ตอนที่ 657 อนุวั่นผู้ไม่แสวงหาความก้าวหน้า
คนในโลกนี้ เพื่อผลประโยชน์แล้วสามารถสามัคคีเหมือนผึ้งในรัง และก็เพื่อผลประโยชน์ทำให้แตกคอกันเอง สรุปแล้วเพื่อผลประโยชน์จะทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น
ฉินหลิวซีเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี แม้แต่คนในครอบครัวด้วยกันเอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวสามารถสู้กันได้อย่างดุเดือด นับประสาอะไรกับเพื่อประโยชน์ของคนทั้งครอบครัว
ทว่าสะใภ้หวังกลับไม่สนใจผลประโยชน์นี้ เพียงให้ฉินหลิวซีทำตามความต้องการของตัวเอง ต้องยอมรับว่านางเป็นคนฉลาดรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
ฉินหลิวซีพอใจคนฉลาดที่รู้จักพอ รู้ควรไม่ควรเช่นนี้
ท่าทียอมก้มหัวให้ของสะใภ้หวังเช่นนี้ ฉินหลิวซีจึงไม่ได้กดหัวนางลงไปอีก มองไปยังหวังอวี้เชียนพลางกล่าว “เพียงผู้ที่มาขอรับการรักษานั้น ขอแค่ไม่เป็นคนชั่วร้ายเลวทราม และโรคที่เป็นอยู่นั้นไม่เกินความสามารถของข้า หากสามารถจ่ายค่ารักษาไหว และเป็นคนที่ตั้งใจมารักษาจริง ข้ามีข้อแม้แค่ข้อเดียว หากให้ข้ารักษา ข้าดูคนก่อนค่อยดูโรค”
หวังอวี้เชียนร้องอ่า นี่หมายความว่าอะไรกัน
ฉินหลิวซีอธิบายเพิ่ม คนที่มาขอให้นางรักษาจะต้องอยู่ในเงื่อนไขของนาง หากเป็นคนที่ไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครยิ่งใหญ่ค้ำฟ้ามาจากไหนก็ให้ตายไปเสีย
หวังอวี้เชียนนั่งไม่ติด มีความรู้สึกเสียหน้าซึ่งต้องกดเก็บไว้ เหมือนว่าเขานั่งอยู่บนหมอนปักเข็ม
ฉินหลิวซีรู้ดีว่าตอนนี้ควรทำอะไร นางลุกยืนขึ้นแล้วจึงเอ่ยว่าจะไปดูอนุวั่น
เมื่อนางออกจากห้องไปแล้ว หวังอวี้เชียนก็มองไปทางประตูอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยกับสะใภ้หวังว่า “ท่านอาหญิง นางเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วหรือขอรับ”
นี่เป็นถึงประมุขของบ้านเลยมิใช่หรือ บรรยากาศแบบนี้แทบจะเป็นการบดขยี้ เหมือนลักษณะของบิดาของเขาที่มีอำนาจอันน่าเกรงขาม
สะใภ้หวังเอ่ยด้วยใบหน้านิ่ง “ไม่ผิด นางเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร แม้ข้าไม่รู้ว่าทำไมตระกูลเฉวียนฟังท่านย่าเจ้าเอ่ยประโยคเดียวก็เดินทางมาแล้ว แต่หากตระกูลเฉวียนอยากขอรับการรักษาด้วยใจจริง ก็ต้องยอมวางทิฐิ ลดท่าทีให้ อย่าได้ทำท่าวางอำนาจเหนือนาง ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา หากทำให้นางไม่พอใจ ตระกูลเฉวียนก็มาเสียเที่ยวแล้ว”
หวังอวี้เชียนขมวดคิ้ว “ท่านอาหญิง นั่นเป็นตระกูลเฉวียนแห่งซีเป่ย หากนางสามารถรักษาให้หายได้ พวกท่านอาชายที่อยู่ที่นั่นถึงไม่สามารถกลับมาได้ แต่ก็จะอยู่ในความช่วยเหลือของตระกูลเฉวียนไม่มีใครกล้ารังแก หากท่านไม่คิดถึงท่านอาชาย ก็นึกถึงหมิงเยี่ยนน้องชายดีหรือไม่”
สะใภ้หวังยิ้มพลางเอ่ย “หมิงเยี่ยนน้องชายเจ้าในที่สุดต้องกลับมา ข้าเพียงรอเวลาก็เท่านั้น”
