บทที่ 202 มือของเขาหายไปไหนแล้ว!?
บทที่ 202 มือของเขาหายไปไหนแล้ว!?
สลับไปที่ภาพของท่านอาจารย์ใหญ่และท่านปู่ตระกูลซีที่หลังจากต่อสู้กันมาแล้ว พวกเขาก็กลับมานั่งที่โต๊ะอาหารเดียวกันได้อีกครั้ง
บนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ถูกทักถอด้วยพืชพันธุ์เขียวขจี มีอาหารวางเรียงรายมากมาย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ นกสีทองย่างที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะ ซึ่งถูกกินไปแล้วเกือบหนึ่งในสาม
“เจ้าไม่รู้หรือว่าจะต้องรอให้ท่านปู่ของเจ้ากลับมาก่อน!” เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับศีรษะของซีหลินที่กำลังก้มหน้าก้มตาขะมักเขม้นอยู่กับการกินอาหารถูกฟาดจนใบหน้าเกือบจะจุ่มลงไปในน้ำแกงทะเลร้อน ๆ
“ท่านปู่ ข้าไม่รู้ว่า… พวกท่านจะสู้กันไปถึงเมื่อไหร่นี่ขอรับ” ซีหลินรู้สึกน้อยใจรีบกัดปีกนกตัวใหญ่จนเละเทะเข้าไปอีกคำโต
อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถตำหนิเขาได้ ใครเล่าที่จะสามารถนั่งเฉยอยู่ได้เมื่อเผชิญหน้ากับอาหารเลิศรสมากมายเช่นนี้ หากไม่กวาดมันให้เกลี้ยงก็ถือว่ามีจิตใจที่สูงส่งมากแล้ว!
กาน้ำชาอันวิจิตรขนาดเล็กตั้งอยู่บนโต๊ะ ท่ามกลางไหสุราหลายใบ มันดูเล็กจิ๋วและแปลกประหลาดนัก จึงดึงดูดความสนใจของท่านอาจารย์ใหญ่ได้ในทันที
“นี่คือสิ่งใดกัน?”
กลิ่นหอมของชาที่เล็ดลอดออกมาคล้ายกับกลิ่นของชารู้แจ้งที่เขาเคยดื่มมาก่อน แล้วสิ่งนี้เป็นชารู้แจ้งหรือไม่?
ทั้งกาเชียวหรือ!
มือของท่านอาจารย์ใหญ่ข้างหนึ่งกำลังสั่นเทา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ส่วนอีกข้างก็เตรียมใจอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ เปิดฝากาน้ำชาและสังเกตดูด้านใน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังพลันดับลง เพราะมันไม่ใช่ชารู้แจ้ง
น้ำชาในกานี้มีสีเขียวทอง ทว่าชารู้แจ้งนั้นมีสีทองสว่างและไม่มีสีอื่นเจือปนเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแต่กลิ่นเท่านั้นที่คล้ายคลึงกัน
ถ้าหากชารู้แจ้งมาจากหลิงเยว่จริง ๆ แล้วนางจะมาเปิดร้านอาหารที่ร้านต้องคำสาปนี้ได้อย่างไร?
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านไม่ดื่มหรือ?”
“ชานั่นมีอะไรพิเศษนักหรือ?” ชายชราโยนไหสุราสมุนไพรวิญญาณหนึ่งไหใส่ตักท่านอาจารย์ใหญ่ “ดื่มเถิด!”
ขณะที่เขากล่าว ชายชราก็ยกไหสุราสมุนไพรวิญญาณในอ้อมแขนขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด สุราที่ไหลลงคอทั้งเผ็ดร้อนและหอมหวน ในชั่วพริบตาที่ร่างกายกำลังจะละลายเพราะความร้อน ลมปราณเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว ขับไล่ความร้อนและความเผ็ดจนเกิดเป็นความรู้สึกที่ชวนให้หลงใหล
สดชื่นยิ่งนัก!
สุราสมุนไพรวิญญาณในไหใบใหญ่ถูกชายชราดื่มจนหมดสิ้น แม้แต่หยดสุดท้ายที่ไหลเปื้อนอยู่มุมปาก เขายังเลียเสียจนสะอาดเกลี้ยง
“สาวน้อย เจ้าไม่ต้องชงชาแล้ว รินสุรามาให้เลยมีเท่าไหร่ข้าขอเหมาหมด!”
“เหมาหมดเลยหรือเจ้าคะ?” หลิงเยว่ซักถามกับชายชราอีกครั้ง หากนับรวมของนางและลูกศิษย์แล้วมีมากถึงพันกว่าไห
สุราสมุนไพรวิญญาณพิเศษแต่ละไหถูกตั้งราคาขายไว้ตั้งแต่หนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งล้านหินวิญญาณ ยิ่งเก็บไว้นานปราณในสุราก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ย่อมส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้นตามกาลเวลา
ถุงใส่หินวิญญาณถูกวางลงบนโต๊ะอย่างแรง “ในถุงนี้มีหนึ่งพันล้านหินวิญญาณ เพียงพอหรือไม่!”
“พอเจ้าค่ะ เพียงพอแล้ว” หลิงเยว่รับถุงใส่หินวิญญาณไปด้วยความยินดี “ท่านรอสักครู่ ข้าจะรีบไปนำมาให้ท่านเดี๋ยวนี้!”
สุราพันกว่าไหยังถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ลูกศิษย์แต่ละคนเฉลี่ยแล้วทำได้คนละห้าสิบไห รวมกับของหลิงเยว่มีทั้งหมดสองพันหกร้อยไห
สุราสมุนไพรวิญญาณที่เพิ่งหมักเสร็จใหม่ตั้งราคาขายไว้ไหละห้าหมื่นหินวิญญาณ เมื่อรวมกับชุดอาหารจักรพรรดิที่ราคาร้อยแปดสิบล้านทั้งโต๊ะ มูลค่ารวมจึงอยู่ที่สามร้อยล้านเท่านั้น สุดท้ายหลิงเยว่จึงคืนหินวิญญาณอีกเจ็ดร้อยล้านให้ท่านปู่ของซีหลิน
“ใช้ได้ เพียงพอให้ข้าดื่มได้สักพักใหญ่แล้ว” ชายชราเก็บสุราลงในถุงอย่างพึงพอใจ ก่อนจะโยนถุงหินวิญญาณคืนเข้าไปในอ้อมอกของหลิงเยว่อีกครั้ง “สาวน้อยผู้นี้ไม่เลวเลย มีแววด้านการค้า หินวิญญาณที่เหลือก็เอาไปซื้อเหล้าเถิด เหลือเท่าไหร่ซื้อให้หมด!”
ใจของหลิงเยว่ราวกับได้รับการรักษาในทันใด
เมื่อได้สุราสมุนไพรวิญญาณแล้ว ชายชราก็ไม่สนใจหลานรักอีกต่อไป บนโต๊ะจึงเหลือเพียงซีหลินกับอาจารย์ใหญ่ซึ่งยังคงกินอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านอาจารย์ใหญ่เจ้าคะ ท่านจะไม่ดื่มชาสักหน่อยหรือ? หากไม่ดื่มข้าจะเก็บแล้ว”
อาจารย์ใหญ่รู้สึกว่าคำกล่าวของหลิงเยว่มีความหมายบางอย่าง จึงรินชาให้ตนเองหนึ่งถ้วย ก่อนจะจิบลงไปเพียงเล็กน้อย รสชาติ… คล้ายคลึงกับชารู้แจ้งนัก เพียงแต่ว่ามีกลิ่นหอมพิเศษอย่างหนึ่ง เมื่อดื่มหมดถ้วย ความสามารถทางด้านการแปลงกายไม่ได้ปรากฏ
“ชาของเจ้าเลียนแบบไม่สำเร็จ”
ความคิดแยบยลล้ำเลิศจริง อาจารย์ใหญ่พิจารณาถ้วยชาในมือ ชารู้แจ้งเลียนแบบได้ง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ? จวบจนบัดนี้เขายังคงแยกไม่ออกว่าชานั้นใช้สมุนไพรวิญญาณกี่ชนิด และเป็นชนิดใดบ้าง?
