ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 199 นางจะฝ่าฟันมันไปให้ได้

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 199 นางจะฝ่าฟันมันไปให้ได้

บทที่ 199 นางจะฝ่าฟันมันไปให้ได้

หลิงเยว่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทอย่างเชื่องช้าพลางนึกฉงน

ก่อนหน้านี้ยังสว่างอยู่แท้ ๆ เชียว เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้เพียงชั่วพริบตา

หยาดฝนตกลงมาอย่างแรงราวกับเม็ดถั่วที่ร่วงลงบนหลังคา

เพียงฝนตกเท่านั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเหล่าผู้ที่ได้ลิ้มรสชาติอาหารอันเลิศรส พวกเขาจึงสร้างเขตอาคมกำบังน้ำฝนเอาไว้ ท้องฟ้าที่มืดมิดไม่อาจขัดขวางความกระตือรือร้นของพวกเขาได้ มีทั้งลูกแก้วปราณ หินเรืองแสง และไข่มุกส่องสว่างยามราตรีขนาดใหญ่ และอื่น ๆ อีกมากมาย…

พวกเขาอิ่มเอมกับอาหารวิญญาณพิเศษอันโอชะท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนอง

“เยี่ยมยอดจริง ๆ ในยามนี้การรับประทานอาหารเลิศรสและจิบสุราย่อมมีรสชาติแปลกใหม่ไม่ใช่น้อย”

ทันทีที่ชายชราพูดจบ สายฟ้าก็ผ่าลงมา เกิดเป็นแสงสว่างจ้าไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมิด สายฟ้าผ่าตรงเข้าใส่ปราณเกราะกำบังจนแตกออก ตัวของชายชราเปียกโชกไปด้วยน้ำฝนทั้งตัว และมีควันสีดำลอยขึ้นมาจากศีรษะของเขา โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นเถ้าธุลี เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน

ชายชราจ้องมองเนื้อย่างเสียบไม้ที่ไหม้ดำจนกลายเป็นเถ้าธุลีและถูกชะล้างไปด้วยสายฝน

ชายชราผู้นั้นรวมถึงผู้คนในร้าน “!!!”

“ทุกคนวิ่งหนีเร็วเข้า คำสาปกำลังมาแล้ว!”

ฝูงชนที่มามุงดูต่างรีบหนีออกจากบริเวณนั้นในทันที ความกระตือรือร้นที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่พลันมลายหายจนหมดสิ้น

ฝูงชนที่มามุงดูบนถนนได้หายไปหมดแล้ว ชายชราที่ถูกฟ้าผ่าจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น คำสาปนี้ช่างแตกต่างจากแต่ก่อนเสียเหลือเกิน

“เอ่อ… ขออภัยท่านด้วย นี่คือค่าเสียหายของท่าน” หลิงเยว่ยื่นเนื้อย่างเสียบไม้พร้อมไหสุราสมุนไพรวิญญาณให้กับชายชราผู้นั้น นอกเหนือจากที่ท่านถูกฟ้าผ่าแล้ว โต๊ะอื่น ๆ ยังอยู่ในสภาพดี

หลิงเยว่เพิ่งคิดเช่นนี้ราวกับถูกตบหน้าอย่างไร้ความปรานี เพราะลูกค้าที่ยังคงกินอาหารวิญญาณพิเศษอยู่โต๊ะถัดไปด้วยความหวาดกลัวนั้นถูกฟ้าผ่าต่อหน้าต่อตาของนาง!

มันเหมือนกับสิ่งที่ชายชราเคยประสบมาทุกประการ แม้ว่าสายฟ้าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แม้แต่โต๊ะ เก้าอี้ และอาหารวิญญาณพิเศษทั้งหมดล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน

เพียงชั่วพริบตา ลูกค้าที่ก่อนหน้านี้ยังฝืนทนอยู่ท่ามกลางสายฟ้าฟาด และเสียงฟ้าร้องของพายุร้ายที่โหมกระหน่ำเพื่อลิ้มรสอาหารอันโอชะ บัดนี้กลับวิ่งหนีกระเจิงไปพร้อมกับโต๊ะและเก้าอี้เสียแล้ว

สุดท้ายก็เหลือเพียงหลิงเยว่และเหล่าศิษย์ของชั้นเรียนพิเศษ ส่วนสองพี่น้องตระกูลซีก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว

“อา… อาจารย์ขอรับ ข้าว่าเราควรจะ… ถอยกลับก่อนไม่ดีกว่าหรือ?” เซี่ยซิ่นรุ่ยกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ พร้อมกับมองไปที่ท้องฟ้าอันดำมืดแล้วมองไปที่หลิงเยว่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกราวกับโดนหมายหัวเช่นนี้!

