ในมุมๆ หนึ่งของที่อยู่ในบ้านซึ่่งเป็นบ้านที่มีขนาดแสนกว้าง เงาเล็กๆ ทั้งสองกระซิบกันและกันแล้วในมือก็ได้ถือม้วนกระดาษที่มีตัวอักษรและภาพวาดอยู่ในนั้น
‘เฮ้ เฮ้ ‘■■’…! มาคิดแผนกันใหม่กันอีกรอบกันเถอะ!’
‘เบาเสียงก่อนสิขอรับ เดียวมีใครได้ยินเรานะขอรับ’
คนที่่พูดเสียงดังเป็นเด็กผู้หญิงที่เพิ่งโดนดุเพราะเรื่องที่เธอทำตัวซนไปทั่ว
แต่แต่ยัยนี้ก็ยังทำตัวเหมือนเดิมอยู่ดี เด็กชายที่อยู่กับเธอได้คิดเช่นนั้น
แต่จะว่ายังไงก็เถอะ งานของเขาคือการเล่นกับเธอ
และมันจะแย่แน่ๆ ถ้าหากเราทั้งคู่ถูกจับได้
เขาจึงเอานิ้วชี้ไปปิดปากของเด็กสาวและขอให้เธอลดเสียงลง
‘ฮา~~ เข้าใจแล้วน่า เพราะว่าเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราใช่ไหมละ?’
‘นี้เข้าใจบ้างไหมเนี้ยขอรับ? อีกอย่างนี้แผนเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านพึ่งวางแผนไปเองนะ แล้วรอบนี้จะวางแผนอะไรอีกละขอรับ’
‘หืม…เราจะได้อาศัยอยู่บ้านแบบไหนกันนะหลังจากที่เราวาดแผนที่เสร็จแล้ว? แ-และเราจะสร้างครอบครัวแบบไหนกันนา…?’
เด็กชายเข้าใจถึงเข้าตั้งใจของเด็กสาว แต่ว่าสิ่งนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น…
เขารู้ดีว่าไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น
แต่ว่า…เพราะเธออยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว ดังนั้นการปล่อยให้เธอปลดปล่อยจินตรการสิ่งที่เธอคิดคงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
และถ้าพูดอีกแบบก็คือ เด็กชายก็สามารถผูกมิตรกับเด็กสาวผู้โชคร้าย
แม้ว่ามันจะอันตรายก็ตาม แต่เธอก็ไม่แม้แต่สนใจก็เถอะ
‘เข้าใจแล้วๆ ขอรับแต่การที่อาศัยภายในหมู่บ้านนั้นลำบากนิดหน่อยขอรับ เพราะมันทั้งเล็กและเกิดเราปิดบ้านเพื่อไม่ให้คนเห็นว่ามีใครอยู่อาจมีคนสงสัยท่านทันที จากนั้นพวกเราจึงต้องไปในเมืองที่มีคนเดินเต็มไปหมดหรืออยู่ภายในภูเขาเพราะมันเงียบกว่าน่ะขอรับ’
เด็กชายได้ให้ทางเลือกแก่เด็กสาวและทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองจะร่วมในแผนด้วย
แม้เด็กสาวจะเป็นเด็กช่างฝันและง่ายๆ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอโง่
ดังนั้น เขาจึงทำตัวให้เหมือนว่าจะจริงจังกับแผนมากที่สุดเท่าที่ทำได้
‘งั้นมาสร้างนาข้าวด้วยกันเถอะ!! ยังไงซะ เจ้ารู้อยู่ใช่ไหมว่าข้านั้นชอบโมโมะ (もも) ดังนั้นฉันจะทำสวนโมโมะ(ももえん)เยอะๆ เลยกันเถอะ!’
