บทที่ 915 ก้อนหิน ‘ล้อกันเล่นรึ อย่างกับผู้อื่นยิ่งสู้ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมิได้!’
บทที่ 915 ก้อนหิน ‘ล้อกันเล่นรึ อย่างกับผู้อื่นยิ่งสู้ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมิได้!’
“ได้เลย!”
ก้อนหินคลี่ยิ้มกว้าง เผยร่างมนุษย์ออกมาเช่นกัน
ไม่ต้องให้ต้นหลิวบอก มันก็อยากลองลงมือต่อสู้เพื่อดูว่ากำลังรบของมันในยามนี้เป็นอย่างไร
จากนั้นมันก็เคลื่อนไหว ทะยานขึ้นจากจุดที่ยืน
เทียบกับร่างมโหฬารของร่างสูงใหญ่นั้น ก้อนหินเล็กกระจิริดประหนึ่งเศษธุลี ทว่าพลังที่มันมีกลับน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด!
“หืม?!”
นัยน์ตาร่างสูงใหญ่ทอประกายประหลาด ผิดคาดนิดหน่อย
ก่อนเขามา วิญญาณหลักก้อนหินอธิบายสถานการณ์คร่าว ๆ ให้ฟัง ระบุพลังของต้นหลิวและก้อนหินให้ทราบ
ตามคำกล่าวของวิญญาณหลักก้อนหิน เขาไม่ต้องสนใจก้อนหิน จับตาดูต้นหลิวให้มากก็พอ เพราะต้นหลิวอาจเป็นภัยต่อเขาได้บ้าง
ทว่าบัดนี้ ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เป็นอย่างที่คิด
ก้อนหินที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจบัดนี้ก็ต้องใส่ใจแล้ว!
ก้อนหินแข็งแกร่งกว่าที่วิญญาณหลักก้อนหินบอกเขาไปอีกมาก ใช่ว่าจัดการได้ง่าย ๆ
“ยกระดับขึ้นในช่วงที่ผ่านมาหรือ”
เขาหัวเราะเสียงเย็น ดูท่าภารกิจคราวนี้จะไม่ได้ลุล่วงง่าย ๆ แล้ว
วิญญาณหลักก้อนหินสาธยายพลังของก้อนหินให้เขาฟังแล้ว บัดนี้พลังของก้อนหินแข็งแกร่งขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงที่ผ่านมาก้อนหินยกระดับพลังแล้วเห็น ๆ
เรื่องนี้เป็นที่สนใจของเขา และเป็นผลให้เขาระมัดระวังขึ้น
ขอบเขตพลังระดับพวกเขาใช่ว่าจะยกระดับได้ง่าย ๆ ซ้ำยังในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่นี้อีก!
บนตัวก้อนหินและต้นหลิวมีความลับบางอย่างซ่อนไว้อย่างแน่นอน ไม่อาจจัดการได้ง่าย ๆ
ตู้ม!
เขาเพิ่มพูนพลัง กฎระเบียบรายล้อมโลดแล่นตามฝ่ามือของเขา นิ้วทั้งห้ากุมเข้าหากันเพื่อจับก้อนหินเข้ามา
“คิดอะไรอยู่!”
ก้อนหินระเบิดพลังบ้าง เผยพลังในกายของตนมากขึ้น มันถล่มขึ้นไปไม่ยั้ง ประกายเจิดจ้าพวยพุ่ง ประหนึ่งสุริยันบนฟ้าระเบิดแหลกลาญ เจิดจรัสแยงตา
พรวด!
โลหิตสาดกระเซ็น ก้อนหินทะลวงฝ่ามือข้างนั้นออกมาได้!
เลือดที่กระเด็นอยู่นั้นประหลาดมาก มิใช่เลือดสีแดงสด หากแต่เป็นสีเทา เปล่งประกายสีเทาอันน่าพิศวง สาดรดบนดวงดาวจำนวนหนึ่ง น่ากลัวเหลือแสน เลือดเหล่านั้นดูดกลืนพลังของดวงดาวจนสิ้น เปลี่ยนดาวเหล่านี้เป็นดาวมรณะ
ร่างสูงใหญ่นี้มีนามว่าฮุยจิ่ว นี่หาใช่ชื่อจริงของมัน หากแต่เป็นฉายาในแดนธุลีที่จ้าวแดนธุลีประทานให้
พวกเขามีกันทั้งหมดเก้านาย นับจากหนึ่งถึงเก้า ถือเป็นเก้าขุนพลใหญ่แห่งแดนธุลี สถานะสูงส่ง
ฮุยจิ่วมิได้ใส่ใจที่ฝ่ามือถูกทะลวง เขามิได้บาดเจ็บง่าย ๆ หาไม่แล้ว คงมิอาจเป็นหนึ่งในเก้าขุนพลใหญ่!
