ตอนที่ 658 นกป่าโผบินอิสระ ไม่เคยอยากถูกเลี้ยงในกรง
ฉินหลิวซีปล่อยวางจากอนุวั่นแล้ว นางเป็นคนสมองกลับ ในหัวมีแต่ขี้เลื่อยแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ช่างเถิดไม่รู้หนังสือก็ไม่รู้หนังสือ คนโง่ก็มีความสุขแบบคนโง่ ชาตินี้ทั้งชาติโง่จนตายก็ไม่เป็นไร ไม่ลดอาหารการกินของนางก็พอ
ฉินหลิวซีไม่สนใจแล้ว อนุวั่นก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ เห็นนางโยนการดาษลง จึงถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าไม่ว่าข้าแล้วหรือ”
“ข้าจะดุว่าท่านไปทำไม ท่านว่าท่านหมดหวังแล้ว ก็แล้วแต่ท่าน อยากจะทำอะไรก็ทำ” ฉินหลิวซีพ่นลมหายใจออกทางปาก
อนุวั่นหมดความเชื่อมั่นจนท้อใจ เสียงนางอ่อนลงมาก “ข้าฝึกไม่ก้าวหน้าจริงๆ ฝึกทีไรข้ามือสั่นเวียนหัวไปหมด รู้สึกว่าเส้นอักษรเหมือนงูเลื้อยไปเลื้อยมา”
“อย่างนั้นก็ไม่ต้องฝึกแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ “ท่านรู้จักที่อยู่ของตัวเองก็พอ”
อนุวั่นแปลกใจเล็กน้อย แค่นี้ก็ปล่อยนางไปแล้ว หรือว่ามีด่านอื่นรอนางอยู่หรือไม่
ฉินหลิวซีมองไปด้านนอก หวังอวี้เชียนกลับออกไปแล้ว จึงลุกขึ้นยืน “ข้าไปแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน” อนุวั่นเดินไปที่ตู้ หยิบของชิ้นเล็กๆ ที่ห่อด้วยผ้าออกมายัดใส่มือฉินหลิวซี “ข้าเขียนหนังสือไม่ได้ แต่ทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ ได้ สิ่งนี้ข้าทำให้เจ้า”
ฉินหลิวซีชะงักไป ห่อผ้าไม่หนัก จับดูแล้วนุ่มนิ่ม บางทีอาจจะเป็นของที่เกี่ยวกับผ้า ผ้าเช็ดมืออะไรพวกนั้น
“เจ้าอยากสวมก็สวม ไม่อยากสวมก็วางทิ้งไว้” อนุวั่นแกล้งทำท่าไม่ใส่ใจพลางเอ่ย
ฉินหลิวซีพยักหน้า ไม่ตอบอะไร แต่ถือห่อผ้าแล้วเดินออกไป
เห็นนางไม่เอ่ยอะไรสักคำแล้วออกไป อนุวั่นจึงหมุนตัวอย่างมีความสุข จากนั้นฮัมเพลงพลางนำกระดาษเซวียนจื่อและสิ่งของอื่นๆ ม้วนเก็บ
ในที่สุดก็ไม่ต้องฝึกเขียนฝึกเรียนอักษรที่น่าปวดหัวแล้ว พอถึงฤดูหนาว นางก็นำกระดาษเหล่านี้มาจุดไฟเผาถ่านได้ ประวัติศาสตร์มืดก็ควรจะกลายเป็นผุยผง
ฉินหลิวซีได้ยินเสียงเพลง อดหุบยิ้มแล้วส่ายศีรษะไม่ได้ ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง
คนโง่ที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางเดินกลับเข้าไปในห้องของสะใภ้หวัง ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อจะนำจดหมายที่เจ้าเด็กน้อยฉินหมิงเยี่ยนเขียนมามอบให้นาง ในตอนที่พับกระดาษเป็นนกกระเรียน ที่จริงเพียงจะนำกลับมาโดยใส่ไว้ในแขนเสื้อ
สะใภ้หวังไม่รู้เหตุผล รับนกกระดาษนั้นมาก่อน ขณะนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงกล่าวขอโทษต่อนาง “หมิงเย่ว์ก่อหายนะครั้งนี้ เป็นเพราะข้าไม่ได้ดูแลให้ดี พี่ชายเจ้าทางนั้นข้าก็สั่งสอนเขาไปแล้ว จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก”
ฉินหลิวซีนิ่งไปครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองสะใภ้หวังพลางเอ่ย “ที่จริงเรื่องชายหญิงแตกต่างไม่ได้มีความสำคัญสำหรับข้า ข้าเป็นคนของเสวียนเหมิน ก็เหมือนกับที่ฉินหมิงเย่ว์พูด ข้าเป็นนักพรต เรื่องพรรค์นี้สำหรับข้าไม่เสียหายอะไรมากมาย เพราะข้าเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องการแต่งงาน”
สะใภ้หวังสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ลัทธิเต๋ามีห้าโทษสามวิบัติ ข้าโดนลงโทษให้อยู่คนเดียวในเรื่องห้าโทษ และยากจนในเรื่องสามวิบัติ” ฉินหลิวซีเอ่ย “ชาตินี้ข้าถูกลิขิตไว้ให้ไม่มีบุตรชายบุตรสาว เงินก็ไม่มี ไม่ว่าข้าหาเงินได้เท่าใดก็ไม่อาจเก็บหอมรอมริบไว้ได้”
“นี่ นี่…”
“ดังนั้นชื่อเสียงสำหรับข้าแล้วไม่มีผลกระทบอะไร แต่ตระกูลฉินคนอื่นๆ ไม่ใช่ แม้ว่าจะรับความอัปยศ บุตรชายแต่งสะใภ้เข้า บุตรสาวแต่งออกยังต้องมีอยู่ ครั้งนี้ฉินหมิงเย่ว์อาจจะทำให้สตรีคนอื่นๆ ในตระกูลเดือดร้อน และอาจทำให้คนนอกดูถูกคนตระกูลฉิน” ฉินหลิวซีเอ่ย “ความคิดเล็กคิดน้อยของนางทั้งโง่เขลาและเห็นแก่ตัว นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจมองข้ามไปได้ หากตระกูลฉินยอมให้ชื่อเสียงเงียบหายไป และฐานะที่ตกต่ำลง หากเป็นอย่างนั้นข้าก็จะไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว”
สะใภ้หวังกุมมือฉินหลิวซีไว้ “เด็กดี เจ้าคิดได้รอบคอบดียิ่งนัก เป็นพวกหมิงเย่ว์ที่โง่เอง”
“ท่านมีแผนอยู่ในใจก็ดีแล้ว วันหนึ่งพวกท่านยังสามารถกลับเมืองเซิ่งจิงได้ อย่าได้ให้ความตกต่ำชั่วคราวทำให้ละเลยการประพฤติดีที่เคยทำมา ไม่อย่างนั้นภายหลังกลับเข้าไปมีชีวิตในเมืองหลวงจะอยู่อย่างไร”
สะใภ้หวังได้ฟังคำพูดนี้ ในใจดำดิ่งลง ฉินหลิวซีใช้คำว่าพวกท่าน นางไม่เคยนับตัวเองเป็นคนใน ตั้งแต่ต้นจนจบนางวางตัวเองเป็นคนนอกตระกูลฉินมาโดยตลอด
สะใภ้หวังรู้สึกฝืดเฝื่อนในลำคอ
ฉินหลิวซีไม่ได้กล่าวคำปลอบใจด้วยซ้ำ เพราะไม่มีความจำเป็น สถานะของนางถูกกำหนดไว้แล้วให้เป็นเส้นขนานกับพวกเขา สายตาฉินหลิวซีลดต่ำ เพียงแต่มีเรื่องให้มาพบเจอกันเท่านั้นเอง
ดังนั้นไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำให้นางเข้าใจผิด ต่อไปนางจะได้กลับตระกูลฉินเป็นเหมือนหญิงสูงศักดิ์ทั่วไป จัดการเกี่ยวดองเพื่อประโยชน์ของคนในครอบครัว แต่งงานมีลูกมีหลาน
นางหัวเราะกับตัวเอง เมื่อก่อนคนที่ทอดทิ้งฉินหลิวซีคือตระกูลฉิน ตอนนี้ตระกูลฉินจะมีหน้าไปลากนางกลับมาหรือ
นกป่าโผบินอิสระ เดินสิบก้าวได้กินหนึ่งคำ เดินอีกร้อยก้าวได้ดื่มหนึ่งจิบ แต่พวกมันไม่เคยอยากถูกเลี้ยงในกรง เมื่อคิดอย่างนี้สะใภ้หวังจึงปล่อยวางได้ นางดึงดันเกินไป
ฉินหลิวซีเห็นสีหน้าปล่อยวางของนาง จึงชี้ไปที่นกกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ “ท่านไม่ดูสักหน่อยหรือ”
สะใภ้หวังหยิบมันขึ้นมา นางมองฉินหลิวซี “นกกระเรียนตัวนี้พับได้ไม่เลว พับขึ้นมางั้นหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้ายิ้มๆ
สะใภ้หวังคลี่มันออก ลายมือที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในสายตา นางมือสั่น มองฉินหลิวซีอย่างมึนงง “นี่ นี่คือ?”
“ก็เป็นอย่างที่ท่านคิด”
สะใภ้หวังยินดียิ่งนัก “จดหมายที่เยี่ยนเอ๋อร์เขียน ทำไมถึงมาอยู่กับเจ้าที่นี่ได้”
“เพราะบังเอิญเก็บได้ ท่านวางใจ เขาก็กำลังปรับตัวกับชีวิตที่ซีเป่ย ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องเขาให้มากไป” ฉินหลิวซีเอ่ยยิ้มๆ
สะใภ้หวังเช็ดหางตา รีบดูจดหมายในมือ อ่านไปน้ำตาไหลไป นางเอ่ยอย่างโมโหแต่ก็ยังยิ้มออก “เจ้าลูกคนนี้ รายงานแต่เรื่องดี เรื่องไม่ดีไม่รายงาน”
ฉินหลิวซีคิดถึงเจ้าเด็กน้อยที่กล้าสู้คน มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต อย่างน้อยต้องรู้เรื่องบ้างแล้ว แต่ก็ยังเป็นลูกขุนนางท่าทางโอหังที่ยังไม่ยอมแพ้ไปเสียทั้งหมด
ในขณะที่สะใภ้หวังอ่านจดหมาย ด้านนอกมีสาวรับใช้เข้ามา นางมาบอกฉินหลิวซีว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้ไปพบเพื่อพูดคุย
สะใภ้หวังรีบพับจดหมายเก็บ นางมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยด้วยใบหน้าขมวดมุ่น “ดูแล้วนางอยากให้เจ้ารับเรื่องตระกูลเฉวียนเป็นธุระ เจ้าก็รู้ว่าสิ่งที่นางไม่อาจปล่อยวางได้ก็คือพวกนายท่านผู้เฒ่าที่ซีเป่ย หากการผูกมิตรกับตระกูลเฉวียนสามารถทำให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ให้แลกกับอะไรนางก็ไม่เสียดาย”
“นั่นต้องดูว่าคนตระกูลเฉวียนมีค่าพอให้ช่วยหรือไม่” ฉินหลิวซีคิดแล้วเอ่ยถามขึ้นอีก “ท่านแม่พอรู้ว่าคนตระกูลเฉวียนผู้นั้นไม่สบายเป็นโรคอะไรหรือไม่”
“ดูเหมือนว่าเป็นยาพิษ” ใบหน้าสะใภ้หวังหมองลงเล็กน้อย เม้มริมฝีปากพลางเอ่ย “ทั้งยังเป็นพิษที่ร้ายแรง ดังนั้นเจ้าต้องรอบคอบหน่อย คว้าโอกาสไม่ได้ ไม่รับก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องเอ่ยถึงล่วงเกินตระกูลเฉวียน ยังเสียชื่อเสียงของเจ้าอีก”
พิษอย่างนั้นหรือ
“ข้าไปกับเจ้าด้วยแล้วกัน” สะใภ้หวังเก็บกระดาษจดหมายเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเดินไปยังเรือนของนางฉินผู้เฒ่าด้วยกันกับฉินหลิวซี
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด นางฉินผู้เฒ่าเมื่อเห็นฉินหลิวซีดวงตาขุ่นมัวของนางทอประกายขึ้น นางเข้าประเด็นไม่มีอ้อมค้อม “คุณชายตระกูลเฉวียนมาขอรับการรักษา หากเจ้ามีความสามารถ จะต้องรักษาเขาให้หายดี เพราะเกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกท่านปู่เจ้า”
ฉินหลิวซีเหลือบตามอง เอ่ยเรียบๆ “หากข้าไม่มีความสามารถเล่า หรือไม่ก็ข้าไม่อยากรักษาล่ะ”
สีหน้านางฉินผู้เฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง กลับรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ลำคอแห้งสากระคาย ไอออกมาอย่างแรงที่หนึ่ง มีเลือดปนออกมาด้วย
สะใภ้หวังส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว นางเดินเข้าไปอยากจะพยุงอีกฝ่าย กลับถูกนางฉินผู้เฒ่าคว้าข้อมือไว้แน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย นางกัดฟันส่งเสียง “ถือว่าคนแก่ใกล้ตายอย่างข้าขอร้องเจ้า ให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเถิด!”