ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 325 ร่างทดสอบเทพเจ้า

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 325 ร่างทดสอบเทพเจ้า

ร่างของวิหคทองก็ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่าตัวจากการทะลวงขั้น ร่างสีดำราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่มาจากบรรพกาล แผ่ความร้อนที่แฝงเปลวเพลิงเอาไว้ แผดเผาผืนแผ่นดิน พัดควันดำขโมง ดินโคลนบนพื้นก็กลายเป็นร่างผลึกไปหมด

ทุกๆ เม็ดน่าตกตะลึง ทำให้คนที่เห็นสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงลิบ

กระทั่งความว่างเปล่าก็ยังบิดเบี้ยว ต่อให้เป็นแค่สะเก็ดไฟที่กระเด็นออกมา ก็ยังมีความร้อนที่น่าตกตะลึง

และประกายในตาของมัน ขณะที่ดูราวกับมีชีวิตก็มาพร้อมกับความโหดเหี้ยมอำมหิตมหาศาลด้วย ราวกับผู้ที่ถูกมันจับจ้อง ไม่ว่าจะสวรรค์เก้าชั้นฟ้าหรือสิบผืนพสุธา ก็ไม่อาจหนีการกลืนกินของมันพ้นได้

แม้จะเป็นแค่ความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ แต่ในวินาทีนี้ วิหคทองส่งผลกระทบกับทุกคนบนสนามรบอย่างมาก

โดยเฉพาะตอนที่มันสยายปีก เหินทะยานสู่ฟากฟ้า ทำให้ทะเลเพลิงบนพื้นแผ่ออกไปต่อเนื่อง ทุกครั้งที่กระพือปีกส่งเสียงครืนครันออกมา

ส่วนสวี่ชิงที่อยู่ในทะเลเพลิง เวลานี้ผมยาวปลิวสยาย ทั้งร่างแผ่ความดุดันเข้มข้น ใบหน้าหล่อเหลาราวกับปีศาจ ขณะที่กวาดตามองอย่างไม่ใส่ใจ ก็ทำให้จิตใจสับสนพัดโถมขึ้น เหมือนเปลวไฟรอบด้าน วิหคทองบนฟากฟ้า ทุกสิ่งของทุกอย่างเกิดมาเพื่อขับให้ตัวเขาเด่น

นอกจากภายนอกผิวเผินแล้ว โดยพื้นฐานแล้ววิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณขั้นสองคือการสนับสนุนพลังต่อสู้ และบ้าคลั่งอย่างมาก ไม่เหมือนกับไฟหนึ่งดวงก่อนหน้า แต่พุ่งไปถึงระดับไฟหกดวงเลยทีเดียว

ไฟหกดวงนี้ล้วนสนับสนุนกายเนื้อของสวี่ชิง ทำให้ร่างกายของเขาตอนนี้ส่งเสียงเลื่อนลั่น แม้เหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่อันที่จริงกระดูกของเขา เลือดเนื้อของเขา ร่างกายทั้งหมดของเขาล้วนกำลังเปลี่ยนแปลงไปในวินาทีนี้

นั่นคือการยกระดับชั้นของพลังชีวิต!

และในตอนนี้ หลังจากวิหคทองที่เหาะทะยานส่งเสียงคำรามก้องฟ้า ก็กลับมาหาสวี่ชิง หางทั้งสิบสามของมันกลายเป็นหางเพลิง หมุนวนรอบตัวสวี่ชิงที่เป็นศูนย์กลาง จนกลายเป็นขนนกเปลวเพลิงหลายเส้น ล่องลอยอยู่เบื้องหน้าเขา

ที่กลับมาพร้อมกัน ยังมีเปลวเพลิงที่กระจายอยู่รอบๆ ตอนนี้ทั้งหมดม้วนกลับมาอยู่บนตัวสวี่ชิง