ลมหายใจต่อมา เลือดสีเทาที่ดูดกลืนพลังดวงดาวไปหมดก็ลอยละล่องกลับมาบนฝ่ามือของเขาในชั่วพริบตา จากนั้นฝ่ามือของเขาพลันสมานกันดีดังเดิมในบัดดล ซ้ำยังดูเหมือนแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย!
ในแดนธุลี การได้รับประทานฉายาถือเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง ทั้งยังบ่งบอกว่าเขาได้รับรางวัลจากจ้าวแดนธุลี
รางวัลที่ว่าก็คือเลือดสีเทาที่ไหลเวียนในกายเขา
เลือดสีเทานี้ไม่ธรรมดา เป็นโลหิตในกายจ้าวแดนธุลี แฝงไว้ด้วยพลานุภาพเกินหยั่ง มีเลือดสีเทานี้อยู่ เขาไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับบาดเจ็บ กลับจะห้าวหาญขึ้นเรื่อย ๆ ตามการต่อสู้ที่ดำเนินไป ไม่ต้องกลัวเปลืองพลัง!
และเลือดสีเทาในกายเขายังมิใช่เลือดสีเทาบริสุทธิ์ ผ่านการทำละลายมาแล้วหลายต่อหลายครา เขาเป็นอันดับท้ายสุดในเก้าขุนพล อีกแปดขุนพลล้วนเก่งกาจกว่าเขา และมีเลือดสีเทาที่บริสุทธิ์กว่ามาก
ทว่าต่อให้เป็นเลือดสีเทาที่ถูกทำละลายจนเบาบางลงไปหลายเท่าก็ยังมีอานุภาพสะท้านโลกันตร์ ช่วยให้เขาไร้พ่าย
ตู้ม!
เขาลงมืออีกครั้ง ฟาดฝ่ามือใส่ก้อนหิน พลังสยดสยองไร้ที่สิ้นสุดซัดสาด พลิกอวกาศทั้งผืนนอกอาณาจักร สะท้านไปถึงปริภูมิเวลาในอดีต!
นี่ก็เพราะฝ่ายปริภูมิเวลามิได้ทิ้งกฎระเบียบไว้ในที่นี้ มิฉะนั้นผู้ลาดตระเวนแห่งปริภูมิเวลาต้องบุกมาในทันทีแน่
ฝ่ามือที่ฮุยจิ่วฟาดออกไปส่งผลกระทบต่อปริภูมิเวลาอย่างใหญ่หลวง ฝ่าฝืนข้อบังคับของฝ่ายปริภูมิเวลา
ทว่าปริภูมิเวลาทั้งหมดในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ล้วนไม่อยู่ใต้อาณัติของฝ่ายปริภูมิเวลา ถูกตัดขาดออกมา ฝ่ายปริภูมิเวลาจึงไม่อาจล่วงรู้สถานการณ์ด้านนี้
ก้อนหินส่องแสงทั่วร่าง ย่างกรายออกไปหนึ่งก้าว ตัวขยายใหญ่ขึ้นมโหฬารจนไม่ต่างจากฮุยจิ่ว
จากนั้นมันรัวกำปั้นทั้งสองเข้าห้ำหั่นกับฮุยจิ่ว
ชั่วพริบตานั้น อวกาศนอกอาณาจักรเดือดพล่าน เสียงระเบิดอันน่ากลัวดังไม่หยุดหย่อน สะเทือนเลือนลั่นหูแทบดับ ภาพอันน่าสะพรึงปรากฏออกมามหาศาล!
นัยน์ตาฮุยจิ่วทอประกายตะลึงอยู่ตลอด อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าก้อนหินจะกล้าแกร่งถึงเพียงนี้!
เขามีกำลังรบระดับอิสระขั้นเจ็ดตอนปลาย สามารถฆ่ากำลังรบขั้นเจ็ดทั่วไปได้ในการพลิกมือครั้งเดียว
ต่อให้เป็นกำลังรบขั้นเจ็ดที่แข็งแกร่งกว่าทั่วไป หากเขาจริงจังขึ้นมาก็สังหารได้ง่ายดาย
ทว่ายามเขาต่อสู้กับก้อนหินกลับไม่ได้เปรียบเลยสักครา ไม่อาจปราบก้อนหินลง ก้อนหินยกระดับขึ้นมาเท่าใดในระยะเวลาสั้น ๆ กัน!
เขาแทบไม่อาจเชื่อ ก้อนหินก็ก้าวสู่ขั้นเจ็ดตอนปลายแล้วหรือ
เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไปแล้ว ราวกับฝันไป ไม่สมจริงเลยสักนิด
จำต้องรู้ หากตามที่วิญญาณหลักก้อนหินว่าก้อนหินอยู่ราว ๆ ขอบเขตอิสระขั้นห้า สุดท้ายนี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่เดือนสองเดือนเท่านั้น ก้อนหินบรรลุจากขั้นห้ามาถึงขั้นเจ็ดตอนปลายได้เชียวหรือ?!
หากเล่าให้ผู้อื่นฟัง ใครเล่าจะกล้าเชื่อ!
พลังสองขั้นกว่าเกือบสามขั้น ในสถานการณ์ปกติต้องใช้เวลานับล้านปีกว่าจะบรรลุถึง!
สิ่งมีชีวิตที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตอิสระล้วนไม่ธรรมดา เป็นถึงผู้สะท้านโลกันตร์ถ้วนหน้า สถานการณ์ของแต่ละคนคลับคล้ายกันหมด ความเร็วในการยกระดับก็พอ ๆ กัน ต่อให้ต่างกันไปบ้างก็ไม่มากนัก
แต่ก้อนหินทลายแบบแผนนี้อย่างสิ้นเชิง สร้างตำนานที่แทบไม่มีทางเกิดขึ้น!
เขาคิดไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร!
อันที่จริง พลังของก้อนหินที่ยกระดับขึ้นมามิได้มีเพียงเท่านี้ เพียงแต่มันเพิ่งบรรลุ ยังควบคุมพลังในกายได้ไม่ครบถ้วน มิฉะนั้น มันสามารถสังหารฮุยจิ่วได้โดยยกมือเพียงครั้งเดียว
ขอบเขตที่มันบรรลุขึ้นมาสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้อื่นจนตายได้เลย!
ส่วนต้นหลิวนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า พลังที่มีลึกล้ำเกินหยั่ง!
“เปล่าประโยชน์! ข้ามีเลือดสีเทาอยู่ รังแต่จะยิ่งสู้ยิ่งทวีความแข็งแกร่ง!”
ฮุยจิ่วตวาดเสียงเย็น ไม่กลัวว่าต้องบาดเจ็บ เลือดสีเทาที่กระเด็นออกไปดูดกลืนพลังดวงดาวแล้วกลับมาในพริบตา เป็นผลให้เขาทรงพลังยิ่งขึ้น!
ต้องยอมรับว่าเลือดสีเทานี้น่าครั่นคร้ามอย่างแท้จริง ผู้อื่นบาดเจ็บมีแต่จะบั่นทอนกำลังรบ ทว่าฮุยจิ่วผู้มีเลือดสีเทาน่ากลัวว่าจะยิ่งเพิ่มพูนกำลังรบ!
หากเป็นสิ่งมีชีวิตตนอื่นได้เผชิญกับศัตรูอย่างฮุยจิ่ว คงต้องปวดหัวเป็นนักหนา
ทว่าก้อนหินมิใช่เช่นนั้น
“ยิ่งสู้ยิ่งทวีความแข็งแกร่งหรือ เป็นเช่นนั้นจริงรึ ข้าขอดูหน่อยเถิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นไหน!”
ก้อนหินคลี่ยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว
ฮุยจิ่วล้อเขาเล่นหรือไร ทำเหมือนมันหากยิ่งสู้ยิ่งทวีความแข็งแกร่งไม่ได้เสียอย่างนั้น!
มันต่างหากที่ยิ่งสู้ยิ่งทวีความแข็งแกร่ง!
“มาเถิด ดูกันหน่อยว่าเราสองคน ผู้ใดแข็งแกร่งขึ้นได้ไวกว่ากัน!”
ความฮึกเหิมของก้อนหินท่วมท้นนภา ก่อนจะบุกไปข้างหน้า!