้หล้าจะหาอาจารย์และศิษย์ที่น่าสนใจเช่นนี้ได้ยากนัก
“กรมสอบสวนกลางเป็นสถานที่เช่นใดหรือ”
หวาหนงหันไปถามหลิวรุ่ยอิ่ง
“ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เช่นใด อาจารย์อาหลิวจะทำให้เจ้านอนหลับสนิทและกินอิ่มหนำอย่างแน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
หวาหนงยิ้ม
นอนหลับสนิทและกินอิ่มหนำ
นี่เป็นความฝันตอนที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาไม่ใช่หรือ
คิดไม่ถึงว่าตนไม่ได้ปรารถนาใฝ่ฝันมานานหลายปี
ในพริบตาก็มีคนรับปากแล้ว
“ข้าเชื่อฟังท่านอาจารย์อาขอรับ!”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นกระบี่ยาวเรียบง่ายอยู่ตรงเอวของเขา
“เรื่องแรกคือเปลี่ยนกระบี่ดีๆ ให้เจ้าหนึ่งเล่ม”
“ท่านอาจารย์อานี่ไม่จำเป็นขอรับ”
หวาหนงส่ายศีรษะกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจเหตุใดหวาหนงจึงปฏิเสธ
ข้อหนึ่ง การเปลี่ยนกระบี่เป็นน้ำใจของตัวเขาเอง ข้อสอง กระบี่ของหวาหนงเล่มนี้ดูไม่เหมาะสมเกินไปจริงๆ
“ไม่ว่ากระบี่จะดีหรือโทรม ขอแค่ใช้ง่ายก็พอ แม้กระบี่เล่มนี้ของข้าจะโทรมมากจริงๆ แต่เมื่ออยู่ในมือข้ามันเหนือกว่าคมแหลมอื่นๆ อย่างยิ่ง”
หวาหนงชักกระบี่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
สายตาของเซียวจินข่านมองไม่เคยพลาดจริงๆ
เด็กหนุ่มผู้มุ่งมั่นในกระบี่เร็วอันเฉียบคมไม่สนใจว่ากระบี่จะสวยงามเพียงใด
ทำให้เขานึกถึงสืออีเฟิง ‘กระบี่ไวผิงหนาน’ ผู้นั้นที่ตายไปแล้ว
กระบี่ของเขางดงามยิ่งนัก
หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยถามเขาเช่นกัน
ฝังอัญมณีลงไปบนกระบี่มากมาย จะไม่หนักเอาหรือ
หากกระบี่หนักแล้วยังจะว่องไวได้อย่างไรเล่า
ตอนนั้นสืออีเฟิงหัวเราะเย้ยคำพูดนี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง
‘กระบี่ของข้า ไม่ว่าจะหนักเพียงใดล้วนว่องไว ต่อให้หนักจนข้าชักมันไม่ออก ตราบใดที่อีกฝ่ายได้ยินเพียง ‘สืออีเฟิง’ สามคำนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังออกกระบี่อย่างมั่นใจอีก’
นี่เป็นคำพูดของสืออีเฟิงในตอนนั้น
อีกฝ่ายฆ่าเขาตายก่อนที่เขาจะร้องขอชีวิตและไม่ทันได้ชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ
เป็นเพราะกระบี่ของเขาไม่ว่องไว หรือชื่อเสียงไม่ดีพอกันแน่
ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่
หลิวรุ่ยอิ่งเคยเห็นเขาออกกระบี่ ว่องไวยิ่งยวด
ทั้งยังรู้ชื่อเสียงของเขาด้วย มันยิ่งใหญ่จริงๆ
แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือความคิดและนิสัยของเขา
เมื่อคนเย่อหยิ่ง กระบี่พลอยเย่อหยิ่งตาม
ผยองกี่ส่วนก็หย่อนยานลงไปเท่านั้น
การหย่อนยานย่อมนำไปสู่ความเอื่อยเฉื่อย
ความตายของเขาเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าแตกต่างกันเพียงช้าเร็วเท่านั้น
ได้บทเรียนจากอดีตแล้วยังมีวาจาของหวาหนงเมื่อครู่
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าหาได้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่
สืออีเฟิงเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘กระบี่ไวผิงหนาน’ เท่านั้น
แต่หวาหนง ไม่แน่ว่าอาจเป็นกระบี่ไวในใต้หล้าก็เป็นได้
……………………..