หวังอวี้เชียนตะลึงไป ท่านอาหญิงโง่หรือไม่
“เรื่องของตระกูลเฉวียนเจ้าอย่านำมาปนกัน ก่อนอื่นเจ้าส่งข้อความที่นางเอ่ยไปก็พอ ฟังไม่ฟังก็เป็นเรื่องของพวกเขา หากอยากใช้อำนาจบีบบังคับพวกเขาจะต้องเสียใจ” สะใภ้หวังเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าทำอะไรลงไป ทำไมถึงได้เที่ยวก่อเรื่องวุ่นวายกับพวกฉินหมิงเย่ว์ นางพาเจ้าเดินไปทั่วบ้านเรื่องนั่นช่างเถิด แต่พาเจ้าไปที่เรือนของลูกพี่ลูกน้องเจ้า หัวเจ้ามีแต่น้ำหรืออย่างไร หรือเจ้าก็เป็นคนโง่ไปกับเขาด้วยงั้นหรือ”
มาแล้วมาแล้ว ‘ลูกพี่ลูกน้องที่แสนดี’ ของเขาฟ้องเอาไว้แล้วเรียบร้อยอย่างที่คาดไว้
“ท่านอาหญิง ข้า…”
“ฉินหมิงเย่ว์ ความตั้งใจของเด็กสาวคนนั้นอย่าพูดว่าเจ้าดูไม่ออก เจ้าเป็นบุรุษที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไปไหนมาไหนกับสตรีที่ยังไม่ออกเรือน เป็นอย่างไร เจ้าอยากแต่งกับสตรีอย่างนี้หรือ” สะใภ้หวังกดเสียงลึก “ไม่ใช่ข้าดูถูกหลานสาวตัวเอง แต่นางเป็นความผิดหวังท้อใจของบ้านฉิน พี่สะใภ้ใหญ่คงไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตา ข้าไม่อยากลำบากใจเป็นคนกลาง เพราะตั้งแต่ต้นจนจบข้าเป็นคนของตระกูลฉิน ต้องคิดถึงลูกหลานในบ้าน”
“ท่านอาหญิง ข้าไม่ได้ไปกับนางแค่สองคน ยังมีอีกคนที่ชื่อหมิงซินขอรับ” หวังอวี้เชียนอธิบาย
สะใภ้หวังส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “นั่นเป็นข้อแก้ตัวให้เจ้าสามารถไปเรือนลูกพี่ลูกน้องเจ้าได้ตามอำเภอใจงั้นหรือ ตระกูลหวังของพวกเราที่มีหน้ามีตาในเขตเหลียงหยาอบรมสั่งสอนเจ้าอย่างนี้หรือ หรือเจ้าคิดว่าตระกูลฉินเป็นพวกน่าผิดหวังไปแล้ว ต่อให้เจ้าดูถูกไม่เห็นค่าพวกสตรีในตระกูลนี้ เรือนพักของพวกนางเจ้าอยากไปก็ไปไม่ต้องสนใจเรื่องชายหญิงเช่นนั้นหรือ” คำกล่าวในตอนท้ายน้ำเสียงนางมีความดุดัน
หวังอวี้เชียนสีหน้าเผือดไปเล็กน้อย “หลานมิกล้า”
ปกติเขาทำอะไรค่อนข้างตามใจตัวเอง ที่บ้านเกิดเรื่องค่านิยมเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุรุษสตรีไม่รุนแรงเท่ากับในเมืองเซิ่งจิง ดังนั้นเมื่อฉินหมิงเย่ว์พาเขาไปหาฉินหลิวซี เขาก็ไม่ได้คิดมากเพียงนั้น ไปก็ไป ใครจะคิดว่าจะถูกดุรุนแรงถึงเพียงนี้
แต่คำสั่งสอนของสะใภ้หวังก็มีเหตุผล เดินเข้าเดินออกบ้านคนอื่นเป็นสิ่งที่ไร้มารยาทอย่างยิ่งในฐานะสุภาพบุรุษ
“ท่านอาหญิง ข้าผิดไปแล้วขอรับ ในตอนนั้นข้าเหมือนถูกผีสิง เลอะเลือนไปชั่วขณะ ข้ากลับไปจะไปขอโทษน้องสาวดีๆ” หวังอวี้เชียนเป็นคนปล่อยวางได้ ไม่นานก็รู้สำนึก
สะใภ้หวังถอนหายใจ “เรื่องขอโทษนั่นเจ้าต้องทำอยู่แล้ว อายุเจ้าก็ไม่น้อย โดยเฉพาะเดินทางออกข้างนอก ทำอะไรต้องคิดให้ดี ทำตามใจเหมือนอยู่บ้านไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะไปล่วงเกินคนอื่นโดยไม่รู้ตัว”
หวังอวี้เชียนตอบรับอย่างละอายใจ
ขณะที่สะใภ้หวังว่ากล่าวตำหนิหลานชาย ฉินหลิวซีกำลังจ้องหน้าอนุวั่น เอ่ยให้ชัดคือ จ้องเอาเป็นเอาตาย
อนุวั่นยอมแพ้ นางเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ ออกมาอย่างอึดอัด “ข้า เดิมทีข้าก็ไม่ใช่คนอ่านออกเขียนได้ แต่เจ้าบังคับข้า”
ฉินหลิวซีหัวเราะเสียงเย็น ชูกระดาษที่เขียนอักษรตัวใหญ่แผ่นนั้นขึ้นมา “ข้าบังคับท่าน จนท่านเผยความเป็นตัวเองออกมาน่ะสิ เขียนคำว่าเท้า (足) กลายเป็นวาดรูปคนตัวเล็กกำลังวิ่ง ทำไมท่านไม่ใส่หู ตา คอ จมูก ปากลงไปด้วยเลยเล่า”
อนุวั่นมองกระดาษแผ่นนั้น คำที่ฝึกเขียนคือคำว่า ‘เท้า’ บรรทัดแรกเขียนเหมือนแบบที่เขียนให้ บรรทัดที่สองรูปแบบเริ่มเพี้ยนไป และตัวสุดท้ายที่เขียนก็กลายเป็นคนตัวเล็กๆ ไปแล้ว
สอนเด็กสามขวบยังเขียนได้ดีกว่านางเขียน
อนุวั่นมองบุตรชายเขียนคำว่า ‘เท้า’ แล้วเปรียบเทียบกับที่ตัวเองเขียน อดรู้สึกขาดความมั่นใจจนท้อขึ้นมาไม่ได้ “ข้าเข็นไม่ขึ้น หมดหวังแล้ว”
ใบหน้าฉินหลิวซีทั้งโกรธทั้งขัน หมดหวังแล้วจริงๆ เขียนเท้าเป็นคน เขียนมีดเป็นถ้ำ คำว่าบินสองปีกก็หายไปด้วย แบนราบไปหมด บินบ้าอะไร
นางเงียบไปพักใหญ่ อนุวั่นเปลี่ยนจากขาดความเชื่อมั่นเป็นหงุดหงิดแทน สุดท้ายล้มเลิกความตั้งใจไปเสียอย่างนั้น “ข้าไม่มีพรสวรรค์ ฝึกฝนก็ไม่ดี เจ้าอยากด่าว่าข้าก็เชิญ ข้าไม่ได้อาศัยเขียนอักษรรู้หนังสือเพื่อให้มีข้าวกิน”
“อืม ท่านพึ่งบุรุษ” ฉินหลิวซียิ้มเย็น “คนทั่วไปกล่าวว่า ‘หญิงงาม’ ล่มเมือง ท่านเกิดเป็นหญิงงาม ทำไมไม่ใช้ทักษะของหญิงงามให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาเล่า อักษรก็เขียนไม่เป็น ไม่ต้องเอ่ยถึงพิณหมากหนังสือภาพวาด จะมัดใจชายไว้ได้อย่างไร”
“ข้าจะไม่มีทักษะได้อย่างไรกัน ข้ามีรูปร่างงดงาม เจ้าดูข้า อกเป็นอก สะโพกเป็นสะโพก” นางยืนขึ้น ลูบไรผมเบาๆ อย่างยั่วยวน และยังมองฉินหลิวซีด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “เรือนร่างที่งดงามของข้าคืออาวุธ ยังจะถกอะไรอีก? เจ้าคิดว่าบุรุษในโลกนี้มีความหมายว่าอะไร หากเป็นสตรีหน้าตาหน้าเกลียด บุรุษยังยิ้มหวานกับสตรีที่ถกกันว่าอักษรนี้เขียนอย่างไรงั้นหรือ ข้าจะบอกให้ เมื่อมองสตรีอัปลักษณ์ ในหัวบุรุษผู้รอบรู้วิชายังว่างเปล่าได้ ยังหวังให้เขาเขียนอะไรถ้อยคำสวยงามอะไร เชอะ”
ฉินหลิวซี “…”
ความรู้นี้ของนางช่างร้ายกาจนัก ข้าไม่มีอะไรจะพูด
“ความงามยังมีเวลาสิ้นสุด ท่านไม่คิดถึงตอนแก่ชราหรือ บุรุษที่ไหนจะมองกัน ก็เพียงตอนนี้เท่านั้น หากมีสตรีที่สาวกว่าสวยกว่าท่านข้างกาย บุรุษยังจะสนเจ้าใจเจ้าหรือ”
อนุวั่นกล่าวอย่างดุดัน “นั่นข้าก็ไม่กลัว ข้ามีฮูหยินหนุนหลัง พวกสตรีกรีดกรายไร้ราคาข้างนอกจะเทียบข้าได้อย่างไร” นางยังเอ่ยอีกประโยคในใจว่านางมีบุตรชายบุตรสาว
ถึงเวลาแก่ชราลง บุรุษก็ไม่อาจต้านทานเวลาได้ บุตรชายบุตรสาวคงจะไม่มองข้าหิวจนตายหรอก…ใช่หรือไม่
ฉินหลิวซี “!”
ไม่เคยเห็นอนุภรรยาที่ไม่คิดอยากเลื่อนขั้นเช่นนี้มาก่อนจริงๆ