ส่วนใหญ่เป็นเพราะคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณพิเศษเหล่านั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก ค้นคว้าตำราสมุนไพรวิญญาณพิเศษทั่วทั้งเล่มก็ยังหาที่ตรงกันไม่ได้
ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!
เมื่อได้ยินประโยคนี้จากท่านอาจารย์ใหญ่ หลิงเยว่ก็วางใจ นางได้ผสมชารู้แจ้งเพียงครึ่งหยดลงไปกับปี้สุ่ยเย่และสมุนไพรวิญญาณพิเศษนานาชนิด ชงเป็นชาอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่มีผลทำให้ร่างกายเกิดการแปลงกายได้
ถึงอย่างไร… นางยังคงสรรพคุณเดิมไว้ เพียงแต่สรรพคุณของชาชนิดนี้ไม่ฉับไวเหมือนชารู้แจ้งที่สามารถแปลงกายได้
ส่วนสรรพคุณที่แท้จริงคือสิ่งใด หลิงเยว่เองก็ไม่อาจจะทราบได้เหมือนกัน แต่ว่านางรู้อย่างแน่ชัด และมั่นใจว่าสรรพคุณนั้นคงจะไม่เลวร้ายเกินไปนัก!
เมื่อค่ำคืนมาเยือน ลูกค้าทั้งสองโต๊ะได้กลับไปหมดสิ้น
แม้ว่าร้านต้องคำสาปเล็ก ๆ แห่งนี้จะมีลูกค้าเพียงสองโต๊ะในวันแรก แต่หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีกำไรถึงหนึ่งร้อยสามสิบล้านหินวิญญาณ โดยยังไม่รวมรายได้พิเศษจากสุราสมุนไพรวิญญาณ
“เช่นนี้ย่อมได้กำไรกว่าการขายโอสถระดับต่ำเสียอีก!” ลูกศิษย์ทั้งหลายจ้องมองหินวิญญาณที่กองเป็นภูเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
“จริงอย่างที่ข้าเคยบอกพวกเจ้า ว่าข้าจะทำให้พวกเจ้ามั่งคั่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องหลอกลวง!” หลิงเยว่แจกจ่ายหินวิญญาณแก่ลูกศิษย์ของนางคนละสองล้านห้าแสนหนึ่งหมื่นหินวิญญาณ โดยหนึ่งหมื่นที่เพิ่มให้นั้นก็คือค่าจ้างของวันนี้
เช่นเดียวกันกับหัวหน้าตะขาบมรกตที่ได้รับหนึ่งหมื่นหินวิญญาณถึงกับตกตะลึง “ข้า… ก็ได้ด้วยหรือ?”
ความประหลาดใจบังเกิดขึ้นฉับพลัน หนึ่งหมื่นหินวิญญาณ เงินก้อนมหาศาลนี้จะใช้จ่ายเช่นไรดี!?
หัวหน้าตะขาบมรกตคิดว่าเป็นเรื่องน่าปลาบปลื้ม แต่เหล่าลูกศิษย์กลับรู้สึกว่าอาจารย์นั้นตระหนี่เกินไป พวกเขาทำงานหนักตรากตรำถึงสิบวัน ทั้งยังต้องรับหน้าที่เป็นพ่อครัวและผู้ที่คอยบริการในร้านอีก นอกจากนี้ยังต้องเสี่ยงกับคำสาปด้วย หนึ่งหมื่นหินวิญญาณหรือ อาจารย์กล้าให้ได้อย่างไร!
เมื่อถูกสายตาทั้งห้าสิบคู่จ้องมองด้วยความรู้สึกไม่พอใจ หลิงเยว่ก็ลูบใบหน้าของตนเองแล้วเอ่ยว่า “อย่างไร? พวกเจ้าไม่พอใจค่าจ้างหรือ? ถ้าไม่พอใจก็เอาคืนมาเถิด” กล่าวจบ นางก็ทำทีว่ายึดหินวิญญาณคืน
นางเสียดายหินวิญญาณจำนวนห้าแสนที่ให้เพิ่มไปนักหนา หากสามารถยึดคืนมาได้นั้นย่อมดีกว่า!
“เปล่าขอรับ พวกข้าไม่คิดเช่นนั้น” เหล่าลูกศิษย์รีบเก็บหินวิญญาณไปทันที รับหนึ่งหมื่นย่อมดีกว่าไม่ได้เลย!
หลิงเยว่พลันรู้สึกเสียดายที่ต้องเก็บมือเปล่ากลับคืน
ในวันแรกมีลูกค้าแปลกหน้ามาอุดหนุนเพียงแค่คนเดียว หมายความว่าต่อไปนางจะทำการค้าขายได้แค่กับลูกค้าประจำได้อย่างเดียวหรือ?
หากพึ่งพาแต่คนรู้จักเช่นนี้ เมื่อไหร่นางจะรวบรวมห้าหมื่นล้านได้สำเร็จเล่า?
หลิงเยว่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะควบคุมอารมณ์หงุดหงิดของเจ้าอีกาสุริยันตัวน้อยนี้เอาไว้ไม่อยู่แล้ว เกรงว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางจะโกรธจนเผาทำลายร้านต้องคำสาปหลังน้อยแห่งนี้เสียสิ้น
ถึงแม้ว่าน้ำและไฟจะไม่สามารถทำลายร้านต้องคำสาปเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ แต่ไฟที่ว่านี้ไม่รวมถึงเปลวเพลิงแห่งสวรรค์
กลอุบายในเมืองฮั่วหยางนั้นย่อมไม่อาจใช้การในเมืองฝู่ซางได้ และคำสาปของร้านแห่งนี้ก็เป็นที่เลื่องลือมากอีกด้วย ท้ายที่สุดหลิงเยว่จึงสรุปได้ว่า การจะกินคนอ้วนทั้งตัวทีเดียวคงไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป
หากมีลูกค้าก็ขายของรับหินวิญญาณ หากไม่มีก็สอนลูกศิษย์ใช้คาถาเร่งฟักไข่ และเร่งให้สมุนไพรวิญญาณพิเศษงอกเงย ขณะเดียวกันก็บำเพ็ญไปด้วย
กล่าวคือ… เป็นการเปิดร้านแบบปล่อยวาง!
หลังจากกินอาหารมาทั้งวัน อาจารย์ใหญ่ก็กลับมาที่สำนัก และนั่งสมาธิเข้าสู่ภาวะบำเพ็ญเพียร
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ความง่วงก็บุกเข้ามาอย่างรุนแรง ตามมาด้วยการที่ศีรษะโน้มเอียงแล้วหลับไป
อาจารย์ใหญ่ซึ่งจิตหลุดออกจากร่างแล้ว เขามองร่างจริงของตนเองอย่างสับสน คิดจะยกมือจับศีรษะของตน แต่แล้ว…
มือของเขาอยู่ที่ใด? มือเขาหายไปไหนแล้ว!
ขณะนั้นอาจารย์ใหญ่พลันเกิดอาการมึนงงและตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากนั้นสมองที่มึนงงกลับแจ่มใสขึ้นทันที เมื่ออาจารย์ใหญ่ก้มลงมองก็เห็นว่าร่างกายของตนเองได้เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นลำตัวของตะขาบมรกตที่มีลำตัวเป็นปล้อง ๆ
ร่างกายนี้ ช่างคุ้นตานัก… ในขณะที่ครุ่นคิด เขาก็ขยับปีก
ปีก!?
อาจารย์ใหญ่หันศีรษะไปมองปีกที่กำลังกระพืออยู่ด้านหลัง คาดการณ์ได้ในทันทีว่าร่างจิตของตนเองได้กลายร่างไปแล้ว…
กลับกลายเป็นตะขาบมรกตสี่ปีก!
หากจะพูดถึงตะขาบมรกตนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลิงเยว่เป็นคนแรก
ต้องเป็นเพราะน้ำชากานั้นอย่างแน่นอน!