ทำให้เขาในวินาทีนี้มีเปลวเพลิงเสริมร่าง วิหคทองเหนือศีรษะเหมือนกวานจักรพรรดิ ได้รับความสนใจจากทั่วสารทิศ

และวังสวรรค์สองวันที่ปรากฏขึ้น ทำให้เขาในสนามรบ ระเบิดพลังอำนาจทันที พลังต่อสู้ก็เช่นกัน กระทั่งศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตรวมถึงสมาชิกเทียนประทีปที่อยู่ระดับล่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดกันหมด ขณะที่พรั่นพรึงก็ไม่เข้าใกล้ด้วยสัญชาตญาณ

เขาก้มหน้าลง มองศีรษะเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ไม่อาจตายอย่างสงบสุขได้ในมือ ดวงตาเผยความประหลาดใจ

เขารู้สึกว่าเรื่องนี้บางจุดไม่ถูกต้อง

เขายืนยันได้ว่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องตายแล้วจริงๆ และการตายของอีกฝ่าย ก็อยู่ในขอบเขตที่สมเหตุสมผล ถึงอย่างไรหนึ่งวังสวรรค์กับสองวังสวรรค์ ความแตกต่างนี้ก็ยากจะบรรเทาได้

แต่บิดาของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องไม่ปรากฏตัวออกมาเลย

สิ่งนี้ไม่สมเหตุสมผล ถึงอย่างไรตอนการทดสอบสีเลือดเมื่อครั้งนั้น สิ่งที่บิดาเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องทำทั้งหมด ดูแล้วก็เหมือนทำเพื่อเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ทั้งที่เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องตายไป กลับไม่เห็นแม้แต่เงาบิดาของเขา

เรื่องนี้ ไม่ถูกต้องอย่างมาก

อีกจุดหนึ่ง คือ…เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องผิดปกติเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้พูดเลยแม้แต่คำเดียว กระทั่งการแผดร้องก็ยังเป็นเสียงอู้อี้ เสียงกรีดร้องแม้จะหวีดแหลม แต่ก็แตกต่างจากปกติปกติ มันยังแหลมไม่พอ

นี่แตกต่างจากเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่สวี่ชิงรู้จัก

สวี่ชิงหรี่ตาลง จู่ๆ ก็ยกมือซ้ายขึ้น จับคางของศีรษะเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่เนื้อหนังเละเทะแล้วกระชากออกมา

ปากของศีรษะเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องถูกฉีกออก

สวี่ชิงกวาดตามองเข้าไป ดวงตาก็ประหลาดใจอย่างยิ่งทันที

ในปากของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ลิ้นหายไป!

สำหรับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ฉากที่ตราตรึงลึกซึ้งที่สุดในความทรงจำสวี่ชิง คือหลังจากที่เปิดประตูวิญญาณจำนงนิรันดร์ มีลิ้นที่เต็มไปด้วยของเหลวเหนียวข้นแผ่ออกมาเบื้องหน้าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ต่อมาสวี่ชิงจึงรู้ว่า เมื่อเปิดประตูนี้ จะสะท้อนในจิตใจของคนผู้หนึ่งออกมา

ในจิตใจของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็คือของสิ่งนี้

และไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ตายแล้วตอนนี้ กลับไม่มีลิ้นอยู่

ตอนนี้เอง จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงสะเทือนฟ้าครืนครันเสียงหนึ่ง มีความผกผันที่น่ากลัว ระเบิดดังก้องฉับพลันบนฟากฟ้า

สิ่งที่ส่งเสียงครืนครันออกมา คือยักษ์หินหนืดที่ปะทะอยู่กับนายท่านเจ็ด

ยักษ์ตนนี้ยืนหยัดมาถึงปัจจุบัน ไม่อาจแบกรับได้อีกต่อไปแล้ว ส่งเสียงโหยหวน ร่างกายครึ่งหนึ่งแตกกระจัดกระจาย กลายเป็นเศษหินน้อยใหญ่ร่วงกราวลงมาบนพื้นเสียงดัง ขณะที่กระแทกจนพื้นเป็นหลุมเป็นบ่อ โลงศพสีดำที่ฝังอยู่ในร่างกายของมันก็โผล่ออกมาด้านนอกแล้วกว่าครึ่งเวลานี้

