ตอนที่ 327 กลับคืนสู่จักรวรรดิโวนเริ่น
หวงเสี่ยวหลงนั้นก็รู้สึกโล่งอกเมื่อได้ออกจากเมืองผี ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้นั้นก็เพียงพอจะจัดการจ้าวเฉินแต่ถ้าหากว่าตอนนี้พวกเขามาเจอกันจริงๆ มันก็คงจะน่ารําคาญอยู่ดี
โดยเฉพาะที่หากว่ากลุ่มของจ้าวเฉินนั้นได้รู้ว่าคัมภีร์ราชาผีและโอสวิญญาณราชาผีนั้นได้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้วแถมห่วงเสี่ยวหลงนั้นก็ออกมาจากถ้ําฝึกตนของราชาผีอย่างปลอดภัยด้วยขึ้นมาหล่ะก็พวกนั้นก็คงจะตระหนักได้ว่าทั้งสองอย่างนั้นกี่ยวข้องกันแน่
ถ้าหากข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกมา เขานั้นจะต้องตกเป็นเป้าหมายไปทั่วดินแดนแห่งความโกลาหลแน่ๆ
ความแข็งแกร่ง!! หวงเสี่ยวหลงนั้นต้องการจะแข็งแกร่งกว่านี้!!
(แก้ไข : ก่อนหน้าใส่ระดับผิด//ระดับต่อจากเซียนเทียนจะเป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์, ส่วนระดับเทวะยังไม่มานะ)
หากไม่สนเรื่องที่เขานั้นสามารถปะมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้าเฉินในขณะที่เขานั้นอยู่ในระดับเซียนเทียน 10 ขั้นสูงปลาย แม้กระทั่งประมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์แรกขั้นกลางก็ยังห่างไกลกับคําว่าเพียงพอแถมหากเขาได้พบกับผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 2 ขึ้นมาเขานั้นก็คงจะทําอะไรไม่ได้เลย
และทันใดนั้นแล้วความคิดแบบเดิมก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของหวงเสี่ยวหลง – ข้าจะต้องทะลวงเข้าสู่ระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์ให้จงได้!!
นี่ยังไม่ต้องกล่าวถึงที่ว่าเหลืออีกเพียงแค่หนึ่งปีเศษเท่านั้นก่อนจะถึงการคัดเลือกศิษย์ของนิกายนักรบพระ เจ้า ก่อนถึงเวลานั้นเขาก็จะทะลวงเข้าสู่ระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์ให้จงได้และยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่โอกาสในการช่วยเหลือหลู่ของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
หวงเสี่ยวหลงก็ตรวจสอบรอบด้านแล้วเร่งความเร็งไปยังทิศใต้พร้อมกับผียักษ์เฟิงหยางอย่างสุดกําลังโดยไม่หยุดยั้ง หวงเสี่ยวหลงและผียังเฟิงหยางนั้นก็บินไปเป็นเวลาสามชั่วโมงแล้วไปลงจอดที่หุบเขาสันโดษอย่างเงียบๆ
ในขณะปล่อยให้ฝึกยักษ์เฟิงหยางอยู่เฝ้าระวังด้านนอก หวงเสี่ยวหลงนั้นก็เดินเข้าไปในหุบเขาแล้วเอาหุบเขาเทวะซูมออกมาก่อนจะเข้าไปในวิหารซูม แม้ว่าเขานั้นจะรู้ดีว่าการกลั่นแหวนราชาผีนั้นจะเป็นเรื่องยากในระดับความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขา แต่หวงเสี่ยวหลงนั้นก็ตั้งใจจะลอง
เขานั้นไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ได้ง่ายๆ
ตราบใดที่เขาสามารถกลั่นแหวนราชาผีและเอาโอสวิญญาณราชาผู้ที่อยู่ข้างในมาได้หล่ะก็เขานั้นก็อาจจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์ภายในสองสามเดือนข้างหน้าก็เป็นไปได้ การทะลวงเข้าสู่ระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ว่าจะกินโอสถอายุหมื่นหรือแสนปีแล้วจะบรรลุได้เลย มิฉะนั้นก็คงจะไม่มีผู้ฝึกตนที่ติดอยู่ที่ขั้นครึ่งก้าวนักบุญศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่อาจจะทะลวงกําแพงที่ขวางกั้นได้เป็นเวลาหลายร้อยปีหรอก
และโอสถวิญญาณระดับเทวะอย่างโอสวิญญาณราชาผีนั้นก็มีส่วนช่วยในกระบวนการทะลวงเข้าสู่ระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
มันอาจจะกล่าวได้ว่าราชาผีนั้นได้ใช้เวลาหลายปีและความอุตสาหะในการกลั่นโอสวิญญาณราชาผู้โดยใช้วัตถุดิบอันล้ําคานับร้อนและทั้งหมดนั้นก็เพื่อการทะลวงเข้าสู่ระดับเทวะ
หลังจากหยิบเอาแหวนมิติราชาผีออกมา หวงเสี่ยวหลงนั้นก็เฝ้ามองสังเกตแหวนที่กําลังลอยอยู่ตรงหน้า และเปล่งประกายสีม่วงอ่อนๆออกมา จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิในใจกลางข่ายอาคมพระพุทธสิบองค์พร้อมกับปลดปล่อยปราณพุทธะออกมาจากร่างแล้วจากนั้นเขาก็ทําการไหลเวียนปราณฉีในร่างแล้วถ่ายทอดใส่ลงในแหวนตรงหน้าเพื่อจะกลั่นมัน
ซึ่งก็เหมือนกับตอนแรก ทันทีที่ปราณฉีของหวงเสี่ยวลงสัมผัสเข้ากับตัวแหวน ก็ได้มีเสียงกรีดร้องของภูติผีที่ชั่วร่ายดังออกมาพร้อมกับที่มีกลิ่นอายภูติผีขนาดมหึมาเข้าปกคลุมตัวหวงเสี่ยวหลงแต่ครั้งนี้มันกลับทรงพลังกว่าเมื่อก่อน
กลิ่นอายของภูติผีอันเข้มข้นนั้นก็เข้าปะทะกับปราณพุทธะที่อยู่ภายในวิหารซึ่งมันทําให้เกิดเสียงระเบิดดังก้องอย่างต่อเนื่องไปทั่ววิหารซูมและสักครู่ต่อมากลิ่นอายของภูติผีมหึมานั้นก็ถูกปราณพุทธะที่อยู่ภายในวิหารซูมีสกดข่ม
ทางห่วงเสี่ยวหลงนั้นก็เหงื่อแตกพลั่กกับฉากตรงหน้า แต่โชคดีที่เขานั้นเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้วมิฉะนั้นแล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเลวร้ายมากแน่โดยเฉพาะที่การต่อต้านนั้นมันทรงพลังกว่าครั้งแรกซะอีก!!
คิดวของหวงเสี่ยวหลงนั้นก็ขมวดแน่น หรือว่าข้าควรจะยอมแพ้ดี!?
จากนั้นสักครู่ หวงเสี่ยวหลงนั้นก็ได้ใช่ไฟแก่นแท้จากตันเถียนของเขามาก่อตัวเป็นบาเรียคลุ้มครองร่างกายของเขาในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เปิดการใช้งานข่ายอาคมพระพุทธสิบองค์พร้อมกับดึงปราณพุทธะจากข่ายอาคมเข้ามารวมกับตัวของเขาเพื่อสร้างเป็นเกราะปราณพุทธะอันเข้มข้นก่อนที่เขาจะถ่ายทอดปราณฉีใส่ในแหวนของราชาผี
ต่อมา มันก็เกิดขึ้นแบบคราวก่อน เมื่อหวงเสี่ยวหลงถ่ายโอนปราณฉลงไปในแหวน คําสาปที่อยู่ภายในแหวนนั้นก็ถูกเปิดการใช้งานพร้อมกับที่มีกลิ่นอายภูติผีพุ่งทะแยนออกมาจากแหวนแล้วเข้าปะทะกับปราณพุทธะอย่างฉับพลัน
ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่นี้ก็ได้เกิดการต่อสู้กันระหว่างกลิ่นอายภูติผีที่ส่งเสียงเห่าหอนกับปราณพุทธะที่ ส่องสว่างอย่างเจิดจ้า และต่อมาสักครู่ปราณพุทธะนั้นก็ฟสามารถสกดข่มกลิ่นอายผีได้และมันก็สกดข่มได้นานกว่าครั้งก่อนๆ
กระบวนการแบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ําแล้วซ้ําแล้วจนกระทั่งหวงเสี่ยวหลงได้พยายามกลั่นแหวนราชาผีครั้งที่ทันใดนั้นกลิ่นอายภูติผีนั้นก็พุ่งทะยานออกมาราวกับซึนามิที่โกรธเกรี้ยวและเข้าทําลายเกราะคลุ้มครองที่เกิดจากข่ายอาคมพระพุทธสิบองค์ก่อนจะพุ่งทะยานใส่หวงเสี่ยวหลง
เมื่อมันพึ่งเข้าใส่เกราะคลุ้มครองที่เกิดจากไฟแก่นแท้ที่กําลังเผาไม้อยู่รอบตัวของหวงเสี่ยวหลง มันก็ดูราวกับน้ําเดือดและได้บังเกิดความสีดําที่กระจายไปทั่วภายในวิหารนี้
ในท้ายที่สุดเกราะไฟแก่นแท้นั้นก็สามารถเผาผลาญกลิ่นอายผีที่เล็งหมายเขาได้สําเร็จแต่ใบหน้าของหวงเสี่ยวหลงนั้นกลับซีดเซียวมาก แม้ว่าไฟแก่นแท้ของเขานั้นจะเผาผลาญกลิ่นอายผู้ได้ใหมแต่เขานั้นก็ต้องดึงปราณแก่นแท้มาใช้จนเกินขีดจํากัดด้วยเหมือนกัน
ในขณะที่จดจ่อกับความคิดหวงเสี่ยวหลงจึงรีบใช้ทักษะทางธรรมชาติอันที่สามของเขา ฟื้นฟูฉับพลันจากนั้นแสงสีฟ้าเข้มก็ได้เริ่มปกคลุมตัวเขาตั้งแต่เท้าพร้อมกับที่ใบหน้าของเขากลับมามีสีขึ้นอีกครั้งแต่มันก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกว่าปราณแก่นแท้ในตันเถียนของเขาจะฟื้นฟูกลับมา
ในขณะที่ฟื้นฟูปราณแก่นแท้ หวงเสี่ยวหลงนั้นก็ถอนหายใจเอาปราณฉีที่ขุ่นมัวออกมาจากปากเขานั้นก็จ้องมองแหวนราชาผีตรงหน้าแล้วถอนหายใจอย่างระเหี่ยใจ ดูเหมือนว่าการพึ่งพาความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันนั้นคงไม่เพียงพอจะกลั่นแหวนราชาผีและแม้ว่าจะด้วยการใช้เหลือจากผียักษ์เฟิงหยางที่เป็นผู้ฝึกตนระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นโอกาสสําเร็จก็ยังน้อยมากอยู่ดี
ในขณะครุ่นคิดไปนั้นทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมางั้นทางเดียวก็คือเดินทางกลับไปจักรวรรดิโวนเงินจ้าวชูและจางหูต่างก็อยู่ในระดับนักบุญศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงด้วยการช่วยเหลือของทั้งสอง ความเป็นไปได้ในการก ลั่นแหวนราชาผีนั้นก็คงจะสูงขึ้นมากกว่าเดิมแน่นอนหวงเสี่ยวหลงนั้นก็ครุ่นคิดในใจ
เมื่อหสวงเสี่ยวหลงตัดสินใจแล้ว เขาก็ออกไปจากวิหารซูมและเรียกผียักษ์เฟิงหยางมากทั้งสองนั้นก็ออกไปจากหุบเขาและมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิโวนเริ่นด้วยความเร็วสูงสุด
สําหรับเมืองปีศาจทมิฬ หวงเสี่ยวหลงนั้นก็คงจะไม่กลับไปในขณะนี้ ตอนนี้เรื่องสําคัญก็คือการกลั่นแหวนราชาผีเพื่อที่เขาจะได้สามารถกลั่นและดูดซับโอสวิญญาณราชาผีแล้วบุกทะลวงเข้าสู่ดินแดนนักบุญศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่เดินทางด้วยความเร็วสูงตลอดทาง หวงเสี่ยวและผียักษ์เฟิงหยางนั้นก็สามารถออกจากอาณาเขตของภูตผีได้ภายในสามวัน พวกเขานั้นก็ได้เจอพวกภูติผีในระหว่างทางหลายตัวแต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกหวงเสี่ยวหลงและเฟิงหยางจัดการทั้งสิ้น และวิญญาณของภูติผีเหล่านั้นก็ถูกหวงเสี่ยวหลงดูดซับโดยใช้ประศิตสัญญาเลือดดังนั้นในตอนที่หวงเสี่ยวหลงออกจากอาณาเขตภูติผีได้สําเร็จความแข็งแกร่งของเขานั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างมากและเขานั้นก็เข้าใกล้ระดับครึ่งก้าวนักบุญศักดิ์สิทธิ์แล้ว
สิบวันต่อมา หวงเสี่ยวและเฟิงหยางนั้นก็เดินไปทางไปถึงชายแดนของจักรวรรดิโวนเงิน เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้วเขาจึงตัดสินใจนอนพักผ่อนในเมืองเล็กๆข้างหน้าก่อนจะเดินทางต่อ
“นี่อยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรล้วถางเลยแหะเมื่อเขามาถึงเมืองเล็กๆที่เรียกว่าวสันต์นับหมื่นความคิดนี้ก็ได้ผุดขึ้นในใจของหวงเสี่ยวหลง
“อาณาจักรลั่วถาง!! ตอนนี้ลู่ไคทําอะไรอยู่นะ นี่มันก็ 5 ปีแล้ว เจ้านั่นก็น่าจะก้าวเข้าสู่ระดับนักรบระดับ 8 แล้วเป็นแน่
เมื่อเขาคิดถึงลูไค รอยยิ้มก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงเสี่ยวหลง บางทีตอนนี้เจ้าเด็กน้อยนั่นคงขึ้นครองราชย์แล้วเป็นแน่!เขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าของลไคในตอนที่หมอนั่นนั่งอยู่บน บัลลังก์ของอาณาจักคิ้วถาง
อาณาจักรล้วถางนั้นเต็มไปด้วยความทรงจํามากมายของห่วงเสี่ยวหลง
แม้ว่าคฤหาสน์หวงนั้นจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว แต่ในใจของหวงเสี่ยวหลง อาณาจักรลั่วถางนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเขาและยังเป็นบ้านเกิดด้วย ความทรงจําอันล้ําค่าในวัยเด็กของเขานั้นก็เกิดขึ้นที่นี่ด้วย
ในเวลานี้ ลึกลงไปภายในอาณาจักรล้วถาง ในคุกใต้ดิน ก็ได้มีเสียงแส้ฟาดกระทบเนื้อดังก้องขึ้น
“ฮิฮิ ลไค จากหน้าตาอันน่ารักของเจ้า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะดื้อดึงแบบนี้” น้ําเสียงอันโหดเหี้ยมเย็นชาก็ได้ดังขึ้น
“ตุ๊ย!! สักวันนึ่งข้าจะต้องตัดหัวหมาๆของเจ้าให้เป็นชิ้นๆแล้วเอาไปให้หมูแดกแน่!!”เสียงอันโกรธเกรี้ยวก็ได้ดังก้องขึ้นในคุกใต้ดินและเสียงนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูไค
ภายในคุกใต้ดิน สภาพของลูไคตอนนี้คือกระเซิงกระเซิงยุ่งเหยืองไปหมด ชุดคลุมสีขาวของเขานั้นก็เปื้อนเลือดด้วย และแขนกับขาของเขานั้นก็ถูกยึดตรึงกับเสาเหล็กอันหนา
ตรงหน้าของอู่ไคนั้นก็ชายชราชุดเทา