Ch.60 – ราชาผู้พิชิตกับ[พลังเต็ม100] พูดคุยเรื่องแผ่นดิน
Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author
──มุมมองทัพศัตรู──
“ขอประกาศให้กับพวกทหารนอกกฎหมาย ที่มาบุกยังอาณาเขตของเรา!”
ได้ยินเสียงมาจากอีกฝั่งของกำแพง
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเดินของพวกทหารหลายนาย
“ทุกนายจงลงจากม้าและทิ้งอาวุธซะ! ท่านเรเนส คิโทลตัวแทนเจ้าอาณาเขตไม่ประสงค์จะมีการหลั่งเลือด! ถ้ายอมจำนนจะไว้ชีวิต ขอทวนอีกครั้ง ทุกนาย ลงจากม้าและทิ้งอาวุธซะ!”
เหงื่อเย็นๆไหลลงจากหน้าผากของเสนาธิการ นีล
มัโทคิ โฮเซเป็นขุนศึก กับทหารม้า600นายบุกมายังอาณาเขตนี้ ขุมกำลังทั้งหมดนั่น ถูกขังอยู่ในรั้วสูงนี้
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้กัน
พร้อมกับประตูปราสาทเปิดออกพวกเราก็บุกเข้าไปภายในปราสาท ในตอนนั้นก็ติดกับดักเรียบร้อยแล้ว
หอคอยที่ควรจะอยู่ตรงกลาง สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ราวกับงานตัดแปะ เป็นกำแพงที่ปิดภายในปราสาท พวกทหารราบของกองทัพเจ้าเมืองคิโทลได้ซ่อนตัวอยู่ในเงาของมันแล้วก็หายไปไหนไม่รู้ ตอนที่รู้ตัวพวกเราก็ถูกขังไปแล้ว
“เป็นไปไม่ได้…ราวกับว่าปราสาทนี้ มันมีชีวิตเป็นของตัวเองเลย”
[–เฮฮ]
แล้วก็เสียงปริศนาที่ได้ยินตั้งแต่เมื่อสักครู่
ดูเหมือนว่าตอนที่ไม่รู้ตัวเสียงร้องของพวกทหารที่เขตเจ้าเมืองคิโทลกลายเป็น[เฮฮ]ไปแล้วฃ
ถึงจะเป็นเสียงที่ดูโง่ๆ แต่กลับกันมันกลับน่ากลัว
เพราะว่าทั้งๆที่อยู่ต่อม้าพวกเราทหารม้าแท้ๆ แต่ทหารของเขตเจ้าเมืองคิโทลกลับยังทำตัวสบายๆได้
“บ้าเอ๊ย! ใครจะไปยอมวะ! ถ้าเรื่องจำนวนทางนี้เหนือกว่านะว้อย!!”
อยู่ๆก็มีทหารหนึ่งนายลึกขึ้นจากบนม้า
“กำแพงพรรค์นี้จะปีนขึ้นไปให้ดู! ทุกคน จับอาวุธ! รีบๆออกไปจากที่นี่แล้วจัดการพวกทหารในปราสาทกันเถอะ!”ฃ
“เจ้าบ้า! หยุดเลยนะเว้ย!!”
(ไอ้คุณท่านขุนศึก! เพราะว่ารวบรวมพวกนิสัยแบบเดียวกับตัวเองนี่ล่ะถึงได้เป็นแบบนี้!!)
กองทัพของโทคิ โฮเซยังไม่รู้ว่าตัวเองแพ้แล้ว
สำหรับพวกเขา การยอมจำนนโดยไม่ได้ปะดาบเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้
“มองดูรอบๆหน่อยสิ! ที่นี่คือในปราสาทของศัตรู! ม้าของพวกเราก็วิ่งไม่ได้!! ถ้าศัตรูยิงธนูเข้ามาเราก็ตายกัน–”
“อั๊กกกกกกกกกก!!”
ทหารที่ปีนกำแพง กรีดร้องแล้วกลิ้งตกลงมา
พอเสนาธิการ นีลเข้าไปใกล้–ก็เห็นว่ามือของทหารคนนั้นถูกแช่แข็ง ถ้าให้พูดให้ถูกคือ ถุงมือที่สวมนั้นมีไอสีขาวลอยออกมา บางทีในถุงมือนั่นหนังแขนคงจะติดหนึบกับส่วนโลหะ แค่ขยับนิ้วก็เจ็บแล้ว
“ท่านเสนาธิการ… กำแพง ถูกแช่แข็งแล้วขอรับ…”
“…อาา”
เสนาธิการนีลทรุดเข่าลงกับพื้น
ศัตรูมีผู้ใช่เวทน้ำแข็งระดับสูงอยู่ คนคนนั้นก็ใช้เวทแช่แข็งใส่กำแพง
ไม่ได้คิดจะฆ่าทางนี้สินะ อย่างน้อยก็แค่ระดับที่เอามือแตะกำแพงแล้วผิวหนังแตกปริออก
“…การที่จัดทัพแนวหน้ามาแค่หน่วยทหารม้า…มันคือความผิดพลาดสินะ”
ถ้าทางนี้เองก็มีจอมเวทล่ะก็…
คิดได้แบบนั้น เสนาธิการนีลก็ต้องส่ายหน้า
ถ้าจะใช้เวทไฟละลายน้ำแข็ง พวกทหารที่ติดอยู่ก็โดนไฟคลอกตายเองสิ
“……ไม่มีทางชนะ”
เสนาธิการ นีลถอนหายใจ
“ตอนที่คิดว่า[ปราสาทสามารถชิงมาได้] พวกเราก็แพ้ไปแล้ว…”
“ท่านเสนาธิการ…”
“ขอออกคำสั่งแทนท่านขุนศึก โทคิ โฮเซ
ทุกนายจงลงจากม้าแล้วทิ้งอาวุธซะ หอกกับดาบก็…นั่นสินะ จะวางพิงไว้้กับกำแพงที่แข็งก็ได้”
แล้วก็บอกให้รู้ว่าทางนี้ไม่มีความคิดจะขัดขืน
“…แต่ถึงอย่างนั้น ขุนศึกที่สามารถเตรียมแผนการรบได้ขนาดนี้มีอยู่ในตระกูลเจ้าเมืองคิโทลด้วยเหรอ บางที…[ขุนศึกรูปงาม ฮิลก้า] ชื่อของเขาคงจะได้จารึกลงบนประวัติศาสตร์เป็นแน่…”
“…เป็นขุนศึกที่น่ากลัวจริงๆขอรับ”
“…ถ้ามีพลังระดับนี้ ก็คงสามารถสร้างประเทศได้สบายๆเลยสินะ”
“…ผม ถ้ากลับไปบ้านเกิดได้จะไปเล่าต่อครับ ชื่อของ[ขุนศึกรูปงาม ฮิลก้า]แห่งตระกูลเจ้าเมืองคิโทล…”
“………………เลิกพูดเถอะค่ะจะอายตายแล้วค่ะ…”
เสียงเบาๆจากอีกฝั่งของกำแพง ดังไปไม่ถึงพวกทหารม้า
ด้วยเหตุนี้ทหารม้า600นายที่[สิบปราชญ์]ส่งมาทั้งหมดก็ต้องยอมจำนน การต่อสู้ก็จบลงเช่นกัน
──มุมมองโชมะ──
ขุนศึกโทคิ โฮเซกับผมที่ขี่ม้าประจันหน้ากันอยู่ในทุ่งราบ
ระหว่างห่างก็หลายสิบเมตร
ผมถือดาบ โทคิ โฮเซถือหอก
อีกฝ่ายหายใจหอบ แต่ผมกับริเซ็ตยังมีแรงเหลือๆ ที่นี่อยู่ในเขตแดน ดังนั้นพวกเราจึงสามารถใช้พลังเวทจากพื้นดินได้อย่างอิสระ แต่ถ้าหมอนั่นเป็นผู้ถูกอัญเชิญที่ถูกเลือกโดยเทพธิดา ก็อาจจะยังเหลือแรงเหลือเฟือก็ได้
“เอาล่ะ พูดเลย ริเซ็ต”
“ค่ะ ท่านพี่โชมะ…อะแฮ่ม”
ริเซ็ตกระแอมที่ด้านหลังของผม
จากนั้น–
“ขอถามขุนศึก โทคิ โฮเซ!”
ริเซ็ตส่งเสียงให้ขุนศึกได้ยิน
เป็นคำถามที่ริเซ็ตอย่างจะถามขุนพล โทคิ โฮเซมาตลอดตั้งแต่โจมตีเข้ามา
“เจ้าคิดยังไงกับแผ่นดินและยุคมืดนี้!?”
“……หาาา?”
โทคิ โฮเซเอียงคอสงสัย
แล้วริเซ็ตก็พูดต่อโดยไม่สนใจ
“การกระทำของ[สิบปราชญ์]ในครั้งนี้มันไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นขุนศึกก็คิดว่าน่าจะเข้าใจดี! ถ้าอย่างนั้นทำไมกัน ถึงได้เข้าร่วมการบุกที่ไร้ศีลธรรมนี้กัน!? ถ้ามีพลังระดับเจ้า ก็น่าจะเลือกนายคนอื่นได้ไม่ใช่เหรอ!!”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลยนี่หว่า”
ขุนศึกโทคิ โฮเซหยิบจี้ที่หน้าอกออกมา
ของที่มีคริสตัลสีฟ้าขนาดใหญ่
“ข้าได้รับบัญชาสวรรค์ให้มาที่นี่ มีชะตากรรมที่จะกอบกู้ยุคมืด แล้วประกาศนามของตนให้กึกก้องไปทั่วแผ่นดิน สิ่งนี้ก็คือหลักฐานยังไงล่ะ ถ้าสามารถกอบกู้ยุคมืดได้ ข้าก็จะได้กลับไปยังโลกเดิม–ไม่สิ ไปยังโลกที่พวกแกไม่รู้จัก โดยที่ยังมีประสบการณ์กับความทรงจำของโลกนี้อยู่”
“…ประสบการณ์ กับความทรงจำของโลกนี้?”
“พูดไปก็ไม่เข้าใจหรอกน่า ไอ้พวกคนของโลกนี้น่ะ”
“ไม่หรอก เข้าใจอย่างดีเลยล่ะ”
ผมพูดออกไป
โทคิ โฮเซ ทำหน้าอึ้งแบบพูดไม่ออก
ก็นะ ผมปลอมตัวเป็น[ขุนศึกรูปงามฮิลก้า]นี่นา
แต่ว่า ช่างมันได้แล้ว อีกเดี๋ยวทางฝั่งพวกทหารม้าก็คงถูกจัดการแล้ว
ผมถอดหมวกเกราะคาบูโตะ
ให้พูดตรงๆ คือวิสัยทัศน์ในนั้นนี่อย่างแย่ ถึงทำได้แค่สู้พอประมาณแล้วหนีออกมา
ถ้าไม่ได้ริเซ็ตคอยซัพพอร์ต คงหนีมาถึงที่นี่ไม่ได้แน่
“หา…แกคือใคร!?”
“มีเหตุผลบางอย่างก็เลยให้เจ้าเมืองคิโทลยืมพลัง ชื่อว่าโชมะ คิริว เป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาจากต่างโลกเหมือนกับนาย”
“…เหมือนกับข้า งั้นเหรอ”
“รู้นะว่านายเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมา ไอ้ชื่อ[พลังเต็ม100]เนี่ย ถ้าไม่เคยเล่นเกมที่โลกเดิมก็ไม่น่าจะโผล่มาได้นะ”
ดังนั้นก็เลยระแวงโทคิ โฮเซ
เพราะว่าน่าจะมีพลังระดับกองทัพหรือพลังโกงอะไรแบบนั้นอยู่ ผมก็เลยเป็นเหยื่อล่อให้ออกมาอยู่คนเดียว
ถึง[ทหารมีจิตใจ]ที่ถูกเอนชานต์จะแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถทนเวทมนตร์ของยูกิโนะได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น
ถ้าหมอนี่มีพลังระดับเดียวกัน การจับมาขังในปราสาทก็อันตราย
“ที่มั่นใจก็ตอนที่ได้ยินคำพูดของนายเมื่อกี้น่ะ ที่ว่า ประสบการณ์กับความทรงจำของโลกนี้”
“…อึก”
“มีเรื่องที่อยากจะถามนาย”
ผมลดดาบลงแล้วพูดออกไป
“ผมถูกอัญเชิญมาที่โลกนี้ด้วยความผิดพลาด ดังนั้น ก็เลยไม่รู้ระบบของการอัญเชิญอย่างเป็นทางการเลย อยากจะให้นายช่วยบอกว่าต่อสู้ด้วยจุดมุ่งหมายแบบไหนที โทคิ โฮเซ”
ถึงยูกิโนะเองก็เป็นผู้ที่ถูกอัญเชิญแบบเป็นทางการ แต่เธอปฏิเสธข้อเสนอที่จะ[เลือกนายให้]ของเทพธิดาไป
ดังนั้นก็เลยถูกทิ้งหลวงอยู่ในเมืองหลวงคนเดียว จนมาถึงชายแดน
ยูกิโนะเองก็เหมือนกับผมที่อยู่นอกเหนือระบบที่ถูกต้อง
การที่ได้พบกับผู้ที่ถูกอัญเชิญที่ทำตามระบบอย่างถูกต้อง ก็มีโทคิ โฮเซเป็นคนแรก
“เพื่อการนั้นผมจึงปลอมตัวเป็นขุนศึกฮิลก้าแล้วพานายมาถึงที่นี่ มนุษย์ของโลกนี้ที่อยู่ที่นี่…ก็มีแค่น้องสาวของผมเท่านั้น จะไม่บอกลูกน้องของนายเรื่องตัวจริงของนายหรอก ผมก็แค่อยากรู้เป้าหมายของนายเท่านั้น”
“ดังนั้น…ก็เลยมาดูถูก[พลังเต็ม100]งั้นเหรอ”
“เปล่า ไอ้นั่นก็แค่รู้สึกเห็นใจในฐานะพวกเดียวกันน่ะ”
“…หา?”
“ไอ้ฉายาอย่าง[พลังเต็ม100]เนี่ย ถ้าเป็นผู้เป็นคนแล้วได้เสียใจภายหลังแน่นอนเลยล่ะ อย่างน้อยก็ใช้[ที่หนึ่งในเมืองหลวง]หรือ[ขุนศึกพยัคฆ์คลั่ง]เถอะ แบบนั้นน่าจะดีกว่านะ จะไม่ว่าอะไรเลย”
ตอนที่ผมได้ยินเรื่องของ[พลังเต็ม100]ก็คิดออกมาเลยว่า “เอาจริงดิ”
ไอ้อะไรแบบนี้ ถ้ายังอยู่ในช่วงนี้ภูมิใจในความไร้พ่ายก็ดีหรอก แต่ถ้าแพ้สักครั้งนี่โดนล้อยันลูกบวชเลยนะ ผมเองหลังจากเลิกจูนิเบียวยังถูกคนใกล้บ้านบอกว่า“อ๊ะ วันนี้ไม่เป็นราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์แล้วเหรอ”ก็เลยเข้าใจดีเลย น่าอายสุดๆ
“อย่าง[ขุนศึกเพลิงกัลป์]หรือเอา[หอก]กับ[ไร้เทียมทาน]มารวมกันเป็น[ขุนศึกหอกไร้เทียมทาน] แบบนี้น่าจะดีกว่าสำหรับภายภาคหน้านะ”
“…นี่จะล้อเล่นกับข้าไปถึงเมื่อไหร่”
“ก็แค่แนะนำเอง”
“แกบอกว่าถูกอัยเชิญมาด้วยความผิดพลาดสินะ คนแบบนั้นจะไปรู้อะไร!? เทพธิดาบอกข้ามาอย่างนี้ การปฏิบัติต่อวิญญาณจะขึ้นอยู่กับผลงานที่ทำให้โลก น่ะ”
โทคิ โฮเซกำหอกแล้วหัวเราะอย่างไม่เกรงกลัวอะไร
“ถ้าสามารถกอบกู้ยุคมืดได้ในฐานะผู้ปกครองจะนับเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุด ถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็จะสามารถเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกนี้ได้ หรือจะกลับไปเกิดที่โลกเดิมโดยคงความทรงจำกับความสามารถไว้ได้!”
“…งั้นเหรอ?”
“อา”
“แล้วถ้าตายที่โลกนี้ล่ะ?”
“…บอกมาว่าก็จะเสียความทรงจำทั้งหมด แล้วกลับไป1ปีก่อนที่โลกเดิมน่ะ แล้วโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงความตายที่โลกเดิมก็จะขึ้นอยู่กับผลงานที่ทำได้ด้วย…ล่ะนะ”
…เป็นระบบแบบนั้นเองเหรอ
เทพธิดาใช้ประโยชน์จากผู้ถูกอัญเชิญให้มากอบกู้ยุคนี้มืดของโลกนี้
ผู้ถูกอัญเชิญเองก็ได้รางวัลพิเศษมากมายเป็นการตอบแทน
ทั้งการกลับไปคืนชีพที่โลกเดิมโดยคงสกิลกับความทรงจำทั้งหมด
แล้วถึงความทรงจำจะหายไป แต่ก็จะย้อนเวลากลับไป1ปีก่อนตาย แล้วก็ได้รับโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงความตาย
“แต่ว่า มีเหตุผลอะไรที่ติดตาม[สิบปราชญ์]ล่ะ?”
“การตามคนที่แข็งแกร่งที่สุด มันก็ต้องมีโอกาสสำเร็จเยอะสุดไม่ใช่เหรอไง”
“ถ้าให้พวกที่บุกเขตแดนของคนอื่นโดยไม่สนใจเหตุผลยืมพลัง มันจะไปจบยุคมืดได้ยังไงกัน?”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย!”
โทคิ โฮเซแทงปลอกหุ้มปลายหอกปักลงบนพื้น
“ข้าจะทำอย่างที่อยากทำ จะต่อสู้อย่างวีรบุรุษในโลกนี้ ฆ่าศัตรู เสพผู้หญิง ปกครองผู้คน ถ้าตายก็กลับไปโลกเดิม ถึงจะสั่งสมผลงานจนเป็นขุนศึก แต่เรื่องของโลกนี้ก็ช่างมันดิวะ ดูนี่ซะ”
ตุ๊บ โทคิ โฮเซโยนถุงหนังเล็กๆลงบนพื้น
สิ่งที่ถูกใส่อยู่ก็คือ…เหรียญ เหรียญเงินและเหรียญทอง…แต่ว่า ทั้งหมดมีเลือดติดอยู่ อะไรล่ะนั่น
“นี่คือเงินที่ชิงมาจากศัตรูที่ข้าจัดการมาจนถึงตอนนี้ ที่เก็บมาเพื่อที่จะดูว่าตัวเองแข็งแกร่งขนาดไหนยังไงล่ะ”
“เลือดที่ติดอยู่…เป็นของทหารศัตรูงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้สิ ของทหารอีกฝ่าย ของพลเรือน หรือของอมนุษย์ก็จำไม่ได้แล้ว”
โทคิ โฮเซหัวเราะออกมา
“แต่ว่า ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันเลย ข้าคือวีรบุรุษ วีรบุรุษผู้ทำตามคำสั่งของข้ารับใช้จักรพรรดิ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย เพื่อที่ข้าจะสั่งสมผลงานในกลียุคนี้ มันเป็นสิ่งที่จำเป็น”
“…แบบนั้นมันวีรบุรุษตรงไหนกัน”
“หาา?”
…ไม่ได้รู้สึกเดือดมานานแล้ว
อะไรกัน ความรู้สึกนี้
ความรู้สึกเดียวกับตอนที่รู้สึกว่า[ทำไมถึงมีเรื่องโหดร้ายแบบนี้ด้วย]ตอนที่พ่อแม่ตายที่โลกเดิม
“แกไม่ใช่วีรบุรุษหรอก ไม่เหมาะสมกับที่ได้พลังพิเศษสักนิด รีบๆกลับไปโลกเดิมได้แล้ว”
“อะไรนะ!! กล้าพูดใหญ่โตกับ[พลังเต็ม100]ผู้นี้งั้นเหรอ!”
โทคิ โฮเซกำหอกแล้วชี้ปลายมาที่ผม
แต่ว่า ไม่เห็นต้องไปสนใจเลย
วีรบุรุษอะไรกัน ผู้ที่ถูกเทพธิดาอัญเชิญอะไรกัน อย่ามาพูดบ้าๆนะเว้ย
ยัยเทพธิดานั่นก็ด้วย ถ้าเงื่อนไขการกลับไปเกิดมันเป็นแบบนั้น ก็ต้องรู้สิวะว่าคนที่ถูกอัญเชิญมันต้องอาละวาดไปทั่ว
“แล้วแกเป็นใครกัน ขุนศึกฮิลก้าตัวปลอม”
“…[ศัตรูคู่อาฆาตของเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์]”
ช่างแม่ม
เจ้าการเจ้านี้ซะก็พอ ก่อนอื่นก็ทำให้มันหมดสภาพ
ไอ้คนที่เหมือนกับหมาบ้าแบบนี้ จะปล่อยให้อยู่ใกล้ๆชายแดนไม่ได้
“ริเซ็ต จับให้แน่นๆล่ะ”
“ค่ะ ท่านพี่โชมะ!”
ริเซ็ตกอดหลังผมแน่น
“โทษทีนะ [ซังคูโคคุโย] นายช่วยพยายามอีกนิดเถอะนะ”
[บรู๊รุ๊รุ๊]
ตอบมาแบบไม่มีท่าทีเหนื่อยสักนิด ท่าทางอีกศึกหนึ่งก็น่าจะเหลือๆ
ผมกำดาบยาว[โคตรแข็ง]
“…อะไรคือ[ราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์]วะ ทางนู้นน่าอายกว่าอีกไม่ใช่เหรอไง”
“หนวกหูน่ารู้ดีอยู่แล้วเฟ้ย”
“ถ้าเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาผิดพลาด…งั้นฆ่าไปก็ไม่เป็นไรสินะ!”
ม้าของขุนศึกโทคิ โฮเซออกวิ่ง
พร้อมกันนั้นผมเองก็ให้สัญญาณม้าดำ[ซังคูโคคุโย]
“ขุนศึกที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ธงของ[สิบปราชญ์] โทคิ โฮเซ! จะไปละนะ!”
“ขุนพลรับเชิญของตระกูลเจ้าเมืองคิโทล คิริวโอ โชมะ”
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเข้าตัดสินกับขุนพลศัตรู–
ผู้ถูกอัญเชิญโทคิ โฮเซที่กำลังได้ใจอย่างมาก