โลงศพสีดำแผ่ความรู้สึกของสิ่งประหลาดออกมาภายใต้การสาดส่องของแสงตะวัน และเหมือนมีเสียงเล็บขูด หวีดแหลมออกมาจากด้านในโลงศพ เข้ามาในโสตประสาทของทุกคนอย่างน่าสยดสยอง

สวี่ชิงดวงตาแข็งค้าง

ส่วนสมาชิกเทียนประทีปสองคนนั้นก็หายใจหอบถี่ ขณะที่ถอยหลังดวงตาก็มีแววเด็ดขาด ทำปางมืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าโลงศพสีดำในหน้าอกยักษ์ สั่นสะเทือนฉับพลัน

ตัวพวกเขามีเสียงคำรามของสัตว์ป่าที่ไม่เหมือนมนุษย์ดังออกมา กระจายไปทั่วทิศ

เพียงแค่เสียง ก็ทำให้ศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตจำนวนไม่น้อยสั่นสะท้านไปทั้งตัว มุมปากเลือดสดหลั่งริน รีบถอยหลังออกมาอย่างพรั่นพรึง ไม่กล้าเข้าใกล้

เสียงนี้แฝงพลังอะไรบางอย่างที่ยากจะบรรยายออกมาได้ไว้ สามารถสั่นสะเทือนจิตใจ สั่นคลอนจิตวิญญาณ ทำให้ระดับชั้นชีวิตเกิดความรู้สึกถูกสะกดขึ้นมา จากนั้นความตกตะลึงและความพรั่นพรึงก็โหมขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

ไม่นาน ก็มีเสียงก้องครืนครัน เหมือนว่าตัวตนในโลงศพ เวลานี้กำลังชกกระแทกกับฝาโลงทีละหมัด คิดจะทำลายมันให้ย่อยยับ

ภาพนี้ ทำให้ศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตทุกคนรอบๆ ถอยหลังออกมาทันที นายท่านเจ็ดหรี่ตาลง ดวงตาเสี่ยเลี่ยนจื่อก็เผยความประหลาดใจ

แทบจะพริบตาที่ทุกคนมองไป ฝาของโลงศพนั่นก็ระเบิดออกมาเสียงดังอย่างไม่อาจแบกรับได้อีกต่อไป แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ภายใต้เสียงสนั่นสั่นคลอนจิตใจ

ขณะที่กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนมหาศาล กระแสความเป็นเทพที่สั่นฟ้าสะเทือนดินวูบหนึ่ง ก็พุ่งออกจากโลงศพโถมขึ้นฟ้า

กระแสนี้น่าตกตะลึงอย่างมาก มีแรงสะกดด้วยพลานุภาพที่น่ากลัว เมื่อปรากฏตัว ก็ทำให้สีหน้าของเจ็ดเนตรโลหิตทุกคนเปลี่ยนไป ท้องฟ้าก็เช่นเดียวกัน

ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆลมตีเกลียว หมอกเมฆก่อตัวขึ้นฉับพลันทั่วทิศทาง พัดม้วนกวาดวนไม่หยุด ท้องฟ้าปรากฏคลื่นวนขนาดยักษ์ ทำให้ท้องฟ้ากลางวันแต่เดิมเปลี่ยนเป็นย่ำค่ำยามราตรี

อัสนีหลายสายแล่นแปลบปลาบ เสียงฟ้าผ่ากึกก้องครืนครัน

ถัดมา มือแห้งเหี่ยวที่ดูไม่เหมือนของเผ่ามนุษย์ข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากโลงศพ จับไปที่ขอบโลง ค่อยๆ ลุกยืนขึ้น เผยร่างกายที่ทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้าอ

