ในอดีต จิ้งจอก แรคคูน (ทานุกิ) และแมวนั้นถูกเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีพลังในการแปลงร่างและใช้วิชาโยวไคที่เรียกว่า “บาเกะ-ทานุกิ” หรือ “บาเกะ-เนโกะ” (ปีศาจแรคคูนหรือแมว)
ในโลกนี้ก็เช่นกัน จิ้งจอกได้รับปัญญาและพลังโยวไคจากการกินเลือดเนื้อมนุษย์ที่มีพลังวิญญานหรือกินโยวไคที่มีพลังโยวไคจะถูกเรียกว่าจิ้งจอกโยวไค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออก รวมถึงประเทศฟูโซ-คุนิ
จิ้งจอกโยวไคที่สะสมพลังมากว่าพันปีนั้นจะถูกเรียกว่า “จิ้งจอกสวรรค์”
และพวกเขาก็เป็นที่หวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เพราะครั้งหนึ่งในทวีป จิ้งจอกสวรรค์อยู่ๆ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำลายราชวงศ์ทวีปที่เป็นจุดรวมตัวของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น
พวกมันทำการวางแผนและใช้เล่ห์เหลี่ยม พวกมันมีปัญญาที่สูงกว่าโยวไคตัวอื่น ๆ ตั้งแต่ยังเป็นเพียงโยวไคตัวเล็ก ๆ
ดังนั้นพวกมันจึงสามารถอยู่รอดและเติบโตเป็นโยวไคที่ทรงพลังได้ง่ายดาย
พวกมันนั้นยังมีความรู้มากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกมนุษย์และเชี่ยวชาญในการใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ ราชสำนักจึงได้ทำการสนับสนุนการล่าจิ้งจอกโยวไคอย่างจริงจังหลังจากเกิดโศกนาฏกรรมในทวีป
แหมก็นะด้วยการที่เหล่าราชสำนักสนับสนุนการล่าอย่างจริงจังนั้นก็หมายความว่าความเกลียดชังของพวกมันต่อราชสำนักนั้นก็รุนแรงมากขึ้นเช่นกัน…
เพราะเหตุผลดังนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติที่จิ้งจอกโยวไคที่โดดเดี่ยวตัวหนึ่งกำลังมองลงมาที่เมืองหลวงด้วยความอาฆาตและรู้ถึงความเป็นศัตรูอย่างท่วมท้นภายใต้แสงจันทร์(ผู้แปล ใครมันจะไปตอกจิ้งจอกได้เนอะ…มาทรงนี้กุว่ายังไงมันก็ต้องตอกชัวร์ไอ้ชิบหาย)
เมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์มากกว่า 1,000 ปีและทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งอย่าง “มนุษย์” ในฟูโซ-คุนิ
และฟูโซ-คุนิได้ตกเป็นเป้าหมายของการรุกรานและกลายเป็น “แหล่งอาหาร” ชั้นดีของโยวไคจำนวนมากในอดีต
และเนื่องจากแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
เหล่ามนุษย์เองก็เริ่มมีสายเลือดที่มีพลังวิญญานแสนทรงพลังเช่นกัน
ในยุคสมัยบางยุคเมืองนี้ก็ถูกน้ำท่วม ฝูงชนที่ได้ตายจำนวนมากในน้ำเสมือนแม่น้ำแห่งความตายที่มีศพอยู่จำนวนมากลอยเลยละ
และในยุคสมัยอื่น ๆ มันก็ถูกปกครองโดยโยวไคผู้ชั่วร้ายทั้งสี่
บางครั้งก็มีงูใหญ่ผู้กลืนกินแผ่นดิน ได้เหยียบย่ำหมู่บ้านและเมืองระหว่างเดินทางไปตะวันออก และเมื่อขบวนร้อยอสูรได้โจมตี กองทัพแห่งชาติและประชาชนทำงานร่วมกันภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิ์ได้ป้องกันเมืองได้สำเร็จ
แต่ถึงงั้นก็เถอะ…โยวไค”คุบัน” ที่ซื่อสัตย์ต่อสัญชาตญาณและความปรารถนาของมันนั้นแข็งแกร่งและร่วมมือกับปีศาจที่ปกติจะไม่ร่วมมือกับโยวไคตัวอื่นเข้าพวกตัวเองอีกด้วย
และมันถูดจัดว่าพวกมันเป็นกลุ่มที่ทรงพลังและชาญฉลาดที่สุดในตอนนั้น
พวกมันทำให้เมืองกลายเป็นนรกที่เต็มไปด้วยซากศพของปีศาจและมนุษย์ที่ปกคลุมทั้งภายในและภายนอกเมือง
ถึงแม้จะผ่านเรื่องร้ายๆ แบบนี้มาหลายปีก็ตาม
แต่มนุษย์ก็ยังคงสามารถอยู่ภายในแผ่นดินนี้อยู่เหมือนเดิมเช่นเคยแม้จะถูกฆ่าจำนวนมหาศาล
ปัจจุบันมีผู้คนหลายแสนอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางอย่างฟูโซ-คุนิอย่างที่รู้กัน
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้
ถ้าเกิดเมืองหลวงแห่งนี้ล่มสลายไปละก็ ประเทศนี้ก็จะถูกทำลายไปโดยปริยายเลยละ
และสำหรับโยวไคนั้นถ้าเกิดมันได้กินผู้ที่มีสายเลือดที่ทรงพลังจากเมืองหลวงนี้ไปละก็
โยวไคตัวนั้นก็จะก้าวขึ้นสู่ระดับถัดไปหรือก็คือระดับภัยพิบัติไงละ
ใช่แล้วละ สิ่งมีชีวิตระดับตำนานที่ถูกบันทึกมาอย่างยาวนานแบบนั้นไงละ
“นั่นละเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงสร้างกองทัพใหญ่นี้ขึ้นมา เพื่อที่จะได้ล้างบางเมืองที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสของมนุษย์ที่น่าชังแบบนั้น…และเพื่อที่จะมุ่งหวังสู่จุดที่สูงกว่านี้ไงละ”
ท่าทางที่แสนอวดดีที่สาวจิ้งจอกตัวนั้นทำอยู่…จิ้งจอกโยวไค
สิ่งมีชีวิตที่มีหางสีเงินเก้าหางและมีหูสัตว์ที่แสนจะโดดเด่นบนหัวและได้หัวเราะเบาๆ พร้อมเย้ยหยันไปด้วย ข้างหลังของเธอมีกองทัพโยวไคนับพันที่รอที่จะขยำไข่คนที่กำลังอ่านอยู่(ผู้แปล ไอ้ขยำไข่คนอ่านกุเติมเอง)
มันเป็นกองทัพที่เธอใช้เวลานับหลายสิบปีที่สำรวจภายในประเทศแห่งนี้เพื่อเพิ่มจำนวนโยวไคที่อยู่ข้างเธอและพวกมันก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากเช่นกัน
แล้วก็กองทัพของเธอก็ได้ทำการกวาดล้างเมืองเล็กๆ หลายแห่งมาแล้วด้วย
และตระกูลผู้ปัดเป่าโยวไคบางตระกูลก็ได้อ่อนแอลงจากสถานการณ์แบบนี้
“เอาล่ะๆ จงบุกเข้าไปตอนนี้แหละ!! พวกเจ้าทั้งหมดจงวิ่งบุกเข้าไปซะ!!! ผู้ที่หนี ผู้ที่ต่อต้าน และผู้ที่ขัดขืนทั้งหมด จงกัดกินพวกมันทั้งหมด!”
เจ้าจิ้งจอกสาวตัวนี้แสนจะมั่นใจว่าจะสามารถทำลายพวกเขาอย่างสิ้นซาก
แม้แท้จริงแล้วการทำลายเมืองหรือฐานของตระกูลผู้ปัดเป่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สุดท้าย…กองทัพของเมืองหรือตระกูลผู้ปัดเป่าจะไม่พ่ายแพ้ง่ายๆ อย่างที่เธอคิด
เพราะถ้าเกิดเหล่าผู้นำและเหล่าตระกูลผู้ปัดเป่าร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับพวกโยวไคละก็คงจบไม่สวยแน่ๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่ความหยิ่งยโสของจิ้งจอกสาวตัวนี่มีน้อยกว่าเมื่อร้อยปีก่อน
ถึงแม้จะเป็นถึงระดับภัยพิบัติแต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้…
ณ บัดนี้ตอนนี้เธอกำลังจะชดใช้บาปด้วยร่างกายของเธอสะแล้ว
“อะ…อะไร…น่ะ.?”
ภายในพริบตา วงแหวนเปลวเพลิงสีแดงที่สร้างขึ้นได้ปรากฎอยู่ข้างหลังเธอและได้เผาผลาญปีศาจมากกว่าพันตัว หลายตัวเป็นปีศาจระดับกลาง และอีกสิบกว่าตัวเป็นระดับสูง
ส่วนใหญ่จะถูกเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าและหายไป และบางตัวที่โชคดีที่ไม่ถูกเผาตายก็ตกลงมาที่พื้นด้วยร่างที่ถูกเผาไหม้…(ผู้แปล “โชคดี”)
“นั่น…มังกรหรือ?”
จิ้งจอกโยวไคได้หันกลับมาจ้องมองด้วยความงงงวยกับสิ่งที่เกือบทำลายครึ่งหนึ่งของกองทัพโยวไคที่เธอได้เตรียมไว้เป็นเวลานาน
ตอนนี้เธอก็ได้ตระหนักถึงความแตกต่างที่ท่วมท้นระหว่างสองกลุ่มนี้
มังกรศักดิ์สิทธิ์ที่ขดตัวอยู่… นักบวชโอมเมียวจิที่นั่งอยู่ที่หัวของมันดื่มเหล้าจากขวดน้ำเต้าแล้วเผยยิ้มสุดแสนเหยียดหยามและสั่งคำสั่งให้สัตว์ประจำตัวของเขา
“ยิงอีกครั้ง ดอกบัวขาว(บยากุเร/白蓮)!”
เสียงคำรามแหลมคมถูกปล่อยออกมา ในขณะเดียวกัน ลมหายใจของเปลวเพลิงถูกปล่อยออกมา โดยไม่สนใจเปลือกหนาของโยวไคแม้แต่น้อย ขนที่ทนไฟของพวกเขา และบาเรียที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังของโยวไคก็ด้วย
เปลวเพลิงนั้นเผาผลาญปีศาจจนกลายเป็นขี้เถ้า การเผาผลาญที่ทำลายการป้องกันทั้งหมดนี้เป็นไฟแห่งกรรมที่มีพลังถึงระดับการโจมตีระดับแนวคิด(ผู้แปล เออๆ เอาไปเถอะเอาระดับมิติหรือจักรวาลด้วยไหมละ? กุแปลเรื่องอะไรอยู่วะ?)
“ไม่นะ…เป็นไปได้ไง!? ด้วยการโจมตีเพียงแค่สองครั้ง…เหล่าลูกน้องของข้า…!?”
เงาของจิ้งจอกโยวไคที่หนีจากเปลวเพลิงด้วยวิชาโยวไคของเธอได้ตะโกนคำสบถด้วยความไม่เชื่อ มันเป็นความโกรธที่ไร้เหตุผลอย่างท่วมท้น และเสียงของเธอสั่นด้วยความกลัว แม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับมันก็ตาม
“อย่ามาไร้สาระ…! กว่าที่ข้าจะสร้างกองทัพใหญ่นี้ได้ต้องใช้คนมากเพียงใด…!!”
“แล้วเจ้าได้กินคนไปจักเทื่อแล้วล่ะ?”
“…!!?”
เสียงสะท้อนมาจากข้างหลังเธอ และจิ้งจอกโยวไคได้บิดตัวไปรอบๆ และปล่อยคมดาบ
ถึงแม้จะใช้เพียงมือเปล่าแต่ระดับโยวไคระดับภัยพิบัติก็สามารถปลิดชีวิตคนได้อย่างง่ายดาย..
เธอได้ตัดครึ่งบนของร่างกายของบางสิ่งได้ แต่ถึงแม้ว่าร่างในเสื้อคลุมดำที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอถูกทำลายเหลือเพียงขาทั้งสองข้าง(ผู้แปล แม่ครับผมอยากได้ amongus ครับ ลูกแต่เรามี amongus ที่บ้านแล้วนะ amongus ที่บ้าน:)
แต่ว่าในไม่ช้าชิ้นส่วนเนื้อก็กลายเป็นเงาดำของสิ่งที่เธอตัด และเงาที่กลายเป็นอะตอมรวมตัวกันเป็นเส้นและสร้างรูปร่างขึ้นมาอีกครั้งตามที่ควรจะเป็น
“ภาพลวงตาหรือ?!?”
“บ่ เจ้าฆ่าข่อยได้อีหลีแต่ร่างของข่อยมันต่างจากร่ายกายมนุษย์คัก”
เสียงของชายที่เพิ่งขี่มังกรดังขึ้นในหูของจิ้งจอกโยวไคขณะที่เธอตะโกน
ในขณะเดียวกัน อยู่ๆ หัวของเธอก็ถูกบางอย่างกระแทกและนั้นก็คือขวดน้ำเต้า
จิ้งจอกโยวไคได้ถูกกระแทกลงสู่พื้นเหมือนถูกกระแทกลงกับพื้น
“คุก…!?! แกกล้าดีได้ยังไง เจ้ามนุษย์!?!?!”
ถ้าเป็นมนุษย์ปกติละก็กะโหลกศีรษะคงจะแตกและเนื้อในคงจะปูดออกมาแล้วละ
แต่ถึงแม้จะเป็นจิ้งจอกโยวไคเองแต่ก็ได้รับบาดเจ็บประมาณหนึ่งเช่นกัน
ในพริบตาถัดมา รูปร่างที่คล้ายคลึงกับตุ๊กตาได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว…พร้อมด้วยเสียงคำราม จิ้งจอกเก้าหางเงินขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้นในยามค่ำคืน นั่นเป็นรูปร่างที่แท้จริงของโยวไคตนนี้
‘ไอ้สารเลว! ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รอดแน่…!’
จิ้งจอกโยวไคได้ตะโกนด้วยความโกรธ เธอเคยต่อสู้กับบุรุษแข็งแกร่งหลายครั้งมาก่อน
เธอนั้นจะใช้ทุกวิถีทางที่มี แม้จะเป็นวิธีที่ขี้ขลาดและน่ารังเกียจที่สุดก็ตามเพื่อชัยชนะ
และเธอไม่เคยสนใจคำขอร้องขอชีวิตจากผู้พ่ายแพ้ เธอจะทรมานพวกเขาและกัดกินพวกเขา
เธอนั้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมถึงสติปัญญาและพลังของตนเอง ดังนั้นถ้าหากเธอได้โจมตีเขาเต็มกำลัง…
“นั่นน่ะเป็นคำพูดของข้าต่างหาก!!”
หญิงสาวมิโกะได้เตะเข้าที่หน้าของจิ้งจอกปีศาจด้วยการเตะหมุนกลางอากาศ
การโจมตีด้วยขาที่เสริมพลังด้วยพลังวิญญาณที่ไหลล้นได้ฉีกเนื้อของจิ้งจอกโยวไคตัวนี้
กระดูกที่แตกของเธอและฟันบางซี่ของเธอหัก
โยวไคได้สลบชั่วขณะ
เธอนั้นทนทุกข์จากความเจ็บปวดที่ทนไม่ได้
“กรืออ่าาาาาาา!!!”
จิ้งจอกโยวไคได้ล้มลงและอาเจียนเลือดออกมาจำนวนมาก
เห็นอย่างนั้นเหล่าผู้ปัดเป่าที่ปกป้องเมืองหลวงไม่มีเจตนาที่จะแสดงความเมตตาต่อ “เธอ” เลยแม้แต่น้อย
ขณะที่เธอล้มลงตามแรงโน้มถ่วง เหล่าผู้ปัดเป่าได้โจมตีเธอทุกทิศทางเพื่อจะสังหารเธอให้เร็วที่สุด…
‘อ่าาาา!! ไอ้สารเลว!! ข้าจะตายในที่แบบนี้ ในที่แบบนี้เนี้ยนะ!? ไร้สาระน่า! ข้าจะตายงั้นหรือ!!!’
“เวรเอ๊ย ดูท่าไม่ดีแล้ว…รีบจัดการโยวไคตัวนี้เร็ว!!”
ด้วยบาดแผลลึกทั่วตัว จิ้งจอกโยวไคได้ใช้ทางเลือกสุดท้าย ผู้ปัดเป่าได้ตระหนักว่าโยวไคตัวนี้กำลังจะทำอะไรบางอย่างและพยายามหยุดมัน
เมื่อเห็นโอกาสในการโจมตึ ผู้ปัดเป่าได้ร่ายคาถาที่ทรงพลังเพื่อจุดไฟเผามัน ตามด้วยการโจมตีด้วยสายฟ้าจากเมฆฝนที่ปรากฏขึ้นกะทันหัน
มันถูกเจาะด้วยเข็มที่สร้างจากบาเรียโปร่งใสที่สร้างขึ้นจากทุกทิศทาง
ทุกการโจมตีเป็นการโจมตีอย่างหนักหน่วงต่อปีศาจยักษ์ และแม้แต่โยวไคระดับภัยพิบัติระดับล่างก็เป็นอันตรายได้ถ้าเกิดไม่ได้เตรียบตัว แต่…
”เจ้าบ้า! นั่นมันภาพลวงตา…!!”
หนึ่งในผู้ปัดเป่าที่เชี่ยวชาญในคาถาและการสะกดจิตสังเกตเห็นสิ่งแปลกๆ และตะโกนออกมา
จากนั้นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ควรจะเป็นชิ้นเนื้อก็ได้หายไปเหมือนหมอกในเวลาต่อมา
มันเป็นภาพลวงตาที่เป็นระดับสูงที่จิ้งจอกโยวไคได้สร้างขึ้นด้วยพลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเธอ
“ชิ…!?!”
บางคนได้กระโดดขึ้นกลางอากาศด้วยกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว และบางคนได้สร้างจุดยืนกลางอากาศ บางคนใช้ชิกิกามิ หรือใช้วิชาตามหากลางอากาศ บางคนเล็งด้วยธนูและลูกศรและอื่นๆ มากมาย…
แต่ละคนใช้วิชาของตนเพื่อหยุดจิ้งจอกโยวไตที่จากไป ตามหาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่…
“บ้าอะไรน่ะ!?!”
จิ้งจอกโยวไคขนาดใหญ่ได้ทำการระเบิดปล่อยแสงออกมา แสงนั้นแรงจนปิดการมองเห็นของคนรอบข้าง… หลายคนพยายามโจมตีมันโดยเล็งที่ตำแหน่งที่มันน่าจะอยู่ด้วยคำนวนคร่าวๆ
แต่ไม่มีการตอบสนองอะไรทั้งนั้น จากนั้นแสงขนาดใหญ่แตกออกเป็นอนุภาคแสงเล็กๆ… และเริ่มตกลงมาในเมืองและบริเวณโดยรอบเหมือนฝนดาวตก
“เวรเอ๊ย งั้นแผนมันก็เป็นแบบนี้นี้เอง ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่”
ผู้ปัดเป่าบางคนที่สามารถโจมตีจากระยะไกลสามารถทำลายแสงในการยิงบางส่วน แต่… กว่าครึ่งของแสงก็ได้ตกลงสู่พื้น…
และหายไปในความมืด ผู้ปัดเป่าได้มองด้วยสีหน้าประหลาดหรือขมขื่น…
“ติดต่อจักรพรรดิและขุนนางซะ มีปีศาจโอหังทิ้งของขวัญที่น่ารำคาญไว้ให้เฮาก่อนที่มันจะตาย”
ชายที่แต่งกายในชุดดำปรากฏตัวก่อนที่พวกเขาจะรับรู้และได้สั่งเหล่าผู้ปัดเป่า และผู้เชี่ยวชาญการฆ่าโยวไคได้ยืนยันคำสั่งและทำการทำให้ตัวเองหายไปเพื่อทำตามคำสั่ง
‘……’
ชายในเสื้อคลุมดำถอนหายใจเมื่อพระจันทร์เต็มดวงปรากฏในความมืดสีน้ำเงินอย่างสวยงาม พวกเขาได้ทำผิดพลาดเช่นนี้กับปีศาจระดับ “นั้น” ได้อย่างไร?
มันเป็นความผิดพลาดที่เป็นไปไม่ได้ในยุคของการกบฏครั้งใหญ่ ท้ายที่สุด ในคืนพระจันทร์เต็มดวง เลือดจะเดือดและเรากลายเป็นเพียงผู้โง่เขลา
และเนื่องจากเป็นช่วงเวลานี้ของปีที่โยวไคมักจะกระฉับกระเฉงมากกว่าปกติ สถานการณ์แบบนี้เป็นสถานการณ์ไม่ได้อย่างแรง
‘…ถ้าเจ้ากลับมาได้ก็คงจะดี’
เงาในชุดดำถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงอดีตเพื่อนร่วมรบที่เกษียณจากการรับใช้ราชสำนักเพราะบาดเจ็บและอายุ และต่อมาเงาดำก็หายไปเหมือนหมอกเพื่อทำหน้าที่ของตน…