เมืองจี๋อิง
ภายในโรงเตี๊ยมพูนโชค
“ซือเฟิงเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากหรือ”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
“มีชื่อเสียงมาก ทุกคนต่างรู้เรื่องราชสำนักทุ่งหญ้าดี”
ฮั่ววั่งกล่าว
“แต่เขาเป็นเพียงผู้นำหน่วยสาม”
ฉู่คั่วกล่าว
“บางคนไม่อาจดูเพียงตำแหน่ง แม้กระบี่ของเจ้าจะสังหารข้าไม่ได้ แต่หากต้องการตำแหน่งในใต้หล้านี้ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”
ฮั่ววั่งกล่าว
ฉู่คั่วเผยสีหน้าภาคภูมิใจ
“ดังนั้นสังหารเขา ข้าจะเป็นที่รู้จักของผู้คน มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าหรือ”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
“ใช่”
ฮั่ววั่งกล่าว
“แต่ข้ายังอยากจะสังหารเจ้า เพราะชื่อเสียงของเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเขามาก”
ฉู่คั่วเปลี่ยนเรื่องและเอ่ยขึ้น
“เจ้ายอมแพ้ตั้งแต่ที่พระตำหนักวังอ๋องแล้วไม่ใช่หรือ”
ฮั่ววั่งไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย กล่าวอย่างเย็นชา
“ข้าเพียงลังเลเล็กน้อย”
ฉู่คั่วกล่าว
“ข้าคือติ้งซีอ๋อง”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ข้ารู้”
“ฉะนั้นข้าตายแล้ว เจ้าสามารถมีชื่อเสียงได้ แต่เจ้าก็จะตายอย่างอนาถได้เช่นกัน หากเลื่องชื่อทั่วหล้าแล้วตัวตายทันที เจ้าคิดว่ามันคุ้มหรือ”
ฮั่ววั่งย้อนถาม
ฉู่คั่วจมอยู่ในภวังค์ความคิด
เห็นได้ชัดว่าความขัดแย้งในใจของเขารุนแรงอย่างยิ่ง
“เช่นนั้น…สังหารซือเฟิง ต่างกันอย่างไรเล่า”
ในที่สุดฉู่คั่วก็เอ่ยปากถาม
“เจ้าจะกลายเป็นวีรบุรุษที่ต่อต้านราชสำนักทุ่งหญ้า ข้าจะจัดเตรียมสุราให้เจ้าที่เมืองติ้งซีอ๋อง ความสำเร็จของเจ้าจะถูกเชิดชูไปทั่วหล้า”
ฮั่ววั่งกล่าว
“จะเป็นเช่นนี้จริงหรือ”
ฉู่คั่วกล่าวถาม
“จะเป็นเช่นนี้จริง”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ได้! ข้าจะสังหารซือเฟิง!”
ฉู่คั่วกล่าว
เขาหมายจะดื่มสุราอีกสักอึก
แต่กาสุราที่มีเกลี้ยงหมดแล้ว
ฮั่ววั่งดีดนิ้ว
เสี่ยวเอ้อร์ที่รออยู่ด้านนอกตลอดเวลารีบเปิดประตูเข้ามาทันที
ฮั่ววั่งชี้กาสุราที่ล้มเอียงระเกะระกะตรงหน้า
เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าพลันเข้าใจทันที
เพียงครู่เดียว สุราหนึ่งโต๊ะถูกจัดวางตามเดิมอีกครั้ง
เพียงแต่มีเครื่องเคียงเพิ่มเข้ามาอีกสองสามอย่าง
“เถ้าแก่ร้านปรุงด้วยตนเองขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ชี้เครื่องเคียงสองสามจานพลางกล่าว
เครื่องเคียงสองสามอย่างล้วนเป็นอาหารจานเย็น
ทว่าล้วนเป็นจานเลิศรสที่ทานคู่กับสุรา
“ฝากขอบคุณเถ้าแก่ร้านให้ข้า!”
ฮั่ววั่งกล่าวอย่างสุภาพ
เสี่ยวเอ้อร์โน้มตัวคำนับ จากนั้นถอยออกไปอีกครั้งพร้อมปิดประตูให้เสร็จสรรพ
“ทว่าไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เป็นเพื่อตัวข้าเอง!”
มีสุราแล้ว
ฉู่คั่วกระดกไปหลายอึกใหญ่จึงพูดอีกครึ่งประโยคที่เหลือต่อ
“ในเมื่อเจ้ารับปากแล้ว ก็ไม่ควรดื่มสุรามากมายเพียงนี้”
ฮั่ววั่งกล่าว
“หรือเจ้าคิดว่าข้าดื่มมากแล้วจะสังหารคนไม่ได้เล่า”
ฉู่คั่วย้อนถาม
“ไม่ ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถสังหารเขาได้”
ฮั่ววั่งส่ายศีรษะกล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดไม่ให้ข้าดื่มสุรา หากเจ้าไม่ให้ข้าดื่มสุราจริงๆ แล้วเหตุใดเมื่อครู่ถึงสั่งสุรามาอีก”
ฉู่คั่วใช้ตะเกียบคีบอาหาร
เพียงสูดดม แต่ไม่ได้กิน
“ข้าเพียงคิดว่ารอให้เจ้ากลับมาพร้อมกับความสำเร็จ ตอนที่ข้าจัดงานเลี้ยงที่เมืองอ๋อง เจ้าก็ควรดื่มให้มากหน่อย!”
ฮั่ววั่งกล่าว
ฉู่คั่วไม่สนใจวาจาที่ฮั่ววั่งกล่าว
เอาแต่ดื่มอย่างหนัก
ไม่นานสุราบนโต๊ะพลันเกลี้ยงอีกครั้ง
เมื่อฮั่ววั่งกำลังจะดีดนิ้วอีกหน
กลับถูกฉู่คั่วห้ามไว้ก่อน
“ไม่ต้องแล้ว”
ฉู่คั่วลุกขึ้นยืนและเปิดหน้าต่าง
แสงแดดสาดส่องทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามา
เขามองไปยังทิศตะวันตก ทิศทางของราชสำนักทุ่งหญ้า
จากนั้นกอดกระบี่และขึ้นไปนอนบนเตียง
“เจ้าเมาแล้วหรือ”
ฮั่ววั่งถาม
เขารู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
คนเราหากดื่มจนเมา มักจะมีสัญญาณบางอย่าง
จู่ๆ ก็นอนบนเตียงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร
“ไม่เมา เพียงแค่ไม่อยากดื่มแล้ว”
ฉู่คั่วนอนหงาย ลืมตาโตยิ่งนัก
“ไม่เมาเหตุใดจึงไม่อยากดื่มแล้วเล่า เมื่อครู่ยังเมาได้ที่อยู่เลยไม่ใช่หรือ”
ฮั่ววั่งย้อนถาม
“เพราะเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ข้าต้องการดื่มสุราด้วย อีกทั้งฟ้าในตอนนี้สว่างเกินไปแล้ว”
ฉู่คั่วกล่าว
ฮั่ววั่งพยักหน้า
ไม่ว่าความเต็มใจนี้จะจริงหรือปลอม
อย่างน้อยตนก็ยอมถอยหนึ่งก้าว
ไม่อย่างนั้นเขาติ้งซีอ๋องคงได้นั่งอยู่ที่นี่อย่างสง่าผ่าเผย ในขณะที่ฉู่คั่วกลับนอนลงไป
“ข้าไปแล้วนะ ข้าจะสั่งสุราตอนเย็นเตรียมไว้ให้เจ้า”
ฮั่ววั่งลุกขึ้นกล่าว
“อันที่จริงรอหลังจากที่ข้าสังหารซือเฟิง สิ่งที่รอข้าอยู่ในเมืองอ๋องหาได้เป็นงานเฉลิมฉลอง ทว่าเป็นมีดเย็นๆ กับลูกศรลับกระมัง”
ขณะที่ฮั่ววั่งกำลังจะเดินออกจากห้อง
จู่ๆ ฉู่คั่วก็กล่าวเช่นนี้
…………………………………………………………………….