ร่างกายนั้นยับเยินอย่างมาก มองเห็นจุดที่ผุพังมากมายรวมถึงกระดูก ราวกับเป็นซากศพที่ไม่รู้ว่าตายไปนานเท่าไรแล้ว

ผมเผ้าไม่เหลืออยู่แล้ว ใบหน้าก็เน่าเปื่อย เหลืออยู่เพียงสองตาที่อยู่ในเบ้ารวมถึงที่อยู่ใต้คางนั่น…ลิ้นสีแดงสดลิ้นหนึ่ง

สีของลิ้นนั้น แตกต่างกับร่างศพอย่างสิ้นเชิง ราวกับมีคนต่อเติมเข้าไป เวลานี้จากที่ซากศพลุกขึ้น สายฟ้าบนท้องนภาก็ปะทุขึ้นน่าสะพรึง อัสนีทั้งแปดทิศกลายเป็นงูสีเงินหลายตัว ทำให้พื้นดินมีแสงและความมืดตัดผ่านกัน

คลื่นผันผวนที่น่ากลัววูบหนึ่ง กระจายออกอย่างรุนแรงจากบนตัวซากศพนั้น ดวงตาทั้งคู่ในเบ้าก็มีไฟสลัวสองดวงจุดติดขึ้นมาในพริบตานี้ แต่พอเทียบกันแล้ว สิ่งที่ทำให้สายตาของสวี่ชิงหดลง คือลิ้นของซากศพนั่น

ลิ้นสีแดงสดนี้ เหมือนกับจะเป็นชิ้นเดียวกับที่หายไปจากศีรษะของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง

และความเป็นเทพที่กระจายออกมาจากร่างศพนี้ ก็ดูน่าสะพรึงอย่างที่สุด ไฟสลัวในดวงตาซากศพ กลับมีประกายสีทองเลือนรางส่องสว่างภายใต้การระเบิดออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุดเวลานี้

เมื่อแสงนี้ปรากฏ ความเป็นเทพบนตัวศพก็ยิ่งระเบิดออกมา สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้เกิดสิ่งประหลาดรอบด้านขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลกระทบกับท้องนภาจนสายฝนสีดำพร่างพรมลงมา

ราวกับเทพเจ้า!

แต่ก็แค่ราวกับเท่านั้น ไม่ใช่เทพเจ้าที่แท้จริง สิ่งที่มันมีก็เพียงแค่ความเป็นเทพ

และความเป็นเทพ..ต่อให้จะมีปริมาณมากเพียงใด ก็ยังแค่ดูคล้ายกับเทพเจ้า แต่ในความเป็นจริงก็ยังคงไม่ใช่

ความแตกต่างของทั้งสองสิ่ง ก็เหมือนหมอกและน้ำแข็ง!

ขณะเดียวกัน บนตัวซากศพนี้ ยังมีความกระแสที่ไม่มั่นคงอย่างแรงกล้า ราวกับว่าจะระเบิดได้ทุกขณะ

เห็นได้ชัดว่าความเป็นเทพที่เข้มข้นนี้ ร่างซากศพก็ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด

สิ่งที่สวี่ชิงรู้สึกคือ ราวกับว่าซากศพร่างนี้ เหมือนใช้วิธีการหยาบๆ นำมารวมๆ กันแล้วสร้างขึ้นมา จนกลายมาเป็นร่างมีชีวิตที่ไม่รู้จัก

สวี่ชิงมองเพียงผาดเดียว ดวงตาทั้งสองก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง ราวกับว่าซากศพนี้ไม่สามารถมองตรงๆ ได้ มีสิ่งประหลาดมากถึงขีดสุด

“นี่คือพลังแห่งเทพเจ้า…ที่เทียนประทีปมีอยู่หรือ ช่วงนี้ข้าค้นคว้าสิ่งนี้มานานมาก” นายท่านเจ็ดมองทั้งหมดนี้แล้วเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“เทียนประทีปเล่นใหญ่เสียเหลือเกิน พวกเจ้า…ถึงกับสร้างเทพเจ้าขึ้นมา แต่น่าเสียดาย ยังเป็นเหมือนกับที่ข้าเดาไว้ พวกเจ้ายังห่างชั้นอีกโข”

“บรรพจารย์ เทียนประทีปคงไม่มีใครมาแล้ว พวกเราสามารถปิดงานตามแผนที่วางไว้ได้ สะกดร่างทดลองเทพเจ้าของเทียนประทีปเสียก่อน นำมันมาเป็นพลังของสำนักเราเสีย!”

แทบจะพริบตาที่เสียงของนายท่านเจ็ดส่งออกมา ซากศพนั่นก็เงยหน้าคำราม ความเป็นเทพในร่างกายโหมขึ้นฟ้า สิ่งประหลาดรอบด้านบ้าคลั่ง ขณะที่ฟ้าดินเปลี่ยนสี ระดับพลังชีวิตของซากศพนี้ก็ระเบิดออกมา ก้าวเพียงก้าวเดียว ก็มองเมินการปิดผนึกจากของวิเศษต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิต พุ่งขึ้นไปบนฟ้าคิดจะหนีออกจากที่นี่

แต่ร่างของเสี่ยเลี่ยนจื่อก็ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของซากศพนี้ในพริบตา แปรเป็นเส้นเลือดนับไม่ถ้วน รวมตัวขึ้นเป็นกำปั้นขนาดใหญ่ซัดไป

แต่ในดวงตาซากศพนี้ก็เปล่งประกายสีทอง ความว่างเปล่าบิดเบี้ยวทันที หมัดนี้ของเสี่ยเลี่ยนจื่อ ดูแล้วเหมือนซัดไปบนร่างของซากศพ แต่เหมือนในพริบตานี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน ดังนั้นหมัดของเสี่ยเลี่ยนจื่อจึงทะลุผ่านไป

แต่ในพริบตา ร่างของจอมคนบูรพาสงัดก็ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันกลางอากาศ หญิงชราคนนี้เหมือนว่ามาถึงนานแล้ว แต่พรางตัวอยู่ตลอด หลังจากปรากฏตัว ในดวงตานางก็เผยความไม่อยากเชื่อออกมา

“เสี่ยเลี่ยนจื่อ ลูกเขยเจ้าคนนั้นพูดไว้ไม่ผิด เทียนประทีป…กำลังสร้างเทพเจ้าอยู่จริงๆ แต่ว่าพวกเขายังทำไม่สำเร็จ สิ่งที่สร้างออกมา พลานุภาพยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถควบคุมสติปัญญาได้ ถูกความเป็นเทพหลอมละลายไปแล้ว!” ระหว่างที่พูด ดวงตานางเผยความประหลาดใจ ยกมือขวาขึ้นกดลงมาแรงๆ

จากการที่เส้นใยในดวงตานางไหลเวียน ครู่ต่อมามิติรอบๆ ซากศพก็เหมือนแตกหัก ขณะเดียวกันเส้นเลือดที่แปรมาจากเสี่ยเลี่ยนจื่อ ก็ทยอยม้วนกลับมา ทะลวงเข้าไปในความว่างเปล่า เข้าไปถึงมิติที่ซากศพนั้นอยู่

ขณะที่เสียงครืนครันดังกึกก้องกลางอากาศ จากการลงมือของจอมคนบูรพาสงัดและเสี่ยเลี่ยนจื่อ ในดวงตาของนายท่านเจ็ดก็เปล่งประกาย ทำปางมืออย่างรวดเร็ว ฉับพลันท้องฟ้าก็เลือนราง ต้นไม้เลือดขนาดยักษ์ต้นหนึ่ง ก็จุติลงมาบนสนามรบ ขณะที่กระเพื่อมไหวก็เข้าสะกดปิดผนึกรอบด้านทันที

ขณะเดียวกันของวิเศษเวทต้องห้ามบนท้องฟ้าเผ่าสิงซากสมุทรของเจ็ดเนตรโลหิต เทวรูปบรรพชนศพทั้งสิบสี่องค์ก็โคจรขึ้นพร้อมกัน ระเบิดสุดกำลัง ทำให้กระจกโบราณต้องห้ามของเจ็ดเนตรโลหิต กลายเป็นสีเลือดขึ้นในพริบตา ด้านหลังดวงตาทั้งเจ็ดก็มีดวงตาอีกเจ็ดดวงลอยขึ้นมา

ทั้งสิบสี่ดวงลืมตาขึ้น เพ่งเป้าไปที่ซากศพเหนือสนามรบ กระจกโบราณขนาดยักษ์ก็สาดแสงสีแดงแยงตาพุ่งออกไปเช่นกัน สะท้อนบนสนามรบและกลายเป็นพลังปิดผนึกอีกครั้ง

ภายใต้พลังของของวิเศษเวทต้องห้ามสองชิ้นนี้ ไม่ว่าจะสมาชิกระดับล่างที่เหลืออยู่ของเทียนประทีปบนพื้นดิน หรือคนในชุดคลุมดำที่สวมหน้ากากสองคน ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรง แต่ละคนกระอักเลือด ร่างกายถูกสะกดไว้อย่างหนัก พากันร่วงลงพื้น สะกดไว้ที่นั่นจนไม่อาจดิ้นรนได้

นี่คือแผนการของนายท่านเจ็ดครั้งนี้!

แผนของเขา ก็ไม่ได้มีแค่เป้าหมายเดียวกลยุทธ์เดียวมาแต่ไหนแต่ไร เขาใช้เวลาช่วงนี้ไปศึกษาอดีตของเทียนประทีป สุดท้ายเขาก็ชักเส้นสนกลในจนรู้เบาะแสบางอย่าง

จากเบาะแสนี้ นายท่านเจ็ดเดาได้เลาๆ ถึงแผนการเบื้องหลังบางส่วนของเทียนประทีปในมณฑลรับเสด็จ จึงได้มีศึกในวันนี้ หากเทียนประทีปส่งคนมา โถงครองกระบี่ก็จะลงมือ

แต่ถ้าเทียนประทีปไม่ส่งคนมา เช่นนั้นจากการวิเคราะห์ของเขา ที่นี่จะต้องมีของที่เทียนประทีปทิ้งเอาไว้อยู่ และของสิ่งนี้ก็มีโอกาสที่จะเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าอย่างมาก เขาอยากจะได้มันมา จะได้สะดวกในการทำความเข้าใจเทียนประทีป

ในเมื่อนับจากนี้ เทียนประทีปจะกลายเป็นศัตรูคู่ฆาต เช่นนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับที่เขาไปค้นคว้าเผ่าสิงซากสมุทรในอดีต เขาต้องค้นคว้าเทียนประทีปนี้ให้ดี

นายท่านเจ็ดเคยพูดกับสวี่ชิงว่า ยุคสมัยใหม่มาถึง อัจฉริยฟ้าประทานเกิดขึ้นมากมาย

แต่…ยุคสมัยใหม่ใช่ว่าเพิ่งจะมา แต่หลายร้อยปีก่อนหน้าก็มาถึงแล้ว นายท่านเจ็ดเองก็เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่โดดเด่นภายใต้ยุคสมัยใหม่นี้

ดังนั้น เหล่าคนที่ยอดเยี่ยมในฟ้าดินใต้หล้านี้ ไม่มีทางมีอยู่แค่ไม่กี่คน

นี่ จึงจะเป็นยุคสมัยใหม่

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท