ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 322 หุบเขาจันทร์ลับนภา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 322 หุบเขาจันทร์ลับนภา

ท้องฟ้าสดใสไร้ชั้นเมฆ

แสงอรุณสาดทอมายังโลกอย่างเต็มที่ ส่องสว่างในเมืองหลักของพันธมิตรแปดสำนัก

ท้องฟ้าเกิดระลอกคลื่นเป็นระลอกๆ จากเสียงคำรามก้องฟ้า กิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลตัวหนึ่ง ปีกมหึมาของมันสร้างกระแสลมคลุ้มคลั่ง ทะยานไปนอกสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

กิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลแรกเริ่มมีขนาดเพียงร้อยจั้ง แต่เสี้ยวพริบตาที่อยู่บนท้องฟ้า จากการที่มันแค่สะบัดร่างก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า

จนเมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกินพันจั้ง เผยให้เห็นร่างมหึมาหกพันกว่าจั้งออกมา

ในขณะที่ดูครั่นคร้ามน่าหวาดเกรง ปีกที่กางออกของมันยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนบดบังท้องฟ้าอำพรางตะวันได้

กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามแผ่ออกมาจากร่างของมัน ทำให้ลมเมฆเปลี่ยนสี เกิดลมพายุขึ้น

มองไกลๆ บนหลังของกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลสีดำตัวนี้มีสิ่งก่อสร้างมากมาย

ในขณะที่เต็มไปด้วยหออาคารมากมาย ก็มีเงาร่างจำนวนมากอยู่ในนั้น

สวี่ชิงก็อยู่ในนั้นด้วย

กิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลตัวนี้เป็นหนึ่งในเรือศึกบรรพกาลทั้งสามลำของนายท่านเจ็ด

ส่วนคนที่อยู่ข้างบนเหล่านั้นล้วนเป็นลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่เข้าร่วมภารกิจสังหารครั้งนี้

ในบรรดาพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมเพราะมิตรภาพไปเสียทุกคน ในนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่มาเพราะรางวัลอันมหาศาล

แต่นี่ก็คือกฎของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ในโลกาวินาศ ข้อดีในนั้นมีมากกว่า

ตอนนี้ที่หอสูงที่สุดข้างหน้าสวี่ชิงมีเงาร่างสองร่าง

คือนายท่านเจ็ดและเสี่ยเลี่ยนจื่อนั่นเอง

ทั้งสองคนยืนท่ามกลางสายลม เสื้อผ้าสะบัดปลิว ในดวงตามีแววเหี้ยมโหด จิตสังหารที่ลุกโชนแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวยะเยือกเป็นระลอกๆ

การโจมตีครั้งนี้ พวกเขาสองคนนำสำนักเจ็ดเนตรโลหิตออกมาด้วยตัวเอง

หลังจากเป็นกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาล ป้อมปราการสงครามที่เปลี่ยนมาจากขุนเขายอดเขาลำดับหกท่ามกลางครืนครันเลื่อนลั่นจากแผ่นดิน ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า

ยอดเขามหึมาแผ่พลังกดดันหนักหน่วง ทำให้ทุกคนที่เห็นสัมผัสได้ถึงอำนาจน่าเกรงขามของมัน

ลูกศิษย์ยอดเขาหกในนั้น ไม่ว่าจะมาเข้าร่วมด้วยมิตรภาพที่มีต่อนายท่านหก หรือผลประโยชน์ ต่างออกมาร่วมกันทั้งนั้น

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ สำนักที่ออกมายังมีสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า สำนักโลกันต์ทมิฬและสำนักล่าสิ่งประหลาด

สี่สำนักออกเคลื่อนไหว บรรพจารย์ของแต่ละสำนักล้วนอยู่ในนั้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือของวิเศษเวทต้องห้ามแห่งพันธมิตรแปดสำนักล้วนกระตุ้นขึ้นพร้อมกัน เตรียมพร้อมโจมตี

ขณะที่ระลอกคลื่นพลังของวิเศษเวทต้องห้ามแผ่ระลอกเป็นวงๆ ก็มีกระบี่สัมฤทธิ์โบราณใหญ่มหึมาเก้าเล่มบินมาจากในสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า บรรพจารย์หลิงอวิ๋นและเจ้าสำนักก็อยู่ในนั้นเช่นกัน จิตสังหารคุกรุ่น

ทางสำนักล่าสิ่งประหลาดก็มีดวงตาสิ่งประหลาดมหึมาขนาดถึงเจ็ดแปดพันจั้งดวงหนึ่ง ปรากฏบนท้องฟ้าอย่างเหี้ยมเกรียม ในดวงตาข้างนั้นแฝงด้วยฟ้าดิน จะเห็นเงาร่างผู้บำเพ็ญสำนักล่าสิ่งประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนในนั้น

ทางสำนักโลกันต์ทมิฬยิ่งทรงอำนาจเกรียงไกรยิ่งกว่า ตั้งป้ายหลุมศพน่าพรั่นพรึงป้ายหนึ่งขึ้นมา

บนป้ายหลุมศพป้ายนี้มีรอยอักขระสีเลือด เมื่อปรากฏขึ้นก็แผ่ความรู้สึกกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนและเนิ่นนานมหาศาลออกมา จอมเซียนจื่อเสวียนยืนอยู่บนป้ายหลุมศพ ข้างหลังเป็นลูกศิษย์สำนักโลกันต์ทมิฬจำนวนมาก

หลังจากสี่สำนักทยอยปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า จากท้องฟ้าที่โหมซัด ใบหน้ามหึมาของประธานพันธมิตรก็บดบังท้องฟ้า ในดวงตาของเขาฉายความล้ำลึก มองไปที่ไกล

“จากการสืบในบรรดาฐานที่มั่นลับมากมายของเทียนประทีปในมณฑลรับเสด็จราชัน มีสี่แห่งที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของจริง วันนี้พันธมิตรจะทำการโจมตี แต่ละสำนักแยกย้ายกันไปคนละแห่ง สังหารผู้บำเพ็ญกลุ่มอำนาจเทียนประทีป แก้แค้นให้กับพี่น้องพันธมิตรของเรา!

“ของวิเศษเวทต้องห้ามของพันธมิตรกระตุ้นทั้งหมด โจมตีได้ทุกเมื่อ

“อีกทั้งศึกนี้ก็ได้แจ้งโถงครองกระบี่แล้ว โถงครองกระบี่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จะมาจับตามองสนามศึกทั้งหมด หากวันนั้นนายแห่งนกเขาราตรีปรากฏตัวก็จะไม่ปล่อยให้เขารอดไปได้!

“อีกทั้งแสงในกล่องใบนั้น โถงครองกระบี่ก็มีวิธีต้านทานในระดับหนึ่ง

จากคำของประธานพันธมิตร ฟ้าดินส่งเสียงเลื่อนลั่น ทั้งสี่สำนักต่างพุ่งออกไป ในฟ้าดินมีค่ายกลส่งข้ามปรากฏขึ้น ส่งข้ามไปยังที่ต่างๆ ทำการโจมตีสถานที่ทั้งสี่นี้พร้อมกัน

สถานที่ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเลือก เป็นสถานที่ที่พบร่องรอยของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง เรื่องนี้เสี่ยเลี่ยนจื่อใช้ฐานะที่เป็นสภาอาวุโสกดดันสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า รับสถานที่นี้เอาไว้เอง

การตายของนายท่านหก แม้ตัวการหลักจะเป็นกลุ่มเทียนประทีปกับนายของพวกมัน แต่พ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็มีส่วนช่วย ด้วยเหตุนี้ ฆ่าพวกเขาสองคนเป็นสิ่งที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตตั้งมั่นว่าต้องทำให้สำเร็จให้ได้

และร่องรอยของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องอยู่ที่…สำนักนำบารมี

นับจากที่สำนักนำบารมีถูกพันธมิตรทำลายเขื่อนไปแล้ว เนื่องจากพันธมิตรกับสำนักเซียนล้ำบารมีมีการแลกเปลี่ยนที่คนภายนอกไม่รู้ ดังนั้นสำนักเซียนล้ำบารมีจึงไม่ได้ก่อสงครามขึ้นเพราะเหตุนี้ และในขณะที่ยอมรับเรื่องนี้ไปเงียบๆ ทั้งสองฝ่ายก็ทำเรื่องใหญ่เรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก

สำนักที่เสียสละมากที่สุดคือสำนักนำบารมี และทำได้เพียงกลืนผลภายหลังอันทุกข์ระทมลงไป เลือกที่จะสร้างสำนักใหม่ในที่ใหม่

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำนักนำบารมีก็นับได้ว่าเป็นสายแยกของสำนักเซียนล้ำบารมี ดังนั้นเพื่อเป็นการปลอบขวัญสำนักเซียนนำบารมี จึงเพิ่มจำนวนของสิทธิ์รายชื่อการยกระดับให้

นี่ทำให้จำนวนลูกศิษย์ของสำนักเซียนนำบารมีที่สามารถยกระดับไปยังสำนักเซียนล้ำบารมีของทุกปีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ต้องรู้ว่าสำนักเซียนล้ำบารมีไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆ พวกเขาแทบจะไม่รับลูกศิษย์ภายนอก ส่วนมากล้วนดูที่วาสนา อย่างเช่นหลี่จื่อเหมย ก็ได้เป็นศิษย์เพราะวาสนาชักนำ

ดังนั้นแหล่งที่มาของลูกศิษย์ที่มากที่สุดของพวกเขาความจริงแล้วคือสิทธิ์รายชื่อในการยกระดับของสำนักสายแยกหลายร้อยสำนักข้างล่าง แบ่งสัดส่วนไปตามพลังของแต่ละสำนัก

ที่ผ่านมา ทุกปีสำนักเซียนนำบารมีจะมีสิทธิ์รายชื่อเพียงสี่สิทธิ์เท่านั้น ตอนนี้สิทธิ์รายชื่อเพิ่มไปถึงแปดสิทธิ์

นี่สำหรับสำนักเซียนนำบารมีแล้วมีข้อดีเป็นอย่างมาก เพราะในมณฑลรับเสด็จราชันมีคนธรรมดาและลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนกระตือรือร้นอยากฝากตัวเข้าสำนักนำบารมี ช่วงชิงโอกาสนี้มา

อย่างไรเสีย ในมณฑลรับเสด็จราชัน ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดนอกจากโถงครองกระบี่ที่เป็นตัวแทนสายหลักเผ่ามนุษย์แล้ว ก็เป็นสำนักเซียนล้ำบารมี

ดังนั้นด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบได้อะไรบางอย่าง เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ทรยศสำนักเมื่อก่อนหน้านี้ ได้ถูกส่งมาอยู่ในสำนักนำบารมีอย่างลับๆ เปลี่ยนโฉม เปลี่ยนชื่อแซ่ เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยฐานะลูกศิษย์ธรรมดา

จินตนาการได้ว่าภารกิจของเขาคงจะเป็นอาศัยสำนักนำบารมี ฝากตัวเข้าสำนักเซียนล้ำบารมี

ขณะเดียวกัน จากรายงานของพันธมิตรและสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ไม่รู้ว่านายท่านเจ็ดใช้วิธีอะไร พวกเขาสืบได้ว่าในสำนักนำบารมีนอกจากเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแล้วน่าจะมีสมาชิกระดับล่างอย่างเขาอยู่อีกจำนวนไม่น้อย กระทั่งว่า สมาชิกคนสำคัญก็น่าจะอยู่ในนี้ด้วย

ส่วนนกเขาราตรีและนายของเขาจะปรากฏตัวหรือไม่ เรื่องนี้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่มั่นใจ

และการโจมตีครั้งนั้นก็เพื่อล้อพวกเขาออกมา ศึกนี้ดูเหมือนสี่สำนักของพันธมิตรโจมตีสำนักละจุด แต่ความจริงแล้วเป็นการโจมตีที่พันธมิตรและโถงครองกระบี่ร่วมมือกัน

เพียงแต่พันธมิตรอยู่ในที่แจ้ง โถงครองกระบี่อยู่ในที่ลับ

เห็นได้ชัดว่าโถงครองกระบี่สนใจในตัวนายของนกเขาราตรีคนนั้นมาก

เรื่องนี้สวี่ชิงก็รู้เหมือนกัน

ดังนั้น ในขณะที่จิตสังหารในดวงตาเข้มข้น จิตสังหารท่วมท้นในร่าง กิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลตัวมหึมาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและป้อมปราการยอดเขาลำดับหกที่อยู่ข้างหลัง ก็พุ่งเข้าไปในค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่ที่ปรากฏข้างหน้า

เสี้ยวขณะต่อมา จากแสงท่วมฟ้ากะพริบวูบวาบของค่ายกลส่งข้าม หลังจากที่กิ่งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลตัวนี้ส่งเสียงคำรามลากเสียงยาวจนฉีกทึ้งท้องฟ้าได้ เงาร่างของมันก็มาปรากฏบนที่ราบจันทร์ลับนภาในมณฑลรับเสด็จราชัน

ที่ราบจันทร์ลับนภาอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลรับเสด็จราชัน นับได้ว่าอยู่ระหว่างสำนักเซียนล้ำบารมีกับทุ่งน้ำแข็งทางเหนือ แม้ที่นี่จะหนาวเหน็บตลอด แต่พลังวิญญาณพอใช้ได้ ละแวกใกล้ๆ มีสำนักเล็กใหญ่หลายพันสำนัก

และตอนนี้ ที่ข้างหน้าชายขอบที่ราบจันทร์ลับนภามีหุบเขาใหญ่โตแห่งกนึ่ง มันมีชื่อว่าหุบเขาจันทร์ลับนภา

ในหุบเขาก็คือที่ตั้งของสำนักนำบารมีที่ย้ายมานั่นเอง

สำนักนำบารมีเดิมเป็นสำนักขนาดกลาง หลังจากถูกโจมตี พลังเสียหายสาหัส จำนวนลูกศิษย์ตอนนี้มีไม่ถึงหมื่นคน ตอนนี้แสงอาทิตย์ตอนเช้าเจิดจ้า ลูกศิษย์ในสำนักส่วนใหญ่ง่วนอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นเสียงคำรามจากกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลและท้องฟ้าที่จู่ๆ มีเมฆดำปรากฏขึ้น ทำให้ในสำนักนำบารมีปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมาทันที

แต่ไม่รอให้ลูกศิษย์สำนักนำบารมีได้ทันตั้งตัว กิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลก็ประชิดเข้ามาใกล้ ในขณะที่ลมพายุโหมกวาดพื้นดิน ขุนเขายอดเขาลำดับหกก็ลอยอยู่บนท้องฟ้า แผ่พลังอำนาจน่ากลัวออกมาเป็นระลอกๆ

ขณะเดียวกัน ในดินแดนเผ่าสิงซากสมุทร กระจกสัมฤทธิ์โบราณบานมหึมาที่ลอยอยู่เหนือเทวรูปบรรพชนศพทั้งสิบสี่องค์บานนั้นก็พลันหมุน หน้ากระจกหันเล็งมาทางหุบเขาจันทร์ลับนภา มณฑลรับเสด็จราชันทันที

เสี้ยวขณะต่อมา จากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของเทวรูปบรรพชนศพแต่ละองค์ๆ ท่ามกลางพลังมหาศาลที่ไหลเข้าไป ดวงตาสีเลือดทั้งเจ็ดดวงที่กระตุ้นขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ก็ลืมตื่นขึ้นพร้อมกัน

สายตาจับจ้องไปยังที่ไกล จับเป้าหมายมาที่หุบเขาจันทร์ลับนภา

เพียงพริบตา ในหุบเขาจันทร์ลับนภา แสงเลือดลอยเอ่อท่วมฟ้า

ท่ามกลางความหวาดกลัวและเสียงร้องตื่นตกใจทั้งสำนักนำบารมี และสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้นำระดับสูงของสำนัก แสงเลือดที่เอ่อล้นทำให้ลูกศิษย์ในสำนักอย่างน้อยพันคนมีไอสีดำแผ่ออกมา

ไอพลังนี้เห็นได้อย่างชัดเจนในแสงเลือดนี้

ในเสี้ยวพริบตาที่แผ่ออกมา รูปโฉมของพวกเขาก็ได้รับผลกระทบ รูปลักษณ์ภายนอกทั้งหมดถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงท่ามกลางสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ในนี้มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกศิษย์ทั่วไปของสำนักนำบารมี แต่…ในบรรดาผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณกลับมีถึงเจ็ดแปดคนรวมอยู่ในนั้น ที่เกินสมควรมากกว่านั้นคือ ผู้อาวุโสใหญ่ระดับปราณก่อกำเนิดของสำนัก รูปลักษณ์ภายนอกก็เปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย

ภาพนี้ทำให้ทุกคนในสำนักนำบารมีต่างหน้าเปลี่ยนสี

เจ้าสำนักของพวกเขายิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด

เรื่องในวันนี้ คนอื่นประหลาดใจ แต่ความจริงแล้ว เขาไม่ประหลาดใจเลย

เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสำนักเซียนล้ำบารมี เป็นคนที่ไม่มีทางเป็นคนทรยศที่สุด ดังนั้นก่อนหน้าเหตุการณ์นี้เขาก็ได้รับคำเตือนจากสำนักเซียนล้ำบารมีเรื่องที่ในสำนักนำบารมีมีผู้บำเพ็ญกลุ่มอำนาจเทียนประทีปแฝงตัวเข้ามาจำนวนมหาศาล

ตอนนี้ เห็นทุกอย่างที่ปรากฏขึ้น สีหน้าของเจ้าสำนักนำบารมีย่ำแย่ รีบถ่ายทอดคำสั่งออกไปทันที

“ลูกศิษย์ทุกคน สังหารผู้บำเพ็ญที่ร่างแผ่ไอดำ คนพวกนี้เป็นผู้บำเพ็ญนอกรีตกลุ่มอำนาจเทียนประทีป!”

“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าลงมือ!” แทบจะในเสี้ยวขณะที่เจ้าสำนักนำบารมีเอ่ย เสียงเหี้ยมเกรียมของเสี่ยเลี่ยนจื่อก็สะท้อนก้อง เขาเพียงสะบัดชายเสื้อ พลังของวิเศษเวทต้องห้ามสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ผนึกรอบๆ

เสี้ยวขณะต่อมา จากคำสั่งของนายท่านเจ็ด ท่ามกลางเสียงคำรามของกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาล ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่บนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาวเป็นทางๆ พุ่งตรงดิ่งไปยังสำนักนำบารมี

พวกเขาไม่ลงมือกับลูกศิษย์สำนักนำบารมีปกติเหล่านั้น ฆ่าเพียงผู้บำเพ็ญที่ร่างแผ่ไอดำออกมาเท่านั้น

ดวงตาของสวี่ชิงจับจ้องไปยังลูกศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งของสำนักนำบารมี

ภายใต้การส่องสะท้อนของของวิเศษเวทต้องห้ามสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ใบหน้าของคนคนนี้ก็กลับคืนมาเป็นอย่างเดิม

ใบหน้าหล่อเหลา ระลอกพลังระดับแก่นลมปราณทั้งร่าง

เป็น…เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องนั่นเอง

เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสีหน้าเปลี่ยนไปมหาศาล เห็นได้ชัดว่าถูกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตหาตัวได้เร็วมาก นี่ทำให้เขาตื่นตะลึงและตกใจ

แต่พลังบำเพ็ญของเขาไม่เหมือนกับตอนที่สวี่ชิงเคยเห็นอีกต่อไป

บนร่างเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องระลอกคลื่นพลังระดับแก่นลมปราณชัดเจน วิหคทองที่เดิมอยู่ในตาขวาของเขาตอนนี้เหมือนถูกผนึก ในขณะที่หมองหม่นเปลี่ยนไป ความสามารถของมันก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน จากดูดพลังชีวิตของเขาเปลี่ยนมาถูกเจตจำนงของเขาเข้าครอบครอง เปลี่ยนมาเป็นดวงตาวิหคทองของตัวเอง

ในเสี้ยวพริบตาที่เห็นเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ในสายตาสวี่ชิงก็ไม่มีคนอื่นอีก

จากคำบัญชาการที่สั่งลงมา จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงแรงกล้า ทะยานตัวออกไป พุ่งไปยังสำนักนำบารมี พุ่งตรงไปยัง…เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง

ครั้งนี้เขาจะต้องฆ่าคนคนนี้ให้ได้!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท