ตอนที่ 183 วิธีการระดมทุน
จังซวี่ตั้งสติได้ รีบส่ายหน้า “หลานไม่ได้เอ่ยอันใดขอรับ”
เขารับปากคุณหนูโค่วว่าจะเก็บเป็นความลับ จะบอกท่านย่าได้อย่างไร
กินซุปเนื้อแพะไปชามหนึ่ง จังซวี่ก็ทนไม่ไหว “ท่านย่า ข้ามีธุระออกไปสักหน่อย”
นายหญิงผู้เฒ่าจูนิ่งอึ้ง “อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดเพิ่งกลับมาก็จะออกไปอีกแล้ว”
“พลันคิดได้ว่ามีธุระนิดหน่อย ก่อนอาหารเที่ยง…เอ่อ ไม่แน่ว่าจะกลับมาตอนไหน หากไม่กลับมากินอาหารเที่ยว ข้าจะส่งคนมาบอกท่าน”
จังซวี่รีบเดินออกไป เดินไปได้สองก้าวก็พลันหันกลับมายิ้มกว้างให้นายหญิงผู้เฒ่าจู “ท่านย่า ท่านมีเงินติดตัวหรือไม่ หากมี ข้าขอยืมสักหน่อย ข้าไม่กลับไปที่เรือนแล้ว”
นายหญิงผู้เฒ่าจูให้สาวใช้หยิบเงินให้เขา “พาคนไปมากหน่อย อย่าไปสถานที่อโคจร”
“ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านย่าวางใจ” จังซวี่รีบเดินออกไป
นายหญิงผู้เฒ่าจูขมวดคิ้ว สั่งการไปว่า “ตามคุณชายใหญ่ไป ดูว่าเขาไปที่ใด”
นายหญิงผู้เฒ่าจูไม่กล้าละเลยหลานชายเพียงคนเดียวผู้นี้
จังซวี่ขึ้นรถม้ารวดเร็ว “ไปร้านหนังสือชิงซง”
เขาต้องเลี้ยงข้าวคุณหนูโค่วสักมื้อ!
ใกล้จะปีใหม่แล้ว แถบติ้งเป่ยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่เป็นเพียงเรื่องราวสนทนาหลังมื้ออาหารของชาวเมืองหลวง พวกที่ต้องไปเยี่ยมญาติมิตรก็ไป คนที่ต้องจัดเตรียมของสำหรับฉลองปีใหม่ก็เตรียมกันไป บนท้องถนนยังคงครึกครื้น
มาถึงร้านหนังสือชิงซงรวดเร็ว จังซวี่กระโดดลงจากรถม้า รีบเดินเข้าไป
“ขอเรียนถามว่าคุณหนูโค่วอยู่ไหม”
ผู้ดูแลร้านหูจ้องมองนิ่ง เป็นคุณชายเสเพลระดับสอง
ระยะนี้ผู้ดูแลร้านแอบจัดลำดับชายหนุ่มที่หมายปองเจ้าของร้าน คุณชายไต้เป็นคุณชายเสเพลระดับหนึ่ง คุณชายจังท่านนี้เป็นคุณชายเสเพลระดับสอง
นอกจากนี้ใต้เท้าเฮ่อกับคุณชายข่งอยู่ระดับเดียวกัน ยังมีบรรดาบัณฑิตยากจน ซึ่งย่อมมีกู่อวี้รวมอยู่ด้วย ยังมีพวกเหลวไหลไร้สาระมากมายที่มาเพราะหมายปองสมบัติของเจ้าของร้าน ทั้งหมดจัดให้อยู่ในประเภทคนผ่านทาง
ผู้ดูแลร้านหูอายุมากแล้ว นับเงินคิดบัญชีก็เสียสมองมากแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ เจ้าของร้านของพวกเราดีไปหมด มีเพียงแต่เรื่องพวกนี้ที่ทำให้เขากลุ้มใจแทน แบ่งประเภทเช่นนี้ทำให้ง่ายต่อการจำ
“คุณชายจังมาหาเจ้าของร้านเรา?” ผู้ดูแลร้านหูหัวเราะเหอะๆ
“ใช่ คุณหนูโค่วน่าจะว่างกระมัง”
“ช่างไม่ประจวบเหมาะเสียจริง เจ้าของร้านเราไปจวนรองเจ้ากรมแล้ว อาจค้างที่นั่น” ผู้ดูแลร้านหูพูดจบ ใบหน้าเหี่ยวย่นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แล้วก็ไม่รีบบอก” จังซวี่สบถอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะสะบัดหน้าจากไป
รถม้าจอดอยู่ริมทาง จังซวี่มาเก้อ แต่ก็ไม่คิดอยากไปที่ใดอีก ได้แต่สั่งการให้สารถีตรงกลับบ้าน
บ่าวที่แอบตามมากลับถึงจวนตระกูลจัง ก็รายงานนายหญิงผู้เฒ่าจู “คุณชายไปร้านหนังสือชิงซงหาคุณหนูโค่วขอรับ”
“หาคุณหนูโค่ว?” นายหญิงผู้เฒ่าจูเคยได้ยินเรื่องคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรมท่านนี้มาบ้าง ได้ยินบ่าวตอบ ในใจก็พลันตกใจ
ซวี่เอ๋อร์คงมิได้มีใจต่อคุณหนูโค่วกระมัง
นายหญิงผู้เฒ่าจูเองก็ได้ยินเรื่องคุณหนูโค่วแจกข้าวต้มช่วยเหลือคน นางยอมรับว่าคุณหนูผู้นี้จิตใจไม่เลว แต่การโปรยเงินเพื่อขอบคุณคนที่ช่วยนางหาแมวเช่นนี้ ไม่เหมาะกับตระกูลจัง
ตอนอาหารเย็น นายหญิงผู้เฒ่าจูก็ลองหยั่งเชิงถาม “ซวี่เอ๋อร์ เจ้ารู้จักคุณหนูโค่วไหม”
จังซวี่ได้ยินก็เผยสีหน้าระแวง “มีอันใดหรือขอรับ”
หรือว่าความลับที่คุณหนูโค่วดูนรลักษณ์เป็นแตกแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าจูหนักใจ ท่าทางซวี่เอ๋อร์เช่นนี้ ดูท่าความเป็นห่วงของนางไม่ผิดแล้ว
“ย่าได้ยินเรื่องคุณหนูโค่วแจกข้าวต้มและยังได้ยินว่าคุณหนูโค่วเปิดร้านหนังสือละแวกสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน นึกอยากรู้จึงได้ถามดู”
“อ้อ” จังซวี่ถอนหายใจ “หลานย่อมรู้จักคุณหนูโค่ว แต่พวกเราไม่สนิทกัน”
“อย่างนั้นหรือ” นายหญิงผู้เฒ่าจูไม่ได้ถามมากต่อ จากนั้นก็เรียกภรรยาพ่อบ้านที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบมาพบ สั่งให้นางพรุ่งนี้ไปร้านหนังสือชิงซงลอบดูคุณหนูโค่วสักหน่อย
ทางจวนรองเจ้ากรม นายหญิงผู้เฒ่าเองก็แสดงท่าทีชมเชยการแจกข้าวต้มของซินโย่ว “ท่านแม่เจ้าตอนยังสาวก็ใจอ่อนขี้สงสารมาก เห็นคนตกทุกข์ได้ยากไม่ได้”
นางต้องการเก็บหลานสาวไว้ในตระกูล แจกข้าวต้มจ่ายเงินไปไม่เท่าไร แต่ทำให้จวนรองเจ้ากรมมีชื่อเสียงนับว่าคุ้มค่า
ส่วนรองเจ้ากรมต้วนย่อมไม่มีทางยินดี มีแต่ความโกรธแค้นหลานสาวที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้งแล้ว ทำให้ไม่อาจลงมือในยามนี้
คนพวกนี้กำลังกังวลแต่เรื่องการแต่งงานของลูกหลาน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กับบรรดาขุนนางใหญ่กลับกำลังทุ่มเทกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
รายงานจากติ้งเป่ยส่งมาต่อเนื่อง เห็นชัดว่าเป็นเพียงกระดาษแผ่นบาง แต่กลับราวกับก้อนหินกดทับจิตใจ สภาพการณ์ภัยพิบัติรุนแรงยิ่งกว่าตอนแรกที่ได้รู้เหตุ
หลายวันนี้เงินทองจากท้องพระคลังหลวงไหลออกไปราวกับสายน้ำ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแต่ละด้านหลั่งไหลสู่ติ้งเป่ยต่อเนื่อง ยามนี้ราชสำนักไม่อาจหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาขาดแคลนเงินทองได้อีกแล้ว
ราชวงศ์ต้าซย่ากว้างใหญ่ไพศาล ไม่อาจหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหา ทั้งแผ่นดินเหนือใต้ออกตก เหตุภัยพิบัติย่อมต้องมีมาตลอด
เช่นตอนหน้าร้อนปีนี้ เพราะอุทกภัยทางใต้ คลังหลวงทุ่มเงินไปไม่น้อย และยังมีฤดูใบไม้ผลิที่มาเร็ว ส่งผลต่อการเก็บเกี่ยว ตอนนี้ติ้งเป่ยเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ คลังหลวงว่างเปล่าแล้ว
จะระดมเงินจากที่ใด ขุนนางใหญ่หลายคนถกเถียงกันไม่หยุด จังโส่วฝู่เชี่ยวชาญเรื่องดำรงตนเงียบกริบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมับเต้นตุบๆ อยากจะคว่ำโต๊ะทิ้งมาก
โต๊ะคว่ำไม่ได้ ทำลายของทิ้งก็เป็นเงินเป็นทอง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงนวดหว่างคิ้ว อดคิดถึงคนผู้หนึ่งไม่ได้
นี่คือความเคยชินหลายปีมานี้ของเขา ทุกครั้งที่พบกับความยากลำบาก ก็มักจะอดคิดถึงฮองเฮาที่จากไปเงียบๆ ไม่ได้
ตอนนั้นอนาคตยากคาดเดา อุปสรรคมากมาย นางมักคิดหาวิธีแปลกใหม่และใช้งานได้จริงออกมาได้เสมอ
หากซินซินยังอยู่ ต้องแบ่งเบาภาระเขาได้ ไม่เหมือนตาแก่พวกนี้ มีแต่เตะลูกกันไปมา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงคิดวิธีหนึ่งได้ท่ามกลางบรรดาขุนนางที่กำลังโต้เถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด “เรียกคหบดีทั้งเมืองหลวงให้มาบริจาคเงินก็แล้วกัน”
บริจาคเงิน?
บริจาคเท่าไร เหตุใดจึงบริจาค พวกเขาเองก็ต้องบริจาคหรือ
“เราได้ยินว่าคุณหนูโค่วเจ้าของร้านร้านหนังสือชิงซงเปิดร้านหนังสือเล็กๆ ก็มีเงินทองไหลมาเทมา เห็นชัดว่าความอุดมสมบูรณ์ใต้หล้าไม่น้อยอยู่ในมือพ่อค้าคหบดี ตอนนี้ราชสำนักประสบความลำบาก หากพวกเขาสละเงินทองส่วนหนึ่งมาช่วยเหลือ ก็จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยติ้งเป่ยให้ผ่านพ้นภัยนี้ไปได้”
จังโส่วฝู่ถูกสายตาทุกคนบีบให้ทูล “ฝ่าบาท แต่ไรมาไม่เคยมีธรรมเนียมนี้…”
“ผู้ใดว่าไม่มี ตอนนั้น…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชะงัก สีพระพักตร์เข้ม “ตกลงตามนี้ ไม่เช่นนี้พวกเจ้าก็รีบหาวิธีให้เรา”
“ฝ่าบาท หากในนามราชสำนัก เกรงว่าจะไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ”
สายพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองจังโส่วฝู่อย่างแปลกใจ “ไยต้องในนามราชสำนัก ฮูหยินและคุณชายของขุนนางทุกท่านหรือว่าพ่อค้าใจกุศลท่านใด เราเชื่อว่ามีคนมีใจกุศลอยู่มากมาย ต้องมีคนบริจาคเงินด้วยตนเอง จึงให้เรียกทุกคนมา”
บรรดาขุนนาง “…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดสายพระเนตรมองทุกคนทีหนึ่ง ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบ “เอาอย่างนี้ ถึงตอนนั้นก็จัดงานเลี้ยงผู้บริจาค ขอเพียงบริจาคพันตำลึงเงินขึ้นไปก็เชิญมาร่วมงานเลี้ยง ซิ่วอ๋องไปต้อนรับคนบริจาคเหล่านี้แทนเรา”
บรรดาขุนนางสบตากันไปมาครู่หนึ่งก่อนประสานมือ “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว”
ฮ่องเต้ทรง ‘โปรด’ ซิ่วอ๋องจริง