Ch.53 – การพบกันของราชาผู้พิชิตกับขุนศึกรูปงาม(ตามข่าว)กับม้าดำ
Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author
วันต่อมา
ผมถือแผนที่ที่ได้มาจากองค์หญิงซิลเวียร์กับจดหมายแนะนำตัวจากองค์หญิงเรเนสไว้แล้วออกเดินทาง
เป้าหมายก็คือปราสาทที่อยู่ทางตะวันตกที่สุดของเขตเจ้าเมืองคิโทล
ใกล้ๆปราสาทมีทะเลสาปอยู่ ดูเหมือนริมๆนั้นจะมีซากปรักหักพังที่หลงเหลือมาจากสมัยจักรพรรดิมังกรอยู่
บางทีที่นั่นอาจจะมีวงเวทสำหรับเขตแดนอยู่ก็เป็นไปได้
ถ้าใช้งานวงเวทได้ก็สามารถกางเขตแดนได้ ถ้ามีเขตแดน ผมก็สามารถใช้ทหารลูกน้องได้
หรือก็คือสามารถจบได้โดยที่ผมไม่ต้องออกไปแนวหน้า
ไม่ต้องให้ผมบินแล้วพ่นไฟจากบนฟ้า ไม่ต้องให้เรียกมังกรสองเศียรออกมา
ตามตรงก็คือ ไม่อยากจะสู้กับอีกฝ่ายที่มีเป็นกองทัพด้วย ไม่อยากจะให้ชื่อ[ราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์]มันแพร่กระจายไปมากกว่านี้ มากางเขตแดนที่นี่แล้วขับไล่ศัตรูอย่างสงบๆจะดีกว่า
ด้วยเหตุนั้น หลังจากมาถึงปราสาททางตะวันตก ผมก็ส่งจดหมายแนะนำจากองค์หญิงเรเนสให้คนเฝ้าประตู
ให้ขุนศึกของปราสาทนี้เป็นคนนำทางไปยังซากปรักหักพัง
ก็ได้ยินมาว่าเป็นขุนศึกที่รูปงามอยู่หรอก–
ขณะที่คิดแบบนั้น ก็มีขุนศึกที่สวมหมวกเกราะคาบูโตะมาหาพวกเรา
ภายใต้เกราะหนาไม่เห็นใบหน้าเลยสักนิด ที่รู้ก็มีแค่ดวงตาเป็นสีฟ้า กับผมสีน้ำตาลเท่านั้น
เธอเป็นลูกน้องของเรเนส ขุนศึกรูปงาม ฮิลก้า–น่าจะใช่นะ
“พวกคุณคือกลุ่มคนที่จะมาสำรวจ[หอคอยอสูร]งั้นเหรอ”
“ตามนั้นล่ะ ขอฝากตัวด้วยล่ะ”
“…จดหมายขององค์หญิงเรเนส เขียนไว้ว่าให้ช่วย[ราชาแห่งชายแดน]”
ขุนศึกฮิลก้ามองมาทางนี้ด้วยสายตาราวกับกำลังประเมินค่า
“คุณ คือคนคนนั้นไม่ผิดแน่นะ”
“อา”
ผมพยักตอบไปแบบ[ราชาแห่งชายแดน]
“ที่เรียกว่า[หอคอยอสูร] คือซากนั่นเหรอ”
“อา ฉันเป็นคนตั้งเองน่ะ”
ขุนศึกฮิลก้าพยักหน้าตอบ
ไม่เห็นสีหน้าเลยสักนิด แต่น้ำเสียงรู้สึกถึงความจริงจัง
