ตอนที่ 419 หมอกอัศจรรย์ปรากฏอีกครั้ง
เถี่ยเฟิงยืนคิดอยู่จุดเดิมครู่ใหญ่ ทันใดนั้นภายในสมองพลันจุดประกายขึ้นมา นึกถึงคุณชายสง่างามคนหนึ่งซึ่งบนมวยผมเสียบปิ่นหยกดำไว้
เวลาผ่านไปครู่เดียว เถี่ยเฟิงมองหาชายชราคนนั้นอีกครั้ง แต่ไม่เห็นเขาแล้ว วัดต้าเหลียงผู้มากราบไหว้สัญจรไปมา ใช่ว่าตามหาได้โดยสะดวก
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าอึ้งงันอยู่ตรงนั้นทำไม ยังไม่รีบเข้ามาอีก!”
เสียงของมารดาดังมา เถี่ยเฟิงไม่สนใจคนอื่นชั่วคราว กล่าวตอบว่า ‘มาแล้ว’ ก่อนเข้าตำหนักพระวิทยาราชไป
รูปปั้นวิทยาราชทำมุทราในตำหนักเคร่งขรึมมีสง่า ร่างหุ้มทองสาดส่องด้วยแสงอาทิตย์นอกห้องและแสงตะเกียงภายในห้อง ดูพร่าเลือนแต่กลับไม่แสบตา แค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง
เหมือนผู้มากราบไหว้ทุกคน เถี่ยเฟิงกับมารดารวมถึงสาวใช้หวนหวนจุดธูปก้มกราบ จากนั้นยังไม่ลืมใส่เงินจำนวนมากลงกล่องบริจาคด้วย
…
ลานด้านในวัดต้าเหลียงจำกัดจำนวนผู้มากราบไหว้ วันนี้ยิ่งมีน้อยคนนักที่เข้ามาลานด้านในได้
แต่มังกรเฒ่าไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าภิกษุตรงทางเข้าลานด้านใน เดินผ่านข้างกายพวกเขามาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ถึงขั้นว่าภิกษุเปี่ยมพลังธรรมบางส่วนในนั้นยังไม่รู้ตัวเช่นกัน
เป้าหมายมังกรเฒ่าชัดเจนอย่างยิ่ง ตัดผ่านลานประตูมาตลอดทาง เดินมาถึงส่วนลึกของสวนด้านหลังตามความรู้สึก สายตามองเห็นต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มต้นหนึ่งแล้ว
“หึ น่าจะเป็นตรงนั้นกระมัง!”
มังกรเฒ่าหัวเราะคราหนึ่งก่อนรีบเดินไปทางลานแห่งนั้น เมื่ออยู่ห่างจากตรงนั้นช่วงหนึ่ง เขาถึงกับพบว่ามีการวางค่ายกลคล้ายผนึกอยู่ด้วย แต่มองจากสายตาเขาถือว่าหยาบมาก คิดขวางมังกรแท้อย่างเขาแน่นอนว่ายิ่งเป็นไปไม่ได้
มังกรเฒ่าเดินผ่านผนึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงขั้นว่าไม่เกิดระลอกคลื่นอะไรสักนิด เดินเข้าไปในเขตหวงห้ามของวัดต้าเหลียงทีละก้าว
เมื่อเข้าไปในลานแห่งนั้น สายตามังกรเฒ่าหดรัด ภายใต้ต้นไม้เห็นภิกษุสามรูป ดูจากใบหน้าเป็นภิกษุชราสองรูปภิกษุหนุ่มหนึ่งรูป แต่เขารู้ว่าภิกษุหนุ่มรูปนั้นหากยึดตามอายุของเผ่ามนุษย์ถือว่าไม่น้อยแล้ว
ทั้งสามคือฮุ่ยถงกับภิกษุชราอีกสองรูปของอาราม ตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิบนเบาะรอง สงบจิตฝึกปราณภายใต้ต้นไม้ซึ่งผู้สูงส่งเคยเสวนามรรค
ตอนนี้ภิกษุชั้นสูงวัดต้าเหลียงรู้ว่าการบำเพ็ญใต้ต้นไม้นี้ มีส่วนช่วยในการรวมปัญญา ไม่ใช่แค่เปี่ยมปราณวิญญาณ แต่ยิ่งมีผลต่อการทำความเข้าใจพระธรรม หากโคจรปราณดีทั้งมีปัญญา ไม่แน่ว่าอาจมองเห็นลักษณ์ประหลาดเสี้ยวหนึ่ง ดังนั้นส่วนใหญ่ทุกวันล้วนมีภิกษุบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่
แต่การบำเพ็ญเพียรนี้มีความเสี่ยงเช่นกัน ใช่ว่าลักษณ์ประหลาดทำให้ผู้คนเกิดจิตมาร หากแต่ภิกษุบางรูปเคยนั่งบำเพ็ญจนลืมเวลา ต้องมีคนนอกมาปลุก ครั้งก่อนเจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงนั่งเกือบเดือน ถ้าไม่ใช่ฮุ่ยถงรู้สึกว่าสถานการณ์ผิดปกติจนมาเรียกเขา ไม่แน่ว่าอาจหิวตายทั้งเป็นแล้ว
ครั้งนั้นหลังจากเจ้าอาวาสวัดต้าเหลียงกินผักดองดื่มโจ๊กข้นครึ่งหม้อเสร็จก็ออกกฎ ถ้าไปบำเพ็ญเพียรที่เขตหวงห้าม จำเป็นต้องกำหนดเวลาของตนล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาค่อยให้คนมาปลุกตน มิฉะนั้นย่อมไม่อนุญาตให้เข้าไป
เรื่องการบำเพ็ญเพียรบางครั้งขึ้นอยู่กับจิตใจ ใช่ว่าหมายถึงจิตใจซึ่งปราศจากวัตถุ แต่ตัวเองมักรู้ว่าต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพียรนานเท่าไหร่ ถ้าคนนอกเป็นฝ่ายคาดเดา ยากบอกว่าจะขัดจังหวะช่วงเวลาสำคัญของการบำเพ็ญเพียรหรือไม่ ทั้งง่ายต่อการเกิดความติดขัด กำหนดเวลาเองย่อมดีที่สุด
ตอนนี้มังกรเฒ่าเห็นภิกษุสามรูปนั่งตัวตรงใต้ต้นไม้จึงไม่รบกวนพวกเขา ตนเดินเนิบช้ามาใต้ต้นไม้ สังเกตต้นไม้ใหญ่นี้อย่างละเอียด ทั้งมองใต้ต้นไม้อีกทาง ตรงนั้นคงเป็นตำแหน่งที่จี้หยวนกับภิกษุชราฝออิ้นเคยนั่ง แม้แต่ตอนนี้มรรคซ่อนเร้นก็ยังควบรวมไม่ซ่านสลาย
ภิกษุสามรูปนี้ถือว่ามีความเคารพอย่างยิ่ง ต่อให้บำเพ็ญเพียรใต้ต้นไม้ก็ไม่กล้าเคลื่อนย้ายเบาะรองไปตำแหน่งนั้น จากมุมมองของมังกรเฒ่านี่คือการแสดงออกถึงความนับถือ ทั้งเป็นการแสดงออกถึงความฉลาด มรรควิถีไม่พอแต่กล้านั่งตรงนั้นเท่ากับแส่หาเรื่อง ไม่ถึงขั้นตาย แต่ยากจะรับแน่
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อกว่า ภิกษุสามรูปใต้ต้นไม้ยังนั่งสมาธิไม่ขยับ ส่วนมังกรเฒ่าสำรวจสถานที่แห่งนี้โดยละเอียดทั้งภายในและภายนอกนานแล้ว เริ่มแรกยังสนอกสนใจ ถึงตอนนี้กลับขมวดคิ้วเคร่งขรึม
การเสวนามรรคของจี้หยวนกับภิกษุชราฝออิ้นนั้น แฝงนัยเร้นลับยิ่งกว่าที่มังกรเฒ่าคิดไม่น้อย ‘สิ่งที่ได้รับค่อนข้างมาก จิตใจข้าเบิกบานยิ่ง’ ที่จี้หยวนกล่าวดูท่าว่าไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ
มังกรเฒ่าเดินกลับมาใต้ต้นไม้ มองป้ายหินซึ่งเห็นชัดว่าตั้งใหม่ด้านหลังภิกษุสามรูป
ป้ายหินนี้สลักอักษรทาทับด้วยครั่งทอง เนื้อหาอักษรคือ… ใต้ต้นโพธิ์
“ใต้ต้นโพธิ์… ความหมายดี ภิกษุวัดต้าเหลียงน่าสนใจอยู่บ้าง!”
แน่นอนว่ามังกรเฒ่ามองออกว่าความจริงต้นไม้นี้คือต้นมะเดื่อ แต่ผู้สูงส่งอย่างจี้หยวนกับภิกษุชราฝออิ้นเคยเสวนามรรคอยู่ที่นี่เนิ่นนาน เปลี่ยนชื่อต้นไม้หน่อยจะเป็นไร
หลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบ มังกรเฒ่าอ้าปาก
“ฮู่…”
เสียงผ่อนลมแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ไอน้ำประหลาดหนาแน่นพ่นออกมาจากปากมังกรเฒ่า กลิ่นอายพวยพุ่งว่องไว ไม่นานก็กลายเป็นหมอกอบอวลโดยรอบ ทั้งแผ่กระจายไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
ตั้งใจมาเยือนวัดต้าเหลียงโดยเฉพาะ แน่นอนว่ามังกรเฒ่าไม่มีทางมองแค่ผิวเผิน ถ้ามองต้องสำรวจจนปรุโปร่งหน่อย แน่นอนว่าต้องใช้วิชาบางส่วน
นานเข้าหมอกยิ่งแผ่ขยาย ความเร็วว่องไวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากอบอวลรอบอารามเล็กสองสามแห่ง หมอกไม่แผ่ขยายไปโดยรอบอย่างเดียวอีก แต่เหมือนเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโดยรอบเป็นวงกว้าง ทั่วอาณาเขตตะวันตกของจังหวัดถงชิวมีหมอกอบอวลขึ้นมาช้าๆ ทั้งแผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง
ใช้เวลาแค่สิบกว่าลมหายใจ หมอกซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันนี้ปกคลุมทั่วจังหวัดถงชิว รวมถึงอาณาเขตส่วนใหญ่นอกจังหวัด
หมอกไม่กว้างใหญ่ทั้งไม่ถือว่าหนาแน่นนัก แต่กลับมาอย่างกะทันหัน มาอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าโดยรอบพร่าเลือนโดยไม่รู้ตัว
ช่วงปีใหม่เช่นนี้ภายในจังหวัดยังดี เห็นชัดว่าชาวบ้านรอบวัดต้าเหลียงยิ่งตื่นเต้นยินดี หลายคนต่างบอกว่าเป็นหมอกอมฤตฟ้าประทาน
สำหรับชาวบ้านกับผู้มากราบไหว้ส่วนใหญ่ นอกจากความประหลาดใจและแปลกใหม่ตอนแรกแล้ว ความจริงไม่มีผลกระทบมากนัก แต่สำหรับผู้มีสัญชาตญาณฉับไวบางส่วนไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ภายใต้ต้นไม้ตรงเขตหวงห้ามของวัดต้าเหลียง มังกรเฒ่ากวาดสายตามองโดยรอบเล็กน้อย คล้ายเห็นจี้หยวนกับภิกษุชราฝออิ้นมานั่งใต้ต้นไม้อีกครั้ง คนหนึ่งชี้ท้องฟ้า หมอกม้วนตลบเป็นมหาสมุทรทันที คลื่นยักษ์ม้วนซัดราวกระแสทมิฬ
ฮูม…
เสียงหวือแหวกดังกระหึ่มกลางคลื่นทะเล
ครืน…
มหาสมุทรแยกออกจากกัน ปลาใหญ่มหึมาหาใดเปรียบตัวหนึ่งโถมน้ำทะเลมากมายขึ้นสู่ฟ้า สะบัดเกลียวคลื่นกลางอากาศทั้งขับเคลื่อนเมฆลม
กี้…
โครม ครืน…
ท่ามกลางฟ้าแลบฟ้าคำราม ปลาใหญ่หาใดเปรียบอาบไล้ด้วยลมฝนแสงอสนี กลายเป็นนกเผิงมหึมาตัวหนึ่ง
‘พญาเผิงถลาร่อนสู่แดนใต้ ห้วงนทีพลิ้วไหวสามพันลี้ สยายปีกบินสูงเก้าหมื่นลี้…’
เสียงของจี้หยวนดังก้องอยู่กลางคลื่นทะเลไร้สิ้นสุดแห่งนี้
‘สาธุ ฟ้าดินไร้ขอบเขต มรรคสวรรค์ไร้สิ้นสุด ตัวข้าไร้ขีดจำกัด…’
เสียงแก่ชราดังขึ้น มือใหญ่สีทองมหึมาหาใดเปรียบข้างหนึ่งพลันปรากฏเหนือพญาเผิงทะยานฟ้า คล้ายครอบลงมา ไม่รู้ว่าต้องการจับหรือคิดสัมผัสตัวนกเผิง
ตูม…
สะเก็ดทองพร่างฟ้า กลายเป็นธารดาราหลากสี พญาเผิงบินขึ้นฟ้าไปทั้งอย่างนั้น…
มังกรเฒ่ามองลักษณ์ประหลาดซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางม่านหมอกอย่างค่อนข้างตกตะลึงพลางอนุมานนัยภายในใจตน จี้หยวนกับภิกษุชราฝออิ้นร้ายกาจจริงๆ!
