บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1325 เทือกเขาทุกขทมิฬ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1325 เทือกเขาทุกขทมิฬ

บทที่ 1325 เทือกเขาทุกขทมิฬ

ฟิ่ว

ลำแสงที่พริบพราวราวภาพฝันพุ่งผ่านท้องฟ้ายังชั้นของพายุมิติชั้นแล้วชั้นเล่า ประกายของมันสะท้อนเหนือผืนน้ำทะเลอนันตราซึ่งรายล้อมไปด้วยอันตราย

หลังจากผ่านไปสามชั่วยาม ขณะที่เฉินซีกำลังตกอยู่ภายใต้อาการสะท้านชาจากการได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่น่าประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง ‘คุณชาย’ เตียนเตี้ยนรูปงามในอาภรณ์ปักลายวิจิตรก็หยุดการกระทำลง ก่อนจะหันมาพูดด้วยเสียงใสกระจ่าง “พวกเรามาถึงแล้ว”

ถึงแล้วหรือ? เฉินซีชะงัก เขาคืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว สายตาคมกริบนั้นทอดมองออกไป ก่อนจะเห็นว่ามีปราการหนึ่งซึ่งไร้รูปร่างตั้งขวางระหว่างฟ้าดินไว้อยู่ห่างออกไปราว ๆ ร้อยจั้ง มันแยกออกจากทะเลอนันตราโดยสิ้นเชิง

ปราการแสงนั้นนวลอย่างเปลือกไข่ มันโปร่งแสง ส่องสว่าง และเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งรัศมีเหล่านั้นยังอาบไล้ไปด้วยกลิ่นอายจากยุคแรกกำเนิด ทั้งโบราณและยิ่งใหญ่

พายุมิติ ความปั่นป่วน พายุคลื่นลม รวมไปถึงทุกสรรพสิ่งภายในทะเลอนันตราล้วนสงบลงเมื่อเผชิญกับม่านแสงนี้ คล้ายความเกรี้ยวกราดของพวกมันถูกข่มไว้ด้วยรัศมีเรืองรอง

ปราการยุคแรกกำเนิด!

เฉินซีจำมันได้ทันทีเพียงมองปราดเดียว ใช่แล้ว มันเป็นปราการที่ก่อตัวขึ้นมาจากซากโบราณแรกกำเนิด โดยพวกเขาจะสามารถเข้าไปในซากโบราณสถานได้ก็ต่อเมื่อผ่านม่านปราการนี้เท่านั้น

เฉินซีอดนึกผิดหวังขึ้นมาในใจไม่ได้ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการเดินทางผ่านทะเลอนันตราจะราบรื่นเช่นนี้ แถมยังมาถึงซากโบราณสถานแรกกำเนิดภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม

ชายหนุ่มปรารถนาที่จะอยู่ในทะเลอนันตราต่ออีกสักพักหนึ่ง นั่นก็เพราะในผืนน้ำแห่งนั้นอุดมไปด้วยของล้ำค่าและสมบัติอมตะที่หายากมากมาย การที่ต้องผละจากมันไปทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม เฉินซีตระหนักดีว่าที่การเดินทางเป็นไปได้อย่างราบรื่นก็มีราชันเซียนอย่างเตียนเตี้ยนร่วมเส้นทาง ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาก็คงไม่กล้าที่จะข้ามผ่านทะเลอนันตราไปด้วยตนเอง

“หน้าตาบอกบุญไม่รับเชียวนะ อาลัยอาวรณ์อยู่หรืออย่างไร?” เตียนเตี้ยนยิ้มขณะสบมองเฉินซี ครั้นนางพูดขึ้น ร่างกายพลันเปล่งประกายเจิดจ้าท่ามกลางละอองแสงสีม่วงที่หลั่งรินดังเม็ดฝน เพียงพริบตา รูปลักษณ์ของนางเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

เมื่อครู่นี้นางยังคงสวมเสื้อคลุมปักลาย รัดเข็มขัดหยก และมีรูปลักษณ์สลักเสลาอย่างบุรุษ