ที่ตั้งชื่อว่า[หอคอยอสูร]ท่าทางจะไม่ใช่เพราะเท่สินะ ถ้าอย่างนั้น…
“อย่างนี้นี่เอง…ถ้าตั้งชื่อว่า[หอคอยอสูร]ก็จะเข้าใจได้ทันทีเลยว่ามีอสูรอยู่ พลเมืองเองก็จะไม่เข้ามาง่ายๆ ที่ตั้งชื่อแบบนั้นก็เพื่อความปลอดภัยสินะ”
“โฮะโฮ๊ ท่าทางชื่อ[ราชาแห่งชายแดน]จะไม่ใช่แค่ของประดับสินะ”
ขุนศึกเคาะดาบที่ห้อยอยู่ที่เอว
“อย่างนี้นี่เอง แล้ว สำรวจหอคอยนั่นแล้วจะทำอะไรต่อล่ะ?”「なるほど、その察しの良さで亜人(あじん)を味方につけたか。我が主君たるレーネス姫さまが願いを聞いたのもわかる。されど、あの塔を調べてどうするつもりだ?」
“นั่นสินะ”
เรื่องของเขตแดน เป็นความลับของชายแดนอยู่
ตรงนี้ก็ตอบให้คลุมเคลือไว้ก่อนดีกว่า
“ที่ตามหาซากปรักหักพังในสมัยจักรพรรดิมังกร ก็เพื่อที่ข้าจะรวบรวม[รั้ว(เฮ)]ยังไงล่ะ ในการป้องกันการบุกของ[สิบปราชญ์]ก็จำเป็นต้องมี[ทหาร(เฮ)]ใช่ไหมล่ะ”
“เกี่ยวกับการบุกของ[สิบปราชญ์]กับญาตินั้น ก็เขียนอยู่ในจดหมายขององค์หญิงแล้วล่ะ แต่ว่า ที่นี่ไม่มีทหารของชายแดนหรอกนะ?”
“แค่ยูกิโนะ ดราก้อนไชน์ที่อยู่ที่นี่ ก็มีพลังเทียบเท่ากับทหารหัวกระทิ100นายแล้วล่ะ”
พอผมพูดออกไป ยูกิโนะก็เอาผมหน้ามาปิดตาข้างหนึ่ง แล้วเอาผ้าพันแผลพันมือซ้าย
แขนขวาไว้ข้าง แขนซ้ายตั้งไว้ข้างหน้า ชูนิ้วกลางและนิ้วชี้มือซ้ายออกมา แล้วโพสต์ท่าบิดตัวแบบแปลกๆ
เข้าใจแล้วล่ะ
“แต่ว่า ยังไงจำนวนก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นข้าจึงคิดที่จะรวบรวม[รั้ว(เฮ)]เพื่อป้องกันทัพศัตรูที่แผ่นดินนี้”
“[ราชาแห่งชายแดน]!? จะเกณฑ์ทหาร(เฮ)ในเขตเจ้าเมืองคิโทลแห่งนี้งั้นเหรอ!?”
“ถ้ามีคนยอมก็ดีหรอก”
“ว่ายังไงดี ชิลจริงนะ”
พูดแบบนั้นแล้วขุนศึกฮิลก้าก็ยักไหล่
“คนของเขตเจ้าเมืองคิโทลมีความภาคภูมิใจอันสูงส่ง ไม่ยอมมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาเขตอื่นง่ายๆหรอก”
“แค่นิดหน่อยก็ยังดี ถ้ามี[รั้ว(เฮ)]ที่จะมาเป็นลูกน้องของข้า ถ้าได้เห็น คนอื่นก็อาจจะยอมให้ยืมพลังด้วยก็ได้”
“ทหาร(เฮ)เหรอ?”
“[รั้ว(เฮ)]น่ะ”
“…จะยังไง คุณก็คือพันธมิตรคนสำคัญ จะช่วยเท่าที่ทำได้ละกัน”
แม่ทัพฮิลก้าออกเดินไปหาพวกทหารที่อยู่หน้าประตู
ทหารทั้งหมด มัดผ้าสีเดียวกันอยู่ที่แขน ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องของขุนศึกฮิลก้า
“ขอ2นายให้ตามมา คนอื่นก็ เป็นทูตไปที่เมืองรอบๆ รายงานสถานการณ์เฉพาะกับหัวหน้าของเมืองเท่านั้นล่ะ ตอนที่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องของศัตรูมาแล้ว ก็จะทำการอพยพผู้คนมาที่ปราสาทนี้ พวกข้าราชการก็ทำการตรวจสอบเสบัยงอาหารซะ อย่าได้ลืมเก็บน้ำด้วย ฉันจะกลับมาราวๆตอนเย็น ตอนนั้นก็รายงานมาล่ะ”
ขุนศึกฮิลก้าออกคำสั่ง
พวกทหารพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง พอสั่งเสร็จก็ขี่ม้าแล้ววิ่งออกไป
เข้าใจได้เลยว่าทุกคนเคารพในตัวขุนศึก
“…ท่าทางจะเป็นคุณขุนศึกที่ดีนะ”
“…เกี่ยวกับขุนศึกรูปงามฮิลก้า ก็ได้ยินข่าวลือที่เมืองหลวงมาบ้างค่ะ เห็นบอกว่าเพื่อปิดบังใบหน้าที่งดงามจนเกินไปก็เลยสวมเกราะกับหมวกเกราะคาบูโตะเอาไว้ต่อหน้าผู้คน”
“…แล้วจะติดเขากับพู่ที่หมวกคาบูโตะทำไมล่ะ?”
“…ก็เพราะว่าเท่ไม่ใช่เหรอคะ เข้าใจความรู้สึกดีเลยค่ะ”
“…ก็เข้าใจหรอก…แต่ที่โล่ก็มีติดสัญลักษณ์มังกรอยู่ด้วยสิ”
“…เท่สุดๆไปเลยนะคะ”
“…ท่าทางจะสุดยอดนะ”
“…คนที่ติดสัญลักษณ์ที่เท่ขนาดนั้น ไม่มีทางเป็นคนไร้ความสามารถหรอกค่ะ”
“…ไม่อยากจะเห็นด้วยเลยแฮะ”
ระหว่างที่ผมกับยูกิโนะพูดกัน ขุนศึกฮิลก้าก็ขี่ม้ากลับมา
“กว่าจะไปถึง[หอคอยอสูร]ก็ไกลอยู่ จะให้ทหารพาม้ามาให้รอหน่อยล่ะ”
“ม้าเหรอ?”
“ก็เดินมาจนถึงนี่ไม่ใช่เหรอ?”
จะว่าไปพวกเราก็ลงจอดห่างจากปราสาทหน่อยๆแล้วเดินมานี่นะ
นะหว่างทางที่บินมาก็ใช้พลังเวทของ[ปักษา]ไป1ใน3แล้ว ก็อยากจะเหลือไว้ใช้ยามฉุกเฉินหน่อย ตรงนี้ก็ขอทำตามที่บอกละกัน
“ยูกิโนะขี่ม้าได้ไหม?”
“ได้ค่ะ เพราะเป็นสกิลที่จำเป็นสำหรับกลียุคนี้ ท่านเทพธิดาถึงได้ให้[สกิลขี่ม้า]มาค่ะ”
ดูเหมือนจะได้รับการดูแลหลังการขายมาด้วยแฮะ
งั้นเหรอเนี่ย จะให้ผู้กล้าที่จะมากอบกู้ยุคมืดนี้เดินเท้าเปล่าไม่ได้สินะ
ผู้กล้าที่ขี่ม้าเดินทางไปตามทวีปใหญ่…ดีจังเลยนะ
“…สมกับเป็นผู้กล้ากลับชาติมาเกิดแบบเป็นทางการของเทพธิดาจังเลยนะ”
“แต่ราชาข้ามโลกแบบบริการตัวเองเท่กว่านะคะ”
“แต่ไม่มีสกิลขี่ม้านะ?”
“การควบม้าของราชาเป็นหน้าที่ของลูกน้อง(ฉัน)ค่ะ คุณโชมะ”
ยูกิโนะกระพริบตาข้างหนึ่งให้ผม
ในโลกเดิมยูกิโนะนั้นป่วยตายในช่วงมอต้น เพราะป่วยหนักก็เลยตัวเล็ก รูปร่างไม่ต่างอะไรจากเด็กประถม ถ้าเป็นม้าตัวใหญ่ก็สามารถขี่ได้2คน
[โบร๊ววววววววววว!]
–พอคิดแบบนั้น อยู่ๆก็มีม้าตัวใหญ่มากเข้ามา
“ไอ้เจ้าโง่! มีใครที่ไหนเอาม้าที่พยศแบบนี้มากัน!!”
แม่ทัพฮิลดาตะโกนออกมา
ที่ทหารนำออกมาก็คือ ม้าดำที่ตัวใหญ่กว่าตัวอื่นๆเกือบเท่าตัว
มีทหารหลายนายจับบังเหียนที่ติดกับม้าเอาไว้ ม้านั้นพ่นลมหายใจออกมา แล้วก็ส่ายหัวอย่างแรง แล้วก็มีทหารอีกคนอุ้มถังที่ใส่หญ้าเลี้ยงมาตรงหน้าของม้า ดูเหมือนจะใช้เป็นเหยื่อล่อ
“จะ เจ้านี่มันตัวที่แม้แต่ท่านเจ้าเมืองคิโทลก็ยังขี่มันไม่ได้ สุดท้ายก็เลยได้แต่ปล่อยมันทิ้งไว้ไม่ใช่เหรอไงกัน เอาม้าคลั่งแบบนี้มาให้แขกขององค์หญิงเรเนสได้ยังไง! ไอ้เจ้าบ้า!”
“ถึงจะคลั่งแต่ก็เป็นม้าที่มาจากตะวันตกไกล มีขาอันกำยำนะขอรับ ไม่คิดว่าเหมาะกับม้าขี่ของผู้ที่บอกว่าตนเป็น[ราชาแห่งชายแดน]เหรอขอรับ?”
ทหารคนหนึ่งพ่นลมหายใจออกมา
“ถ้าใช้ชื่อว่า[ราชาแห่งชายแดน]ล่ะก็ แค่ม้าพยศตัวเดียวก็น่าจะขี่ได้ไม่ใช่เหรอไง”
“ก็เป็น[ราชาแห่งชายแดน]ไม่ใช่เหรอ ก็เหมาะกับม้าตัวนี้ดีนี่”
“ก็น่าจะคุมง่ายกว่าพวกอมนุษย์นี่นา?”
อา เป็นแบบนี้สินะ
ขุนศึกฮิลก้าเป็นลูกน้องขององค์หญิงเรเนส แล้ว องค์หญิงเรเนสจนถึงเมื่อเร็วๆนี้ ยังดูถูกทางนี้อยู่เลย ระดับที่ท้าทดลองรบมาทันที
ถึงขุนศึกฮิลก้าจะต้อนรับอย่างมีมารยาท แต่ลูกน้องก็ยังดูถูกผมกับอมนุษย์อยู่สินะ
น่ารำคาญจริง
…เอาเถอะ จะยังไงก็ช่าง
ทางนี้ก็แค่มาเพื่อรักษาความสงบของเขตแดนเพื่อนบ้าน
ถ้า[สิบปราชญ์]ยึดไปได้ คงหลีกเลี่ยงปัญหาเพื่อนบ้านไม่ได้แน่ๆ
“เอาล่ะ รับบังเหียนไปสิ [ราชาแห่งชายแดน]”
“ขอดูหน่อยได้ไหม? กึ๋นของคนที่กล้าเรียกตนว่าราชาน่ะ”
“เอาล่ะ รับบังคับม้านี้ซะสิ”
พวกทหารยื่นบังเหียนมาให้ผม
“ขอโทษที [ราชาแห่งชายแดน] จะรีบเตรียมม้าตัวอื่นมาให้”
ถึงขุนศึกฮิลก้าจะพูดแบบนั้น…แต่ม้าตัวนี้ เกราะกำลังดีกับการขี่2คน
…อืม
“เป็นม้าที่ดีนี่ ขอยืมหน่อยละกัน”
ผมรับบังเหียนมาพร้อมกับพูดคำพูดที่อยากจะพูดสักครั้งในสมัยจูนิเบียว
ทันใดนั้นก็ใช้งาน[ปลุกเผ่ายักษา]
เพราะใส่หมวกอยู่ รอบๆก็เลยไม่มีทางเห็นเขาได้
แล้วผมก็ใช้[Orge Force(พลังยักษ์)]เพิ่มพละกำลังดึงบังเหียนเบาๆ
[โบ๋? โบร๊ววววววววว!!]