ตอนนี้ภิกษุสามรูปใต้ต้นไม้พากันขมวดคิ้ว เห็นชัดว่ารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงยามนั่งสมาธิ นั่งไม่ติดอยู่บ้างแล้ว
ขณะเดียวกันภายในวัดต้าเหลียง ผู้มีความรู้สึกฉับไวกว่าคนทั่วไปมากมายรู้สึกถึงความแปลกประหลาดทีละน้อย
เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งกำลังจับมือมารดาตน ในมือถือผลไม้เคลือบน้ำตาลซึ่งกินไปครึ่งหนึ่งไว้ เมื่อกำลังจะกัดอีกคำ เขากลับพบว่าไม้เสียบบนมือเริ่มเปลี่ยนเป็นเขียวขจี ผลไม้เคลือบน้ำตาลเริ่มแตกหน่อ ไม่นานก็เติบโตกลายเป็นต้นอ่อน ถึงขั้นผลิดอกออกมา
“เอ๋! ท่านแม่ๆ ผลไม้เคลือบน้ำตาลของข้าออกดอกแล้ว!”
เด็กชายตะโกนเรียกมารดาของตนอย่างตื่นเต้น แต่หญิงแต่งงานแล้วคนนั้นแค่เหลือบมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ
“ท่านแม่…”
เด็กชายสะบัดมือมารดาเต็มแรง สุดท้ายสิ่งที่รอคือการเคาะกะโหลก เขาได้แต่ลูบหน้าผากตน เมื่อมองผลไม้เคลือบน้ำตาลอีกครั้งก็ไม่มีดอกไม้กับกิ่งใบแล้ว
มีหญิงสาวมาวัดเพื่อขอพรให้คนรักปลอดภัย ทั้งต้องการถามว่าคนรักมีตนในใจเหมือนกันหรือไม่ หลังจากเขย่ากระบอกเซียมซี สิ่งที่เขย่าได้กลับเป็นด้ายแดงเส้นหนึ่ง
ด้ายแดงพลิ้วไหวนี้วิจิตรงดงาม ร่ายรำข้างกายหญิงสาว เดี๋ยวลอยอยู่เหนือศีรษะ เดี๋ยววนล้อมรอบตัวนางเหมือนผ้าคาดเล็กละเอียดเส้นหนึ่ง หญิงสาวเห็นแล้วทั้งรู้สึกแปลกใหม่ทั้งรู้สึกอัศจรรย์ ท่ามกลางความอึ้งงันนางยื่นมือออกไปคว้า ถึงขั้นสัมผัสได้ว่าเชือกบางถูกจับ จากนั้นภาพทุกอย่างพลันสลายหายไป
เมื่อก้มมองเซียนซีบนพื้น มีภิกษุรูปหนึ่งช่วยนางเก็บขึ้นมาแล้ว
“สาธุ โยม เซียมซีนี้ดีนัก!”
เถี่ยเฟิงที่อยู่อีกด้านเห็นว่ามารดายังคุยกับภิกษุชรารูปหนึ่งอยู่ข้างใน ตัวเขาจึงเดินออกมาจากตำหนักพระวิทยาราช อาศัยสภาพภูมิประเทศค่อนข้างสูงตรงนี้ทอดมองโดยรอบ สิ่งที่มองเห็นคือหมอกขาว สิ่งปลูกสร้างล้วนดูพร่าเลือน
“น่าแปลก ทำไมเวลานี้ถึงมีหมอกเกิดขึ้นกะทันหัน”
ทันใดนั้นเถี่ยเฟิงเบิกตากว้าง เห็นแค่ทางตะวันตกซึ่งสายตามองเห็น มีมือมหึมาข้างหนึ่งปรากฏ ตามมาด้วยชุดสีขาวแขนกว้าง ปลายนิ้วจับปิ่นหยกดำเปล่งประกาย
มือยักษ์ข้างนั้นถือปิ่นก่อนวาดมือลวกๆ แม่น้ำเทียมฟ้าสายหนึ่งปรากฏอยู่ห่างไกล เชื่อมต่อฟ้าดินอย่างแท้จริง คลื่นยักษ์กลางสายธารโหมกระหน่ำจนเกิดหมอกขาวโพลน
จากนั้นพลันมีมือใหญ่สีทองมหึมาข้างหนึ่งปรากฏเช่นกัน โอบน้ำกลางธาราเทียมฟ้าเป็นเรือมหึมาลำหนึ่ง บนใบเรือมีอักษรทองอร่ามเขียนว่า ‘ข้าม’
เถี่ยเฟิงขยี้ตาเล็กน้อย เมื่อมองไปอีกครั้ง หมอกห่างไกลยังเป็นหมอก แต่สายธารมือใหญ่เรือยักษ์อะไรล้วนไม่มีแล้ว