‘แต่ว่าการไปในเมืองมันจะสุขสบายกว่านี้สำหรับท่านไม่ใช่รึขอรับ’
‘เอะ ไม่เอาน่า ข้าเกลียดอยู่กับคนเยอะจะตายไป’
เด็กสาวดูไม่พอใจอย่างมาก เพราะถ้าดูจากที่ตอนที่เธออยู่ที่นี้ เธอจะกลัวคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักเลย
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เธอนั้นไม่ต้องการคนมากมายอะไรเลย
เธอเพียงต้องการคนที่เป็นคนสำคัญสำหรับเธอเท่านั้น
คนที่สามารถให้เธอพึ่งพาได้
อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้
บางทีอาจเป็นหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาพบกับพลังของตัวเธอที่ถูกปลุก และได้รับคำขอบคุณมากมายหลังจากที่ช่วยเหลือผู้คนมากมาย เธอจึงพัฒนาความรู้สึกความรับผิดชอบมากขึ้นที่จะช่วยเหลือทุกคนนั้นเอง
นั่นเป็นช่วงเวลาที่เธอสามารถยืนยันตัวเธอเองได้
‘ขอรับๆ ตามที่ท่านเจ้าหญิงต้องการเลยขอรับ ถ้างั้นหลังจากคนสองคนหากินภายในภูเขาแต่ก่อนอื่น ควรจะมีกี่คนภายในครอบครัวละขอรับ? ข้าหมายความว่าแม้ที่ภูเขาจะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มความอิ่มให้มากกว่าสองคนได้ ดังนั้นเรื่องเพิ่มสมาชิกนั้น…รู้ใช่ไหมขอรับว่าข้าหมายถึงอะไรน่ะ?(ผู้แปล เอาง่ายๆ no segggs) นี้ท่านพยายามหลอกข้ารึ? ไม่ไหวๆ เลยนะขอรับ ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังคิดเลย โอเคๆ ท่านฮินะ ท่านอย่าพึ่งโกรธกระผมไปสิขอรับ’
เด็กชายได้กล่าวขอโทษเด็กสาวที่แก้มพอง แต่สิ่งที่น่าโมโหกว่าก็คือเธอรู้สึกว่าตัวเองถูกทำเหมือนเด็ก
แต่ไม่นานเธอก็ลืมๆ มันไป
แล้วจากนั้นเธอก็พึ่งพาคนๆ เดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้
‘กระผมขอโทษจริงๆ ขอรับ ท่านฮินะ’
‘ฮึ่ม! ช่วยไม่ได้ละนะถ้าทำขนาดนี้…ข้าให้อภัยก็ได้ แต่ช่วยลูบหัวข้าเพราะเป็นค่าให้อภัยด้วยละ'(ผู้แปล กุได้กลิ่นเปโด)
เด็กชายได้ใช้ท่าพิเศษที่เขาไม่ค่อยได้ใช้ต่อหน้าผู้อื่นมากเท่าไหร่:การลูบหัวเด็กไงละ
ภายในเกม ไม่มีใครทำแบบนี้กับเธอเลย ครั้งสุดท้ายที่ถูกลูบก็คือพ่อของตนในขณะที่ตนเองเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเมื่อนานมาแล้ว
เธอเป็นผู้หญิงที่จิตใจเข้มแข็งแต่จริงๆ แล้วก็มีนิสัยอ่อนโยนด้วยเช่นกัน และเธอเคยขอให้พระเอกลูบหัวเธอเมื่อระดับความชื่นชอบของเธอถึงระดับหนึ่งภายในเกม
ซึ่งในปัจจุบันเธอนั้นก็ยังเด็กอยู่แล้วตอนนี่เธอยังไม่ต้องแบกรับภาระใดๆ
ดังนั้นการลูบหัวเธอในตอนนี้จึงเป็นเรื่องง่ายหรือบางครั้งเธอเองก็ขอให้ลูบเองบ้าง
‘…ขอรับ’
มีรอยยิ้มเล็กๆ ของเด็กชายที่ยิ้มขณะมองใบหน้าที่กำลังยิ้มของเด็กสาว
แต่ว่า…เรื่องพวกนี้คงจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่ๆ ตอนเธอโตขึ้น
แม่มอยากร้องเลย
ตัวเด็กชายเองก็รู้ว่าไม่สามารถเอาชนะเสน่ของพระเอกแน่ๆ
แต่แม้ตัวเด็กชายจะรู้แต่ก็อยากเก็บเรื่องนี้ภายในความทรงจำของตนเองตลอดไปแม้เธอจะลืมมันก็ตาม เขานั้นได้ยิ้มหลังจากที่ได้เห็นรอบยิ้มของเด็กสาว
ในฐานะคนที่เล่นเกมคงคิดว่าเธอคงจะต้องชอบพระเอกแน่ๆ ถ้าการได้พบกับเขา แต่ตัวเองไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเธอนั้นชอบเขาแบบความรักไม่ใช่ความสนิท
ถ้าเกิดไม่นับที่เด็กชายแสดงความเป็นผู้ใหญ่นิดๆ ก็เพียงแค่ฉากที่เด็กๆ เล่นกัน ยิ้มด้วยกัน มีความสุขด้วย ฉากที่ทุกคนเห็นแล้วจะมีความสุขอย่างแน่นอน
แม้ข้างในฉากจะเป็นฝ่ายหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องกับอีกฝ่ายที่หลงรัก
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีจิตใจที่บริสุทธิ์
ในฉากนั้นเองก็มีชิกิกามิที่รูปร่างเป็นค้างคาวจ้องมองพวกเขาอยู่
(ผู้แปล ส่วนนี้ข้ามได้เลยนะครับ เพราะไอ้ห่านี้จะอธิบาย lore ของเกวียนขนาดคนแปลยังเบื่อเลย แต่สำหรับคนชอบก็ดูได้เลยนะครับ ผมจะเขียนบอกอีกทีตอนมันอธิบาย lore เสร็จแล้วนะครับ)
หลายคนอาจนึกถึงเกวียนมที่ใช้วัวลากเป็นยานพาหนะที่ขุนนางในสมัย heian (794-1185) ใช้กัน(ผู้แปล fun fact:ยุคสมัยของสุคุนะตอนเกิดนั้นแหละ)
ภายในประวัติศาสตร์ เกวียนที่ใช้วัวลากนั้นถูกใช้ตั้งแต่ยุค heian จนถึงช่วงกลางของยุคสมัย Muromachi (1336-1573)
ซึ่งเป็นพาหนะอย่างหนึ่งของขุนนางในช่วงนั้น
ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากขนบธรรมเนียมโบราณในประเทศจีน
และแน่นอนว่าก็มีในเกม ‘หิ่งห้อยรัติกาล(Yamiyo no Hotaru)’
และตระกูลคิซึกิซึ่งเป็นตระกูลผู้ปัดเป่าที่มีมาอย่างยาวนาน
ที่อ้างว่าตนเองมีเชื้อสายมายาวนานตั้งแต่สมัยตำนานเทพ (เป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน) พวกเขาก็ใช้จนถึงทุกวันนี้
แม้จริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเกวียนก็ไม่มีอะไรที่เหมือนเกวียนจริงๆ ก็ตาม
ก่อนอื่นเลย วัวที่ใช้นั้นก็ต่างกัน วัวสองตัวที่ลากเกวียนนี้อยู่มีผิวสีน้ำเงินและมีเขางอกออกมาจากหัว พวกมันว่ากันว่ามาจากบรรพบุรุษของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่าวัวพ่นไฟ แต่สายเลือดของพวกมันเจือจางลงผ่านการเปลี่ยนแปลงรุ่นอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้พวกมันก็มีความฉลาดพอที่จะเข้าใจภาษามนุษย์ได้ในระดับหนึ่งอยู่ นอกจากลักษณะที่กล่าวถึงข้างต้น
เกวียนนี้ดูหรูหราและงดงามมาก แต่ในสายตาผมนั้น
มันเป็นเทคนิคที่ซับซ้อนมากกว่านั้นมากและน่าทึ่งยิ่งกว่าเดิม
เพียงแค่มองมันแวบเดียว กว่าสิบเทคนิคที่ได้รับการออกแบบอย่างระมัดระวังและแม่นยำเพื่อปกป้องผู้คนภายในนั้นจากสถานการณ์ทุกประเภทและเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนภายในไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
(ผู้แปล สรุปให้คนที่ข้ามไอ้เกวียนที่ใช้นั่งนั้นจริงๆ มันเป็นพลังปีศาจเทียมจากตัวที่ชื่อว่า stray house ที่เป็นโยวไคตัวหนึ่งในเรื่องความสามารถหลักๆ คือการสร้างภาพลวงตา ควบคุมพื้นทีให้กลายเป็นเขาวงกตและดูดพลังชึวิต)
ข้อเท็จจริงที่โดดเด่นที่สุดคือด้านในของรถเข็นนั้นถูกเปลี่ยนเป็น “stray house (迷い家/Mayoiga)”
โดยใช้เทคนิค ‘Youkai-ization’ เป็นภาชนะประดิษฐ์ ซึ่งผู้ปัดเป่าได้พัฒนาขึ้นผ่านการทดลองมาหลายปี
ต้นกำเนิดของ stray house นี้คือมีบ้านลึกลับในภูเขาที่มอบความมั่งคั่งให้กับผู้ที่มาเยือน ดังที่เล่าไว้ใน Tohno Monogatari (ตำนานแห่งภูมิภาค Tohno) แต่ในโลกนี้มันแตกต่างออกไปเล็กน้อย
ในเซ็ตติ้งของ’หิ่งห้อยรัติกาล(Yamiyo no Hotaru)’ ถูกจำลองมาจากภูมิภาค Hokuriku แต่ ‘stray house’ ในโลกนี้เป็นโยวไคอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นโยไคชั้นยอดหรือแม้กระทั่งจะเป็นโยวไคภัยพิบัติที่น่าปวดหัวอีกด้วยเช่นกัน
ถ้าให้คิดภาพออกละก็ นึกถึงประสาทที่เคลื่อนที่ได้ แต่ร่างกายไม่ใช่ปีศาจ…แต่มันเป็นก้อนพลังโยไคที่มีจิตสำนึกนั้นเอง
เป็นเหมือนบอสท้องถิ่นที่ควบคุมไม่เพียงแค่ตัวอาคาร แต่รวมถึงที่ดินโดยรอบ หรือแม้กระทั่งทั้งแผ่นดินเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมันเช่น
มันล่อคนไปยังที่อยู่ของมันผ่านข่าวลือและภาพลวงตา และเป้าหมายจะอยู่ในสภาพเหมือนถูกสะกดจิต
ในขณะที่ร่างกายของพวกเขาถูกย่อยและถูกดูดซับโดยตัวมัน คล้ายกับพืชกินแมลง หากภาพลวงตาหรือการสะกดจิตไม่ได้ผล ตัวบ้านเองจะหันเขี้ยวมาโจมตีที่เป้าหมายแทน
ดูเหมือนว่าภายใน ‘stray house’ จะแตกต่างออกไปเนื่องจากมีขอบเขตบางอย่าง พื้นที่ภายในใหญ่กว่าพื้นที่จริงอย่างเห็นได้ชัด และการไหลของเวลาก็ผิดปกติ แม้แต่กฎฟิสิกส์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในขอบเขตที่จำกัด และมีกับดักนับไม่ถ้วนเพื่อให้คนที่หลงเข้าไปในเขาวงกตซึ่งเป็นที่ๆ จะหลงทางตลอดกาลและเป็นบ้าในเวลาต่อมา
อึมตัวมันก็แข่งแกร่งจริงๆ แต่ว่าพวกผู้ปัดเป่าระดับสูงๆ คงไม่โง่ที่จะเข้าไปสู้โดยตรงหรอก แค่เล่นงานมันจากระยะที่ไกลออกจากพื้นที่ของมันก็ได้แล้ว
หนึ่งในผู้ปัดเป่าทั้งเจ็ดได้คิดค้นวิธีการต่อสู้นี้มา
นักบวชคันนินกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องต่อสู้บนเวทีเดียวกับพวกโยวไคทุกครั้งก็ได้
แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าล่อพวกปีศาจ(oni) หรือ Ōnyūdō (大入道) ให้ไปจุดที่ต้องการทำยังไงกันนะ? และวิธีที่ใช้ล่อคือสู้ระยะประชิดทั้งๆ ที่พวกปีศาจเก่งระยะประชิดสุดๆ เลยเนี้ยนะ?
(ผู้แปล ตรงนี้อาจต้องอ่านครับ)
ช่างเหอะตอนนี้คงนอกเรื่องไปไกลแล้วละ ซึ่งมีโยวไคจำนวนมากโดยเฉพาะ”stray house”มีมากเป็นพิเศษซึ่งปัจจุบันที่อยู่ในภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นพวกผู้ปัดเป่าส่วนมากจึงเข้าใจความสามารถของมันได้อย่างลึกซึ่ง พวกเขาได้ทำการศึกษาเป็นเวลานานและทำการวิจัยจนในที่สุดก็เข้าใจตัวมัน
ตระกูลบางที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีในการ ‘สร้าง’ stray house เทียม
ดังนั้น พื้นที่ภายในของเกวียนวัวลากที่ใช้เทคโนโลยีนี้จึงมีใหญ่กว่าขนาดจริงของเกวียนจริงมากกว่าถึงสิบเท่าและเชื่อมต่อกับหลายพื้นที่ได้อย่างอิสระ หากมีปีศาจหรือโจรพยายามโจมตีคนภายในนั้น พวกเขาจะถูกบังคับให้เข้าไปในอณาเขตของมัน
และสิ่งที่จะปรากฏก็คือฝูงโยวไคที่ตระกูลคิซุกิได้ปราบ (ล้างสมอง) และขังไว้ในพื้นที่อิสระที่ถูกควบคุม(ผู้แปล พี่ชายกางอณาเขต)
แน่นอนว่าหากเกวียนวัวถูกเผา คนข้างในจะติดอยู่ในนั้นเลย
เพราะการทำลายเกวียนวัวลากที่กลายเป็น ‘stray house เทียม’ และติดตั้งคาถาป้องกันสิบหรือยี่สิบชั้นนั้นยากมาก
นอกจากนี้ บ้านของตระกูลคิซุกิก็เป็นเช่นเดียวกันกับการทำงานแบบนั้น
และยังมี”brown-haired(ผู้มีผมสีน้ำตาล)”,”pony-tailed(ผู้ที่มีผมหางม้า)”,shy Zashiki Warashi(ซาชิกิ วาราชิผู้เขินอาย)” ที่ถูกสร้างขึ้นจากการทดลองที่ไร้มนุษยธรรมและประดิษฐ์ขึ้นมา
แม้ว่าตัวละครโยวไคพวกนี้จะไม่ใช่ประเภทที่เอามา”ต่อสู้” แต่กลับไปเรื่องเล็กน้อย
มันมีลักษณะนิสัยแบบเด็ก ๆ และเป็นมันทำให้รู้สึกอยู่แล้วสบายใจในพวกหมู่คนบ้า ๆ มากมายเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นยาที่ให้ความสดชื่นอย่างดีเลยทีเดียว
อ่าขอโทษที่ลากไปสะยาวเลยนะ นั้นแหละเป็นสาเหตุที่พวกเขามักจะนั่งในเกวียนวัวลากและแชร์ที่นั่งกันและกันแบบนี้กัน พื้นที่ภายในนี้ค้อนข้างกว้างเลยทีเดียว ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจแล้วละก็สามารถรอไปพื้นที่ที่ถูกกำลังสลับ แล้วไปจุดอื่นได้
บางทีอาจมีวิธีที่ปกติกว่านั้นอีก
เพราะถ้าคิดถึงสำหรับลูกสาวของตระกูลผู้ปัดเป่ากับผู้รับใช้ธรรมดาแบบนี้ละก็ คงดีกว่านั้นแหละ
เพราะตอนนี้ผมอยู่ในจุดที่ไม่ควรจะเป็นไปได้สำหรับผมน่ะสิ…
“เป็นอะไรไปรึ? ข้าให้ที่ๆ เจ้าสามารถนอนได้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ เจ้าควรนอนลงตรงนี้นะ ถ้าเจ้านั่งท่านั้นละก็แผลอาจเปิดอีกก็ได้”
“ก็ถ้าพูดแบบนั้นคงถูกแหละขอรับ แต่ถ้าดูจากตำแหน่งของท่านกับข้ามันจะไม่งามน่ะสิขอรับ”
ผมตอบไปด้วยเสียงที่ใจเย็น ขณะที่เด็กวัยเท่ากันกับผมกำลังอยู่ที่ๆ เดียวกัน ผมที่เปิดหน้าเพราะไร้หน้ากากพร้อมกับขาและไหล่ที่รู้สึกเจ็บสุดๆ แม้จะได้รับยามาแล้วก็ยังเจ็บอยู่ดี ผมพยายามทำหน้าให้ดูปกติที่สุดพยายามไม่แสดงถึงอารมณ์ใดๆ และเหงื่อก็ไหลลงที่หัวผม
(เวรเอ๊ย ตอนนี้อยู่จุดที่แย่สุดๆ)
ผมคิดเช่นนั้น ขณะที่ก้มศีรษะเพื่อปกปิดความเจ็บปวด แต่ดวงตาของผมก็แอบสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ภายในเกวียนซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ประมาณหกเสื่อทาทามิ (ประมาณ 10 ตารางเมตร) ตอนนี้กลายเป็นห้องกว้างขวางมากกว่า 30 เสื่อทาทามิ (ประมาณ 49 ตารางเมตร)
นื่องจากการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของ “stray house ” นอกจากนี้ พื้นยังปูด้วยเสื่อทาทามิ และมีที่วางรองเท้าอยู่ที่ทางเข้าและออกของเกวียน
ตรงหน้าผม คิซึกิ ฮินะ นั่งอยู่บนซาบูตัน (เบาะรองนั่งแบบญี่ปุ่น) ในมือของเธอมีโต๊ะเขียนหนังสือลายทอง และบนโต๊ะนั้นมีหมึกหินที่ดูแพงแบบมโหรากาสุดๆ
นมือของเธอมีจดหมายหนึ่งฉบับ ดูเหมือนว่าเธอกำลังทำงานอยู่ ไม่มีการสั่นสะเทือนใดๆ ภายในเกวียนนี้ด้วยซ้ำ
และดูเหมือนสามารถทำงานที่นี้ได้สบายๆ ด้วยซ้ำ ทั้งไม่หนาวหรือร้อนเลย
บนผนังด้านหลังผมนั้นมีม้วนภาพแขวนไว้อยู่ หากผมหันสายตาไปทางขวา ผมก็จะเห็นภาพวาดบนฉากกั้นที่สวยงาม และหากผมหันสายตาไปทางซ้าย ผมจะเห็นโต๊ะผ้าไหมย้อมพร้อมโต๊ะข้าง เมื่อมองไปรอบๆ อีกครั้ง จะเห็นชั้นวาง ขาตั้งดาบญี่ปุ่น และเครื่องประดับระยิบระยับอื่นๆ มันควรจะเป็นการเดินทางด้วยเกวียนวัวลาก แต่มันหรูหราอย่างมากเลยละ…
“แม้ว่ามันจะไม่ใช่ที่ๆ ข้าชอบเลยก็เถอะ ข้าคงไม่รังเกียจเลยที่จะพักในป่าด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผู้สืบสกุลโดยตรงของตระกูลคิซึกิผู้ทรงเกียรติที่จะนอนกลางแจ้งน่ะ เท่าที่ข้าจำได้ ตอนเจ้าเดินทางไปกับอายากะ เจ้าก็พักอยู่ในป่าใช่ไหมละ?”
หญิงสาวถามด้วยสีหน้าจริงจังและรอยยิ้มที่แข็งทื่อและยากเย็น มันแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ค่อยชินกับการยิ้มเลย
“ถูกต้องแล้วขอรับ”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พยายามไม่แสดงอารมณ์ออกมา แน่นอนว่า ถ้ามีเมืองหรือหมู่บ้านที่มีโรงแรมระหว่างทางแล้วละก็ พวกเราคงจะพักที่นั่นเลย แต่ถ้าไม่มี เราก็จะพักกลางแจ้งตามปกติเลย
และเมื่อเทียบกับคนรับใช้อย่าง คิซึกิ อายากะ ซึ่งยังคงเป็นสมาชิกระดับสุดท้ายของตระกูล ดังนั้นเธอไม่มีตำแหน่งมากพอที่สามารถใช้งานเกวียนวัวลากที่กลายเป็น”stray house ” ก็หมายความว่าเช่นเดียวกับคนรับใช้คนอื่นๆ เธอถูกบังคับให้ออกไปนอนกลางแจ้ง