กึ๊ก
ม้าดำอาละวาด
ไม่รู้พวกทหารปล่อยมือตั้งแต่เมื่อไหร่ คนที่กำบังเหียนเลยมีแต่ผมคนเดียว
พอมองแบบแล้วม้าตัวนี้ ก็ใหญ่จริงๆ น่ากลัวจัง
บังเหียนส่งเสียงกึ๊ดกึ๊ดไม่หยุด ถ้าเป็นแบบนี้เจ้านี่ได้ขาดแน่
“[ม้าดำผู้องอาจเอ๋ย ได้ยินเสียงของข้าหรือเปล่า]”
พลัง[ราชา]ของผม มีพลังในการสื่อสารกับคนของต่างโลก
ต่อให้เป็นม้า ถ้าตั้งใจก็อาจจะสื่อสารกันได้เข้าใจ
“[นามของข้าคือราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์ คิริวโอ โชมะ เป็นพันธมิตรขององค์หญิงแห่งดินแดนนี้ มาเพื่อทำการสำรวจซากโบราณสถานในยุคสมัยของจักรพรรดิมังกร]”
[…บลุลุ? บุลุ ]
“[อยากจะขอยืมหลังของเจ้าไปจนถึงสถานที่หนึ่ง จะขอความร่วมมือได้หรือไม่?]”
[……บลุ]
“[ร่างกายอันใหญ่โต กำลังอันล้นเหลือ เป็นเชื้อสายของม้ามีชื่อสินะ ถ้าปล่อยให้อาละวาดอย่างเดียวจนไม่ได้ใช้งานพรสวรรค์นั่น คุณค่าของเจ้าก็จะไม่ถูกแสดงออกมา ข้า–]”
“ในรุ่งสาวที่พลังใหม่ถูกปลุกขึ้น จนเป็นราชาที่แท้จริง–”
“[–ในฐานะผู้ที่จะขึ้นขี่บนหลังของเจ้า จะเป็นผู้ที่บอกเล่าเรื่องราวจนไปถึงยังโลกหน้าให้เอง ดังนั้น–]”
“ถ้าปรารถนาที่จะเป็นม้าคู่ใจของราชาผู้พิชิตแห่งชายแดน คิริวโอ โชมะล่ะก็–”
“[จงมากอบกู้ยุคมืดนี้ไปด้วยกันเถิด ในยามที่ตัดสินกับเทพธิดาผู้เป็นศัตรูคู่อาฆาตของข้าก็จะขอใช้หลังของเจ้า]–เฮ้ย เดี๋ยวเถอะ ยูกิโนะ”
อย่าแทรกอะไรแปลกๆเข้ามาสิ นี่ทำท่าจะให้ขี่อยู่แล้วนะ ให้ตายสิ
[โบ๊! โบร๊ววววววววว!! โอ๊ววววววว!!]
ม้าดำส่งเสียงร้องออกมา
บังเหียนที่มันดึงไปเต็มแรงก็ถูกผ่อนแรงลง
แล้วม้าก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ผม
“โอ้!! โกหกน่า? ม้าพยศนั่น–”
“เอาแก้มไปซุก[ราชาแห่งชายแดน]ด้วย…? ยอมรับจากใจงั้นเหรอ!?”
“…ข้า…ประเมืน[ราชาแห่งชายแดน]ต่ำไป…”
“มะ ม้าดำ[ซังคูโคคุโย(นิลผ่าสวรรค์)]ที่ฉันคิดว่าสักวันจะทำให้เชื่องแล้วเอามาใช้เป็นม้าคู่ใจ…!?”
พวกทหารส่งเสียงออกมาพร้อมกัน
แล้วคุณขุนศึกฮิลก้าตั้งชื่อเท่ๆแบบนั้นไว้ด้วยเหรอเนี่ย
…เป็นชื่อที่ดีนี่ ขอยืมหน่อยละกัน
“ยูกิโนะ ขี่ได้ไหม?”
“ค่ะ คุณโชมะ”
ยูกิโนะเหยียบโกลน ขึ้นไปนั่งบนอานม้า
ถึงจะทำท่าไม่พอใจที่ผม[ช่วยพยุงขึ้น]ให้ก็เถอะ…แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ม้านี่ มันสูงมากเลยนี่นา ส่วนผมก็ใช้[ปลุกเผ่ามังกร]แล้วกระโดดขึ้นไปเลย
[บร๊าวววววววววว!!]
พอผมกำบังเหียน ม้าดำก็ร้องออกมาอย่างพอใจ
“ถ้าอย่างนั้น แม่ทัพ ช่วยนำทางไปยัง[หอคอยอสูร]ทีสิ”
“อะ อืม!”
ขุนศึกฮิลก้า ตบม้าขาวเบาๆ
แล้วมองจ้องพวกทหารจากบนม้า
แล้วอยู่ๆพวกทหารก็คุกเข่าแล้วเอาหัวหน้าผากติดพื้น ตัวสั่นไม่หยุด แล้วจะมาก้มหัวให้ผมทำไมเนี่ย?
“ถะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปยัง[หอคอยอสูร]กันเถอะ ตามมาได้เลย[ราชาแห่งชายแดน]!”
ขุนศึกฮิลก้าฟาดแส้ไปที่ม้าแล้วออกวิ่ง
“ถ้าอย่างนั้นยูกิโนะ ขอฝากที่เหลือด้วยล่ะ”
“ค่ะ นายของเรา”
ยูกิโนะสูดลมหายใจเข้าแล้วกำบังเหียน
“ไปเลย! วิ่งทะลวงผ่าสวรรค์ออกไปเลย! ด้วยนามของ[คิริวโอ โชมะ] จงใช้ขาคู่นั้นวิ่งฝ่ากองทัพนับพันไปเลยม้าดำที่แข็งแกร่งที่สุด [ซังคูโคคุโย]!!”
“อ๊าา ฉันเป็นคนเรียกชื่อนั้นแท้ๆ–!”
“ก็แค่ยืมนี่นะ ม้านี่ ไม่ได้จะเอาเป็นของตัวเองหรอกนะ?”
[บร๊าาาาาาาาาาาาา—-!!]
ม้าดำ[ซังคูโคคุโย]พ่นลมหายใจออกมาแล้วก็วิ่งผ่านม้าขาวของขุนศึกไป แถมยังแทบไม่มีการสั่นเลย ดูเหมือนจะวิ่งโดยคำนึงถึงสมดุลของผมกับยูกิโนะอย่างดี สมเป็นม้าชั้นเลิศจริงๆ
“…รู้ทางสินะ?”
[ฟู่! (ฝากได้เลย เสียงหายใจประมาณนั้น)]
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ฝากด้วยล่ะ”
แล้วผมกับยูกิโนะก็ตรงไปยัง[หอคอยอสูร]พร้อมกันกับม้าที่ได้ใจแบบสุดๆ