ทว่าตอนนี้นางกลับอยู่ใต้อาภรณ์สีม่วงพลิ้วไหว คิ้วเรียวบางอย่างใบหลิว สอดรับกับดวงตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ใบหน้างดงามหมดจรด เช่นเดียวกับรูปร่างอันอ้อนแอ้นหากยังคงผ่าเผย ผมสีดำสนิทนั้นเงางามดั่งม่านไหมล้ำค่า แม้แต่หน้าผากเกลี้ยงเกลาก็ยังเผยร่องรอยแห่งความทรงภูมิ นับว่าเป็นความงามที่หามีใครบนโลกนี้จะเทียบได้

เพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็กลายเป็นสาวงามที่เต็มไปด้วยรูปโฉมอันทรงอานุภาพรุนแรง กระทั่งแม้แต่เฉินซียังต้องตกตะลึงราวถูกกระชากลมหายใจออกไปชั่วขณะหนึ่ง

“ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์จริง ๆ นั่นละ” เฉินซียอมรับอย่างตรงไปตรงมา ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เตียนเตี้ยนได้ช่วยเขารวบรวมสมบัติอมตะล้ำค่าซึ่งมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะในอนาคต รวมถึงสมบัติที่มีคุณค่าเกินกว่าจะจินตนาการได้มากมาย เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน มูลค่าของมันก็มากล้นเสียจนประเมินค่าไม่ได้

เตียนเตี้ยนยิ้ม “พวกมันก็เพียงของธรรมดา เทียบไม่ได้กับที่มีอยู่ในซากโบราณสถานแรกกำเนิดหรอกนะ”

เฉินซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้มพึงใจ

จริงอยู่ที่เขาเสียดาย แต่จะไม่จมปรักอยู่กับพวกมันอย่างเด็ดขาด

“พลังพิภพของซากโบราณสถานแรกกำเนิดนั้นหาได้เหมือนกับภพทั้งสามไม่ เนื่องด้วยความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากความวิบัติทั้งหลาย ที่นี่จึงเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย หลังจากที่เขาเข้าไปภายในซากโบราณสถานแรกกำเนิดแล้ว เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าทำอะไรโดยบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นแล้ว คงไม่อาจหลีกเลี่ยงเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น” เตียนเตี้ยนกำชับก่อนจะสะบัดฝ่ามือบอบบาง ทันใดนั้น ขวานศึกสีม่วงที่เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งสมบัติอมตะก็ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศดั่งจันทร์เสี้ยว

หวด!

รอยแตกที่แคบและยาวบังเกิดขึ้นบนปราการยุคแรกกำเนิดที่อยู่ห่างออกไป

“ไปกันเถอะ!” ร่างอรชรของเตียนเตี้ยนเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา นางอุ้มประคองร่างของเฉินซีไว้ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในรอยแยกและหายวับไปในทันที

ณ ซากโบราณสถานแรกกำเนิด

หลังจากภพทั้งสามถูกสร้างขึ้น ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นซากโบราณสถานแรกกำเนิดเพียงแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ มันยังคงรักษาพลังพิภพดังเดิมและกฎในยุคแรกกำเนิดเอาไว้

ธรรมเนียมโบราณยังคงถูกรักษาไว้ภายในซากโบราณสถานแห่งนี้ และที่นี่ยังคงมีนิกายโบราณจำนวนมากที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคแรกกำเนิดอาศัยอยู่ โดยพวกเขาถูกเรียกว่านิกายยุคแรกกำเนิด

ศิษย์ของนิกายเหล่านี้มีจำนวนลดลงเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี บางนิกายมีสมาชิกเพียงสองสามคนเท่านั้น ในขณะที่นิกายขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกราว ๆ สิบคนนั้นเหลืออยู่น้อยยิ่งกว่า ตัวอย่างเช่นนิกายเอกวิถีที่เจิ้นหลิวชิงและมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์สังกัดอยู่ เมื่อรวมอาจารย์ด้วยก็มีสมาชิกอยู่เพียงสามคนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านิกายยุคแรกกำเนิดเหล่านี้จะมีสมาชิกเพียงไม่กี่คน ทว่าสมาชิกทั้งหมดของพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นยอดคนผู้น่าเกรงขามทั้งสิ้น ไม่ว่าหันไปทางไหน ก็อาจจะได้พบกับราชันเซียนอาศัยอยู่ที่นั่น

นอกจากนี้ สิ่งตกทอดจากนิกายยุคแรกกำเนิดนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เช่นเดียวกับเขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา และนิกายอำนาจเทวะซึ่งเป็นนิกายที่มีชื่อเสียงอย่างมากในยุคแรกกำเนิด และมีอำนาจปกครองไม่ต่างเจ้าเหนือหัว

ทว่า ท่ามกลางกาลเวลาที่ผันผ่าน ภพทั้งสามถึงคราวก่อกำเนิดขึ้น ประกอบกับภัยพิบัติมากมายที่เกิดขึ้นภายในที่แห่งนี้ ก็ส่งผลให้นิกายยุคแรกกำเนิดค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลงและถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

ปัจจุบัน ซากโบราณสถานแรกกำเนิดเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในภพทั้งสาม ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่นี่ทำให้พลังพิภพโบราณค่อย ๆ เสื่อมถอยลง สิ่งนี้ส่งผลให้สมาชิกทั้งหลายของนิกายยุคแรกกำเนิดเริ่มกังวลถึงความปลอดภัยและพยายามแสวงหาทางออกใหม่

ในทางกลับกัน ในสายตาของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในภพทั้งสาม ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นภายในซากโบราณสถานแรกกำเนิดนั้นได้สร้างโชคลาภให้แก่พวกเขา ความมั่งคั่งที่สั่งสมไว้ภายในที่แห่งนี้กระตุ้นความโลภภายในจิตใจได้อย่างดีทีเดียว

ทว่าก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถมาที่นี่และกอบโกยผลประโยชน์ไปได้

อย่างที่เฉินซีคาดเดา หากไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นขึ้นไปติดตามมาแล้ว อย่าว่าแต่การได้กอบโกยความมั่งคั่งเลย แม้แต่การเข้ามาในซากโบราณสถานแรกกำเนิดเพื่อแสวงโชคท่ามกลางภยันตรายที่ไม่มีขีดจำกัดเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่เกินคิดฝัน

บนพื้นที่กว้างใหญ่ของภูเขาสีเทาที่มีความอุดมสมบูรณ์นี้ เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกึกก้องจากด้านในส่วนลึก พวกมันทำให้วิหคเทวะบินวนไปทั่วทั้งแผ่นฟ้าด้วยความตื่นตระหนก ปีกของพวกมันกระพือไปตามฟ้าสีคราม

ปีกของวิหคเทวะเหล่านี้งดงามยามต้องแสงแดด ภายใต้ท้องฟ้าครามกว้างใหญ่ พวกมันดูเหมือนมวลเมฆที่ล่องลอยอย่างเสรี

เจี๊ยก! เจี๊ยก!

ฝูงวานรขนทองบรรพกาลที่มีร่างกายใหญ่โตราวภูเขาส่งเสียงร้องลั่น ขณะที่พวกมันเคลื่อนที่ไปตามภูเขา เท้าของพวกมันก็กระทืบลงบนแผ่นหินเป็นจังหวะตึงตัง การกระโดดแค่เพียงครั้งเดียวของมันสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า ยืดมือออกไปไล่ตะครุบวิหคเทวะก่อนจะนำมากัดกิน กรามขนาดใหญ่ของพวกมันบดขยี้อาหารในมือจนแหลกเหลว เป็นภาพที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าไม่น้อย

อย่างไรก็ดี ทันใดนั้น ฝ่ามือขนาดมหึมาก็ยื่นออกมาจากช่องว่างของหุบเหวไร้ก้นบึ้ง นิ้วของมันเหมือนกับเสาที่สามารถค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ แต่ละข้อปล้องของมันเต็มไปด้วยอักขระเต๋าโบราณ เพียงแค่มันแผ่ฝ่ามือออก ก็ทำให้พื้นดินแถบนั้นตกอยู่ภายใต้ความมืดมิด!

เผละ! เผละ! เผละ!

ก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะอำพรางท้องฟ้าได้อย่างสนิท วานรขนทองบรรพกาลร่างสูงใหญ่ที่ดูเหี้ยมเกรียมนั้นก็กลายเป็นเพียงแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ถูกฝ่ามือมหึมาคว้าเอาไว้ ร่างกายของพวกมันแตกสลาย เหลือแต่เพียงเลือดเนื้อเหลวหนืดไหลออกมาตามซอกนิ้วและง่ามมือ เหมือนกับฝนโลหิตที่หลั่งรินและอาบฟ้าดินให้กลายเป็นสีแดงแห่งความตาย

“เงียบ!” ครั้นเสียงโกรธเกรี้ยวดังสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน ฝ่ามือที่ปกคลุมท้องฟ้าก็ถดลงสู่หุบเหวและไม่เคลื่อนไหวใด ๆ อีกต่อไป

เมื่อเฉินซีเข้าไปภายในซากโบราณสถานแรกกำเนิดด้วยการนำทางของเตียนเตี้ยน สิ่งแรกที่เขาได้เห็นก็คือเหตุกาาร์อันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้เขาตกใจจนพูดไม่ออก

ไม่ว่าจะวิหคเทวะหรือวานรขนทองบรรพกาล พวกมันก็ล้วนแต่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง สัตว์ทั้งสองชนิดนี้เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณอย่างวิหคแสงเทวะ และ จูเอี้ยน ทว่าในตอนท้าย กลับถูกบดขยี้อย่างง่ายดายด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ซึ่งโผล่มาจากเหวลึก

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นภาพนี้ สิ่งน่าสะพรึงกลัวที่อาศัยอยู่ภายในเหวลึกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษประเภทใดกันแน่?

“ที่นี่คือซากโบราณสถานแรกกำเนิด” ดวงตาสุกสกาวของเตียนเตี้ยนเปล่งประกายด้วยแสงเรืองรอง ร่างที่เปล่งประกายไปด้วยรัศมียิ่งใหญ่และทรงพลังยืนเอามือไพล่หลัง รัศมีจากกายของนางแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้างประหนึ่งราชันที่สามารถสยบทุกสรรพสิ่ง

ใช่แล้ว นี่คือซากโบราณสถานแรกกำเนิด!

สิ่งที่สะท้อนภาพในสายตาของเฉินซีคือภาพแห่งความรกร้างเก่าแก่ สัตว์อสูรจำนวนมากท่องไปตามพื้นที่โดนรอบ แม้แต่บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยสัตว์อสูรมีปีกที่บินว่อนไปมา ไม่ว่าจะพื้นดิน ผืนฟ้า หรือพื้นอากาศก็ล้วนแต่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโบราณ

ขณะที่พวกเขายืนอยู่บนที่แห่งนั้น ก็รู้สึกคล้ายตนได้เดินทางย้อนกลับไปยังกาลเก่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ทั้งเทพเซียนและจอมปราชญ์ต่างก็ต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ในขณะที่สัตว์อสูรทั้งที่ดำรงอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้วต่างก็ใช้ชีวิตท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย

ภายใต้กลิ่นอายแห่งยุคแรกกำเนิดอันมีเอกลักษณ์เฉพาะนี้ เฉินซีรู้สึกสับสนพร่ามัว คล้ายมีความคิดมากมายวนเวียนภายในจิตใจ แม้ว่าชายหนุ่มจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนทองคำแล้ว และอยู่ห่างจากขอบเขตราชันเซียนเพียงไม่กี่ขั้น ทว่ากลับคล้ายตัวเล็กลงดังมอดมดเมื่อยืนย่ำอยู่ท่ามกลางซากโบราณสถานแรกกำเนิด

ใช่ ช่างเล็กจ้อย!

หากเทียบกับวิหคแสงเทวะ จูเอี้ยน หรือฝ่ามือยักษ์ที่โผล่พ้นมาจากหุบเหวไร้ก้นแล้ว การบ่มเพาะของเขาในยามนี้นับว่าอ่อนแอยิ่งนัก

ไม่น่าแปลกใจที่ข่าวลือเกี่ยวกับซากโบราณสถานแรกกำเนิดนั้นแทบไม่เป็นที่รู้จักภายในภพเซียนนับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เพราะมีเพียงสิ่งมีชีวิตในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นหรือสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถตบเท้ามายังสถานที่เช่นว่านี้ได้… เฉินซีสูดลมหายใจลึก เพื่อปรับสติอารมณ์ให้กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง

เขาจะต้องไม่ดูถูกตัวเองอีก

ชายหนุ่มตระหนักดีว่าตามปกติแล้ว การเดินทางครั้งนี้หาใช่สิ่งที่เขาสามารถเข้าร่วมได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรหากเขาจะนึกกังวลและสงสัยในความสามารถของตนขึ้นมา

ตอนนี้เอง เฉินซีควบคุมสภาวะจิตใจของตนด้วยความรวดเร็ว การเดินทางครั้งนี้เป็นโอกาสอันหาได้อยากสำหรับการบ่มเพาะจิตใจ เขาควรจะใช้เวลานี้ไปกับการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นและสั่งสมประสบการณ์ต่าง ๆ แน่นอน มันจะกลายเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะในอนาคต และจะทำให้เขาไม่กลายเป็นคนโง่งมอย่างเช่นตอนนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หัวใจของเฉินซีพลันปลอดโปร่งไปด้วยความสงบ สายตาที่กวาดมองไปยังที่ต่าง ๆ ไม่เต็มไปด้วยความงุนงงและสับสนอีกต่อไป

เตียนเตี้ยนสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในใจเฉินซีได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากสีแดงสดอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มด้วยนึกชื่นชม “มาเถอะ ไปที่เทือกเขาทุกขทมิฬกัน หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น สหายเต๋าจากตำหนักเต๋าหนี่หวาก็คงรออยู่ที่นั่นแล้ว” นางพูดด้วยเสียงเนิบเบา

ฟิ่ว!

ทันทีที่เตียนเตี้ยนพูดจบ นางก็พาเฉินซีเคลื่อนที่ผ่านมิติด้วยความเร็วเต็มพิกัด

ระหว่างทาง เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัย “ซากโบราณสถานแรกกำเนิดนั้นใหญ่เพียงใด?”

เตียนเตี้ยนพูดอย่างสบาย ๆ “ไม่ต่างจากโลกขนาดใหญ่ที่มีโลกลำดับรองจำนวนมากมายอยู่ภายในนั้น น่าเสียดายที่อีกไม่นานต่อจากนี้ซากโบราณสถานแรกกำเนิดก็จะต้องพังทลายและสูญสิ้นไป…”

เฉินซีตกตะลึง เขาตระหนักดีว่าซากโบราณสถานแรกกำเนิดนั้นเป็นสถานที่ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภพทั้งสามได้เริ่มต้นขึ้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะรอดพ้นไปจากความวุ่นวายนี้

หลังจากนั้น เฉินซีก็เริ่มคิดถึงเรื่องอื่น มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับบิดาของข้า เฉินหลิงจวิน ในซากโบราณสถานแรกกำเนิด ข้าสงสัยเหลือเกินว่า… ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?

ข้าจะได้พบพานกับเขาในระหว่างการเดินทางไปยังซากโบราณสถานแรกกำเนิดหรือไม่?

หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน เฉินซีก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดออกไป ชายหนุ่มหยุดแบกรับความคาดหวังใด ๆ ที่อาจกระทบต่อสภาพจิตใจของตน

หากพวกเขามีวาสนาได้พบกันก็คงจะดีไม่น้อย

แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น การได้รู้ว่าบิดาของตนสบายดีก็นับว่าเพียงพอแล้ว

“ศิษย์น้องหลี ดูนั่น! สหายเต๋ารัตติกาลมาถึงแล้ว” ตอนนั้นเอง เสียงที่กังวานชัดและไร้อารมณ์อย่างเสียงระฆังพลันดังขึ้น มันทำให้เฉินซีตื่นจากภวังค์นึกคิดอันซับซ้อน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียง ก่อนจะพบภูเขาลูกหนึ่งที่เด่นตระหง่าน

บนภูเขานั้น ปรากฏร่างสองร่างกำลังยืนอยู่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท