ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 363 มีเรื่องราวต่อจากนั้น

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 363 มีเรื่องราวต่อจากนั้น

ฉางชุนโหวเกือบจะเดือดดาลแล้ว แววตาที่จ้องลั่วเซิงนั้นมีประกายไฟปะทุ

นังเด็กคนนี้ กลัวอย่างเดียวว่า ใต้หล้าจะไม่วุ่นวายจริงๆ!

“คุณหนูลั่วอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลโดยไม่คำนึงถึงความจริง”

ลั่วเซิงกะพริบตาปริบๆ “ท่านโหวอย่าสวมหมวกความผิดให้ผู้อื่นตามใจชอบสิเจ้าคะ ข้าจะกล่าววาจาเหลวไหลโดยไม่คำนึงถึงความจริงอย่างไร เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวผิดปกติแล้วยังไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพูดอีก ท่านโหวอย่ารังแกข้าที่ร่ำเรียนมาน้อย ข้าจำได้ว่า มีประโยคหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ห้ามปากคนวิพากษ์วิจารณ์นั้น ห้ามยากยิ่งกว่าสายน้ำที่ไหลเชี่ยว เมื่อสายน้ำถูกขวางกั้น คนที่บาดเจ็บย่อมมีมากขึ้นแน่นอน ความรู้สึกของราษฎรก็เช่นกัน กระทั่งท่านหญิงยังปิดปากให้ชาวบ้านพูดไม่ได้ ท่านโหวยังจะไม่อนุญาตให้ข้าพูดอีกหรือ”

ฉางชุนโหวมุมปากกระตุก อยากด่าคนมาก

ร่ำเรียนมาน้อยยังสามารถพูดได้ขนาดนี้ อยากจะเย็บปากของนังเด็กคนนี้จริงๆ!

“คุณหนูลั่วล้อเล่นแล้ว ข้าจะไม่ให้เจ้าพูดได้อย่างไร แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไร้หลักฐานได้ คุณหนูลั่วว่าใช่หรือไม่” ฉางชุนโหวหงุดหงิดใจอีกครั้ง แต่เนื่องด้วยฐานะของลั่วเซิงจึงทำได้เพียงพูดดีๆ หางตากวาดมองกลุ่มคนที่กระตือรือร้นมากขึ้น ก็ยิ่งหงุดหงิด

แม่ทัพใหญ่ลั่วพลิกฐานะกลับมาได้อย่างไรกันนะ!

หากว่าครั้งนี้แม่ทัพใหญ่ลั่วจบสิ้นจริงๆ เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่ละเว้นนังเด็กนี่

ลั่วเซิงยิ้มหวานมองฉางชุนโหวซึ่งโมโหจนมีสีหน้าทะมึน “ข้ากับท่านโหวมีความคิดไม่เหมือนกัน ข้าคิดว่า ผู้กระทำเรื่องราวอย่างซื่อสัตย์และไม่ละอายใจต่อตนเองนั้นไม่กลัวการคาดเดาของผู้อื่น ผู้คนก่อนหน้านี้ลือกันว่า ข้าละโมบในตัวไคหยางอ๋องผู้งดงาม แล้วข้าขวางพวกเขาหรือไม่”

ฉางชุนโหวสีหน้าบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ!

นังเด็กคนนี้จะหน้าด้านเกินไปแล้ว

ฝูงชนพากันกลอกตา

แน่นอนว่าไม่มีทางขวาง เห็นได้ชัดว่าคุณหนูลั่วเป็นฝ่ายเอาเปรียบผู้อื่น

ลั่วเซิงตระหนักถึงความจริงขึ้นมาได้ “เหล่าเพื่อนบ้านล้วนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ท่านโหวกลับไม่อนุญาตให้ข้าพูดเพียงคนเดียว หรือว่าท่านโหวไม่พอใจจวนแม่ทัพใหญ่”

ฉางชุนโหวเกือบจะกระอักเลือดออกมา

หลังแม่ทัพใหญ่ลั่วออกจากคุก จวนแม่ทัพใหญ่กำลังอยู่ในช่วงภาพพจน์หน้าตาดีขึ้นกว่าเดิม เขาสามารถล่วงเกินคนผู้นี้ได้เสียที่ไหน

ฉางชุนโหวลอบสูดลมหายใจให้อารมณ์มั่นคงแล้วฝืนยิ้ม “คุณหนูลั่วเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะไม่พอใจในจวนแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร คุณหนูลั่วคาดเดาได้ตามสบาย แต่ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ คนในก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้เช่นกัน”

“ท่านโหวได้ถามฮูหยินแล้วหรือ”

ฉางชุนโหวไม่มีทางตกหลุมพรางนี้แน่นอน

หากเขาบอกว่าเคยถาม เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่า ก่อนมาก็รู้เรื่องที่ข้ารับใช้ทวงเงินกลับมาแล้ว แบบนี้ล่ะก็ เขากับหยางซื่อย่อมมีคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้

ฉางชุนโหวทำได้แค่เอ่ยว่า “ข้าเชื่อคนใน”

ลั่วเซิงหัวเราะหึๆ “ท่านโหวช่างเชื่อใจฮูหยินโหวนัก แต่หากฮูหยินโหวทำให้ความเชื่อใจของท่านโหวสูญเปล่าล่ะเจ้าคะ”

“ตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งไปซะ!” ฉางชุนโหวพูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด ทว่าในใจกลับโมโหยิ่ง

ผู้ดูแลซึ่งถูกทหารนำตัวไปนั้นเป็นคนที่หยางซื่อใช้งาน เรื่องนี้จะต้องเป็นหยางซื่อจัดการอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เขาทำได้แค่กัดฟันไม่ยอมรับ ไม่เช่นนั้นจวนโหวก็จะมีปัญหาใหญ่กว่าเดิม

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากยิ้มบาง “ความรู้สึกฉันสามีภรรยาของท่านโหวกับฮูหยินโหวช่างลึกซึ้งจริงๆ”

พี่ใหญ่โชคร้ายอย่างยิ่ง ถึงได้แต่งงานให้กับบุรุษผู้นี้

“ก็ได้ ท่านโหวยินดีที่จะเชื่อก็เชื่อเถอะ อย่างไรเสียคนที่มีสายตาเฉียบแหลมและมีสติปัญญาล้วนสามารถเดาได้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ข้าเพียงรู้สึกว่า แม่เลี้ยงคนหนึ่งนำห้าพันตำลึงเงินออกมาอย่างรวดเร็วนั้นไม่ปกติ มีความคิดที่จะชิงกลับมาถึงจะอธิบายได้” ลั่วเซิงแสดงท่าทางหมดความสนใจแล้วหมุนตัวจากไป

ฉางชุนโหวจ้องเงาร่างที่จากไปอย่างสง่างาม ริมฝีปากสั่นระริกอยู่เนิ่นนาน

นังเด็กน้อยคนนี้กระโดดออกมาเพื่อจงใจสร้างความไม่สบอารมณ์ให้เขาเพิ่มหรอกหรือ

ฉางชุนโหวก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในจวนโหว ห้อตะบึงไปทางเรือนของหยางซื่อ

“พวกเจ้าออกไปให้หมด!” เมื่อเข้าไปในห้อง ฉางชุนโหวก็เอ่ยออกมาทันที

คนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องถอยออกไปเงียบๆ

หยางซื่อเผชิญกับฉางชุนโหวที่ร่างเต็มไปด้วยไอเย็น “ท่านโหว…”

ฉางชุนโหวบีบข้อมือหยางซื่อทันที พลางเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “สตรีโง่เง่า เจ้าจะหาเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจวนโหวล่มสลายให้ได้ ถึงจะพอใจหรือ”

หยางซื่อตัวสั่น น้อยใจอย่างยิ่ง “ท่านโหว เหตุใดท่านถึงได้พูดเช่นนี้กับข้า…”

“อย่าพูดไร้สาระ! ข้าถามเจ้า ให้คนไปทวงเงินกลับมาเป็นความต้องการของเจ้าใช่หรือไม่” ฉางชุนโหวตัดบทหยางซื่ออย่างหงุดหงิด

หยางซื่อสีหน้าแข็งค้าง ตะลึงมองฉางชุนโหว

ฉางชุนโหวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าแค่อยากได้ยินความจริง อย่ากล่อมข้าเหมือนเป็นคนโง่!”

คำแก้ตัวของหยางซื่อที่มาถึงริมฝีปาก ถูกกลืนลงไปทั้งแบบนั้น

นางเข้าใจบุรุษผู้นี้มากเกินไป

ตอนที่เขาเอ่ยเช่นนี้ ความจริงคือเชื่อไปแล้ว การปฏิเสธรังแต่จะทำให้เขายิ่งโมโห

ท่าทีหยางซื่อพลันอ่อนลง “ญาติผู้พี่ ข้าวางแผนเพื่อจวนโหวของพวกเรานะเจ้าคะ นั่นคือห้าพันตำลึงเงิน ไม่มีเงินก้อนนี้ จวนโหวจะฉลองปีใหม่นั้นก็ยากลำบากยิ่ง…”

ฉางชุนโหวสะบัดฝ่ามือลงไป

“นังแพศยาความรู้ตื้นเขิน! แผนการนี้ของเจ้า สูญเสียไปหนึ่งหมื่นตำลึงเงินนั้นไม่พูดถึง แต่ยังทำให้จวนฉางชุนโหวกลายเป็นที่ขบขันตอนฉลองปีใหม่ด้วย!”

นังเด็กนั่น แม้ว่าจะน่ารังเกียจ แต่มีประโยคหนึ่งที่พูดไม่ผิด คนมุงดูมากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่รู้เรื่องกันทุกคน

โดยเฉพาะหยางซื่อ ชื่อเสียงได้รับความเสียหายนั้นเป็นเรื่องแน่นอน

ฉางชุนโหวมองหยางซื่อด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรังเกียจ “ทำไมเจ้าถึงได้มีความคิดนี้ขึ้นมาได้”

หยางซื่อกุมใบหน้า อธิบายติดสะอื้น “ญาติผู้พี่ ข้าเสียดายเงินก้อนนั้นจริงๆ นะเจ้าคะ”

“เช่นนั้นจึงสั่งให้คนไปแย่งหรือ” น้ำเสียงของฉางชุนโหวเย็นชากว่าเดิม

ทำไมเขาถึงไม่เคยค้นพบด้านนี้ของหยางซื่อกัน

สำหรับอันธพาลหลายคนนั้น หยางซื่อมีความคิดที่จะฆ่าปิดปากคนด้วยใช่หรือไม่

แน่นอนว่า ฉางชุนโหวแทบทนไม่ไหวที่จะสับอันธพาลหลายคนนั้นให้เป็นหมื่นชิ้น แต่ญาติผู้น้องซึ่งบอบบางและบริสุทธิ์มาตลอดในใจเขาสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้กลับยากจะรับได้

ฉางชุนโหวมองหยางซื่อด้วยแววตาเย็นเยือก “เจ้าก็จัดการให้เรียบร้อยแล้วกัน”

เมื่อเห็นฉางชุนโหวจะจากไป หยางซื่อก็รีบคว้าหมับเข้าที่แขนเสื้อของเขา “ญาติผู้พี่ ท่านฟังข้าพูด…”

ฉางชุนโหวผลักนางออกไป พลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่ใช่คนโง่จริงๆ!”

ตามองฉางชุนโหวก้าวเท้ายาวออกไป หยางซื่อทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้เลยสักนิดเดียว

เมื่อเรื่องข้ารับใช้จวนโหวไปตามทวงเงินนั้นโวยวายจนรู้กันไปทั่ว หลังจากนี้เมื่อนางไปมาหาสู่กับฮูหยินแต่ละจวนก็จะต้องแบกรับสายตาประหลาดมากมายใช่หรือไม่

ยังมีท่านโหว คิดจะกล่อมให้เขาเปลี่ยนความคิดและท่าทางใหม่ เกรงว่าต้องสิ้นเปลืองความคิดอย่างมาก…

หยางซื่อขุ่นเคืองใจ ความสุขที่เกิดขึ้นเพราะสวี่ซีถูกไล่ออกจากตระกูลมลายหายไปนานแล้ว

สถานการณ์ของสวี่ซีในตอนนี้กลับแย่ยิ่งกว่า

เมื่อดูเรื่องสนุกที่ทำให้เขารู้สึกว่าได้ระบายโทสะไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็แยกย้ายตามกลุ่มคนไป เด็กหนุ่มเดินออกมาได้ไม่นานก็ถูกคนสองสามคนขวางเอาไว้

สวี่ซีเห็นว่าเป็นคนของบ่อนทองพันชั่งก็มีสีหน้าระแวดระวัง “พวกเจ้าจะทำอะไร”

คนที่เป็นผู้นำยิ้มๆ “ได้ยินมาว่า คุณชายใหญ่สวี่ตัดขาดความสัมพันธ์กับจวนโหวแล้ว พวกข้าน้อยกลัวว่าหลังจากนี้จะตามหาคนไม่พบจึงได้รีบมา”

สวี่ชีมองคนที่ล้อมเข้ามาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลางมองหาโอกาสในการหลบหนี

คนที่เป็นผู้นำมีสีหน้าบึ้งตึง “คุณชายใหญ่สวี่คงไม่ได้ลืมหรอกนะขอรับว่ายังติดค้างบ่อนพนันของพวกเราอีกแปดร้อยตำลึง”

อีกคนก็ยิ้มอึมครึม “แปดร้อยตำลึงเงินย่อมเทียบกับห้าพันตำลึงที่คุณชายใหญ่สวี่ติดขาไพ่ไม่ได้ แต่สำหรับบ่อนพนันของข้าน้อยนั้นเป็นเงินก้อนโตก้อนหนึ่ง คุณชายใหญ่สวี่คงไม่ได้ลืมไปจริงๆ หรอกนะ”

คนที่มาดูเรื่องสนุกหน้าประตูจวนฉางชุนโหวก่อนหน้านี้เหล่านั้นและบังเอิญเดินมาในทิศทางเดียวกันกับสวี่ซีพอดีพลันชะงักฝีเท้า

ถึงกับยังมีเรื่องเกิดตามมาในภายหลังอีก!

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท