บทที่ 488 เดินทางมาถึงเผ่า
บทที่ 488 เดินทางมาถึงเผ่า
หลังจากต่อสู้กันไปมาอยู่หลายสิบรอบ ด้วยสัญชาตญาณ พละกำลัง และความเร็วราวกับสัตว์ป่าของอานั่วซือก็สามารถทำให้นักรบเผ่าเทียนกู่น่าสยบแทบเท้าได้ในที่สุด
นัยน์ตาสีม่วงดั่งสัตว์ร้ายแลดูดุดันยามเข้าปะทะ แม้จะยังวัยเยาว์ ทว่าแววตาที่จ้องมองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่น
อานั่วซือยืนเหนือร่างนักรบเทียนกู่น่าโดยที่มือบีบคอของอีกฝ่าย
เล็บของเขาแหลมคมราวกับสัตว์ร้าย แค่คิดก็ราวกับว่าเล็บนั่นจะเฉือนคออีกฝ่ายให้ขาดได้ภายในการตวัดเพียงครั้งเดียว
เมื่อการต่อสู้หยุดลง นักรบเทียนกู่น่าก็ยอมรับความพ่ายแพ้
คนอื่น ๆ กำหมัดและทุบไปที่ตำแหน่งตรงหัวใจพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อเป็นการศิโรราบ
อานั่วซือเอาชนะเพียงคนเดียวก็สามารถพิชิตเผ่าเทียนกู่น่าไว้ได้ทั้งหมดแล้ว
เพราะว่าชายผู้นั้นเป็นนักรบที่ห้าวหาญที่สุดในหมู่พวกเขา
กู๋เหมิงถือได้ว่ามีตำแหน่งเป็นมันสมองของกลุ่มเลยทีเดียว
อานั่วซือกระโดดตัวลอย จากนั้นก็ตบมือและเดินไปหาเสี่ยวเป่าด้วยรอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาว
“ข้าชนะแล้ว!”
เสี่ยวเป่าให้เมล็ดแตงโมที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งเป็นรางวัล
“เก่งมาก กินเมล็ดแตงโมสิ”
อานั่วซือ “เจ้าต้องให้ลูกกวาดเป็นรางวัลสิ ข้าอุตส่าห์ทำตามที่เจ้าขอนะ”
เสี่ยวเป่า “พูดอะไรของเจ้า ข้าไปบอกให้เจ้าทำอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่”
อานั่วซือ “เจ้าบอกเองว่าให้ข้ารวบรวมสมัครพรรคพวกมิใช่หรือ”
เสี่ยวเป่า :…
อยากจะบ้าตาย การหาพรรคพวกมันใช่การผูกมิตรเสียที่ไหนกันเล่า!
ข้าบอกให้เจ้าใช้กับคนในเผ่าของเจ้า มิใช่ให้เอามาใช้กับชาวเผ่าเทียนกู่น่าที่มากับข้า
เสี่ยวเป่ามองชาวเผ่าเทียนกู่น่าที่พร้อมทำตามคำสั่งของอานั่วซือโดยไม่มีข้อแม้ด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า
เจ้ามันร้ายนัก!
นี่เป็นทางเลือกของพวกเขา เสี่ยวเป่าเองก็ไม่ก้าวก่าย อย่างไรเสียในตอนนี้นางก็หลอกล่ออานั่วซือให้เป็นพี่ชายผู้ป่าเถื่อนของตนไปแล้ว นางจึงขอพึ่งใบบุญไปก่อน รอให้ได้สมุนไพรมาแล้วก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะเอาอย่างไรต่อไป
เนื่องจากอาการบาดเจ็บของกู่จี๋ พวกเขาจึงจำต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายวัน
ทว่าชาวเทียนกู่น่านั้นมีร่างกายแข็งแรง เมื่อเข้าวันที่สองอาการของกู่จี๋ก็ดีขึ้นมาก มิได้ไร้เรี่ยวแรงเหมือนในทีแรก อีกทั้งยังกินอาหารได้เพิ่มมากขึ้น
กระทั่งเข้าวันที่ห้า เขาก็สามารถลุกเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว
อานั่วซือให้พวกเขาขึ้นขี่เจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ที่เหลืออยู่โดยไม่หวงแต่อย่างใด
บรรดาชาวเทียนกู่น่าทั้งชายและหญิงต่างก็ตื่นเต้นที่ได้นั่งบนหลังของเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ สิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยพบเห็น เคยได้ยินเพียงเรื่องราวจากปากของท่านหมอผี ตอนนี้พวกเขาไม่เพียงได้เห็น แต่ยังโชคดีถึงขนาดได้ขึ้นนั่งบนหลังของเจ้าสัตว์ร้ายด้วย
เป็นดังที่ท่านหมอผีว่าไว้ไม่มีผิด เทพธิดาจะนำพาโชคมาให้พวกเขา!
“พวกเราต้องไปอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงฉางเซิงเทียน”
หลังจากเดินเท้าบนผืนหิมะอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่หลายสิบวัน เสี่ยวเป่าก็รู้สึกว่าตนเองเริ่มที่จะคุ้นชินกับสภาพอากาศที่นี่ไปเสียแล้ว
ทว่าก็ยังหนาวมากอยู่ดี
นางยังคงห่อตัวเองเป็นก้อนกลมเช่นเดิม
อานั่วซือนั่งเป็นที่กำบังลมให้นางอยู่ด้านหลัง แต่ก็ช่วยกำบังได้เพียงแค่ข้างหลังเท่านั้น ใบหน้าของนางถูกปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด น้ำเสียงจึงฟังดูอู้อี้ยามที่อ้าปากพูด
ทั้งที่สวมกางเกงบาง ๆ แค่ตัวเดียว อีกทั้งท่อนบนก็ปกคลุมด้วยขนสัตว์แบบเรียบง่าย ทว่าเขากลับไม่หนาวเลยสักนิด
ทำเอาเสี่ยวเป่ารู้สึกอิจฉามากทีเดียว
หากว่าตนไม่กลัวความหนาวแล้วล่ะก็ นางจะขึ้นไปยืนบนหลังของเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์แล้วปล่อยให้กระโปรงสีแดงแสนสวยพลิ้วไหวไปตามสายลม
“ยังต้องเดินทางอีกห้าวัน”
เสี่ยวเป่าถามขึ้นอย่างสงสัย “เจ้ามาทำอะไรหรือ เหตุใดถึงมาไกลเช่นนี้”
ให้ตายเถอะ ระยะทางขนาดนี้เดินทางด้วยเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ต้องใช้เวลาตั้งครึ่งเดือน ตอนมาคงใช้เวลานานน่าดู
“จับสัตว์ร้ายยักษ์”
เสี่ยวเป่า “เอ๋?”
อานั่วซือ “ผู้ชายในเผ่าที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะต้องออกมาล่าสัตว์ร้ายยักษ์ หากนำกลับไปได้ก็จะกลายเป็นนักรบและได้รับการเคารพยกย่อง”
“เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือ”
“ยัง ข้าออกมาพร้อมกับพวกคู่ต๋า ข้าจะจับเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ให้ได้ก่อนเขา แล้วก็จะจับให้มากกว่าด้วย!”
เสี่ยวเป่าพูดไม่ออก เจ้านี่มันชอบแข่งขันจริง ๆ จะต้องเอาชนะคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง
ทว่าเขาก็ดันมีความสามารถที่จะทำด้วยนี่สิ จู่ ๆ ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดลูกชายของหัวหน้าเผ่าคนนั้นถึงได้จงเกลียดจงชังเขานัก น่าหมั่นไส้ขนาดนี้จะไม่ให้เกลียดขี้หน้าได้อย่างไร
หลังจากตอนนั้นก็ไม่ได้เจอกับกลุ่มของคู่ต๋าอีก ระหว่างทางก็เจอเข้ากับฝูงสัตว์ป่าไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ตอนนี้พวกเขามีจำนวนเยอะ ทั้งยังมีสัตว์ร้ายยักษ์และหมาป่ายักษ์ ต่อให้สัตว์ป่าพวกนั้นจะหิวโหยเพียงใดก็ไม่กล้าจู่โจมพวกเขาอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงตอนกลางคืนเสี่ยวเป่าจึงนอนหลับฝันดี
จากนั้นก็เดินทางต่ออีกหลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
อานั่วซือพร้อมกับสัตว์ร้ายยักษ์และหมาป่ายักษ์ถูกเห็นตัวตั้งแต่ระยะมากกว่าร้อยจั้งจากที่ตั้งของเผ่า
ด้วยจำนวนของสัตว์ร้ายยักษ์นั้นมากพอให้พื้นดินสั่นสะเทือนทุกย่างก้าว ผู้คนในเผ่าจำนวนมากต่างก็ออกมาดู
“อานั่วซือ!”
“อานั่วซือจับสัตว์ร้ายยักษ์กลับมาได้จริง ๆ ตั้งหลายตัวแน่ะ!”
“เขาเป็นยอดฝีมือปราบพยศสัตว์ร้ายโดยกำเนิดจริง ๆ พละกำลังก็แข็งแกร่ง ยังไม่ทันจะโตเป็นผู้ใหญ่ก็เอาชนะนักรบส่วนใหญ่ในเผ่าได้แล้ว”
ผู้คนในเผ่าล้วนนับถือผู้แข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อครั้งที่อานั่วซือมาถึงฉางเซิงเทียนเป็นครั้งแรกตัวผอมโซไร้เรี่ยวแรง จะมีก็เพียงดวงตาที่ดุร้ายราวกับสัตว์ป่าเท่านั้น
เขามีสายเลือดของคนต่างเผ่า อีกทั้งร่างกายก็ไม่แข็งแรง หากว่ามิได้แสดงเครื่องหมายประจำตัวของบุตรสาวหัวหน้าเผ่าคนก่อน และหัวหน้าเผ่าก็ยืนยันว่าตัวเขานั้นเป็นหลานชายของตนจริง ๆ ป่านนี้ก็คงจะกลายเป็นทาสไปแล้ว
แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนั้น เด็กตัวซูบผอมอย่างอานั่วซือก็ยังคงถูกคนในเผ่ารังเกียจเดียดฉันท์ อีกทั้งยังโดนคู่ต๋าและพวกพ้องกลั่นแกล้งอยู่เสมอ
ทุกคนต่างก็เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเผ่าอยู่บ่อย ๆ ตราบใดที่ไม่ถึงแก่ชีวิต พวกผู้ใหญ่จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องทะเลาะวิวาทของพวกเด็ก ๆ และไม่ถามหาความยุติธรรมใด ๆ แม้ว่าลูกของพวกเขาจะถูกทุบตีก็ตาม
พวกเขาเลี้ยงดูโดยให้อิสระกับลูก ๆ ของตน การทะเลาะวิวาทเช่นนี้ยังเป็นการฝึกฝนความแข็งแกร่งและไหวพริบให้กับพวกเขา ถึงขั้นมีคำพูดที่ว่าตราบใดที่ไม่ถึงตาย ก็ทรมานได้ตามใจ