“อาจารย์ ข้าเพิ่งจะอยู่ขอบเขตสร้างรากฐานไม่เคยถูกฟ้า… ผ่าเลย…”

เหล่าศิษย์ต่างโอบกอดตนเองและมองสายฝนที่ยังคงตกอย่างหนักด้วยความหวาดกลัว สภาพจิตใจของพวกเขาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ

กิจการเพิ่งมีทีท่าว่าจะดีขึ้น หลิงเยว่จึงรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่ถึงไม่พอใจเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ท้ายที่สุดนางจึงพาเหล่าศิษย์เดินจากไปอย่างสิ้นหวัง

ข่าวลือเรื่องคำสาปแช่งของร้านต้องสาปได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองฝู่ซางแล้ว

เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนมากจึงฝ่าสายฝนมาที่ถนนชิงเฟิง บัดนี้ถนนได้แน่นขนัดไปด้วยผู้คน มีเพียงที่แห่งเดียวที่ว่างเปล่า นั่นก็คือร้านเล็ก ๆ อันทรุดโทรมแห่งนั้น แม้แต่ถนนหน้าร้านก็ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะยืนอยู่ด้วยซ้ำ

ฝุ่นผงที่หน้าร้านต้องคำสาปถูกชะล้างด้วยสายฝนที่ตกหนักจนเป็นประกาย

“โอ้! คำสาปแรงขึ้นถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”

“แน่นอน ขนาดอดีตเจ้าของร้านนี้ยังไม่เคยถูกฟ้าผ่ามาก่อน เห็นทีว่าเจ้าของร้านคนใหม่จะต้องเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าเจ้าของร้านคนเก่าที่อยู่ในเมืองวั่งเต๋อเสียอีก!”

“สมควรแล้วไม่ฟังคำเตือนของผู้อาวุโสดิ้นรนจะไปหาความลำบากเอง”

“ข้าได้ยินมาอีกอย่างว่ามีคนโดนฟ้าผ่าด้วยตอนที่กำลังกินอาหารอยู่ นี่เรื่องจริงหรือ?”

“จริง ข้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้บำเพ็ญต่างรู้สึกหวาดหวั่น แต่เมื่อนึกกลับไปพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่สายฟ้าฟาดนั้นแผ่ความกดดันอันรุนแรง แต่เมื่อฟาดลงมา ชายชราผู้นั้นกลับเพียงดำคล้ำขึ้นเล็กน้อย และโต๊ะเก้าอี้กลายเป็นเถ้าถ่านเท่านั้น แม้แต่หลุมก็ยังไม่เกิดขึ้นสักหลุมเลย

ประเด็นนี้ชวนฉงนยิ่งนัก!

แต่ช่างเถิด เมื่อผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เจ้าของร้านคงไม่กล้าปรากฏตัวอีกนานเป็นแน่

“ได้ยินมาว่าร้านพวกเจ้าไม่เพียงถูกทำลาย แต่ยังถูกฟ้าผ่าด้วยหรือ?”

เมื่อท่านอาจารย์ใหญ่ได้ยินข่าว ก็ตั้งใจเดินทางมาเยี่ยมเยียน พอได้เห็นหลิงเยว่กับลูกศิษย์อีกสิบกว่าคนที่เปียกปอนราวกับลูกไก่ตกน้ำก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

ทันใดนั้น เขาก็ถูกจับจ้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นทั้งห้าสิบเอ็ดคู่

“เอ่อ… เอาเถิด ไม่ใช่คำสาปอะไรหรอก เพียงแต่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น”

“เหตุใดสายฟ้านั้นจึงผ่าลงมาเฉพาะลูกค้าของร้านต้องคำสาปแห่งนี้ ในขณะที่ร้านรวงที่อยู่ถัดไปกลับไร้ซึ่งอันตรายใด ๆ”

ในตอนแรกหลิงเยว่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญเช่นกัน แต่ความจริงได้บอกกับนางแล้วว่าสายฝนและสายฟ้าสองครั้งนี้เป็นการเจาะจงอย่างชัดเจน!

คิดจะให้พวกนางรู้จักความยากลำบากอย่างนั้นหรือ?

ไม่! นางจะฝ่าฟันมันไปให้ได้!

เพียงแต่เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คงไม่มีลูกค้าคนใดกล้าเสี่ยงมาที่ร้านร้างแห่งนี้เพื่อรับประทานอาหารวิญญาณพิเศษอีกแล้ว

คำถามของหลิงเยว่ทำให้ท่านอาจารย์ใหญ่เงียบไปชั่วครู่ จริงอย่างที่กล่าว เหตุใดสายฟ้าที่ผ่าลงมาไม่โดนร้านรวงที่อยู่ถัดไปด้านข้าง แต่สองสายฟ้านั้นกลับพุ่งเป้าไปที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้แทน?

ทั้งที่คาดว่าหลิงเยว่จะเลิกกิจการร้านต้องคำสาปแห่งนี้ ทว่าเมื่อฝนหยุดตกในวันรุ่งขึ้น นางกลับพาหัวหน้าตะขาบมรกตไปที่ร้านอีกครั้ง

พื้นที่โล่งกว้างและสะอาดจนไร้ซึ่งวี่แววของต้นหญ้าหรือเม็ดฝุ่นแม้แต่เม็ดเดียว

“เปลี่ยนร้านเถิด เหตุใดต้องกลับมาเปิดร้านที่นี่ด้วยเล่า?”

ตั้งแต่ถูกฟ้าผ่าโดยไม่มีเหตุผลครั้งนั้น หัวหน้าตะขาบมรกตก็รีบวิ่งหนีทันทีที่ได้ยินเสียง เขาหวาดกลัวว่าจะถูกฟ้าผ่าอีกครั้ง

มนุษย์เราย่อมมีอุปนิสัยดื้อรั้นอยู่บ้าง หลิงเยว่ตอนนี้ไม่ใช่แค่มีนิสัยดื้อรั้นธรรมดา แต่เป็นพวกยิ่งห้ามเหมือนกับยิ่งยุ หากไม่อยากให้ทำก็ยิ่งดันทุรังจะทำ นางจะต้องทำให้ร้านต้องคำสาปแห่งนี้รุ่งเรืองให้ได้!

เมื่อคืนหลิงเยว่นอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย หมดเวลาไปกับการเลือกซื้อของในระบบแลกเปลี่ยน นางจะต้องทำให้ร้านต้องคำสาปแห่งนี้กลายเป็นร้านต้านทานสายฟ้าและป้องกันน้ำท่วม!

ไม่ว่าจะเป็นคำสาปแช่งหรือสิ่งใดก็ช่าง อย่าได้คิดขัดขวางความปรารถนาของหลิงเยว่ที่จะร่ำรวยและทำให้ชื่อเสียงอาหารวิญญาณพิเศษโด่งดังไปทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนแห่งนี้เด็ดขาด!

หลิงเยว่เริ่มนำเอาพวกวัสดุพิเศษมากองไว้บนพื้นพร้อมกับถือแบบแปลนก่อสร้าง นางสั่งให้ลูกศิษย์เริ่มต่อวัสดุเข้าด้วยกัน

พวกวัสดุและแบบแปลนก่อสร้างเหล่านี้ หลิงเยว่ใช้ค่าพลังวิญญาณไปถึงหนึ่งพันล้านค่าพลังวิญญาณเลยทีเดียว!

บนพื้นที่โล่งของร้านต้องคำสาป เหล่าลูกศิษย์ต่างกำลังทุ่มเททำงานกันอย่างขะมักเขม้น สายตาของพวกเขาดูไร้ซึ่งชีวิตราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ปฏิบัติตามคำสั่งของหลิงเยว่ทีละขั้นตอน

มนุษย์เรานั้นไม่ได้มีแค่ความดื้อรั้น แต่ยังมีนิสัยชอบนินทาอีกด้วย!

ตอนนี้เหล่าลูกศิษย์เพิ่งจะเริ่มลงมือทำงาน ก็มีคนมายืนมุงอยู่บนระเบียงชั้นดาดฟ้ามากมายแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไป จำนวนของคนกลับยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลิงเยว่กับลูกศิษย์ของนางทำงานกันไปนานเท่าไหร่ คนที่เฝ้าดูก็อยู่นานเท่านั้น

ผ่านไปหนึ่งวัน สองวัน สามวัน… จนกระทั่งแปดวันผ่านไปในที่สุด!

พวกวัสดุที่ต้องนำมาต่อก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปแค่ประกอบเข้าด้วยกันเท่านั้น จึงจะได้อาคารไม้สองชั้นที่มีลานหน้าร้านขนาดใหญ่และมีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง

ค่าพลังวิญญาณหนึ่งพันล้านถือว่าคุ้มค่า และระบบยังมอบแผ่นค่ายกลมาให้ด้วย ซึ่งมีทั้งการป้องกันและการควบคุมอุณหภูมิให้อบอุ่นตลอดปี ทั้งยังคล้ายคลึงกับพลังป้องกันของเมืองฮั่วหยางอีกด้วย แต่ดูเหมือนว่าระบบจะมีท่าทีดูถูกพลังป้องกันของเมืองฮั่วหยางอยู่เล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าระดับของแผ่นค่ายกลนี้ถือว่าสูงกว่าพลังป้องกันมากนัก!

หลิงเยว่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางเริ่มสั่งการอีกครั้งว่า “เอาเสาไปปักตรงนั้น ตรงนี้ด้วย…”

เหล่าศิษย์ซึ่งชาชินไปเสียแล้ว พวกเขาไม่ได้ซักถามแต่อย่างใด เพียงรีบทำตามที่นางสั่งทันที ไม่ใช่ว่าพวกเขาละเลยการซักถามในครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่คำตอบที่ได้รับนั้นมีใจความว่า พวกเจ้าทำต่อไปเถิด จะซักถามสิ่งใดให้มากความนัก!?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท