ตอนที่ 535 เสิ่นอวี้อิ๋งกำลังจะคลอด
ตอนที่ 535 เสิ่นอวี้อิ๋งกำลังจะคลอด
หลินเซี่ยตอบว่า “ฉันตั้งใจแวะมาหาคุณค่ะ”
เมื่อเซี่ยหลานได้ยินว่าหลินเซี่ยตั้งใจมาหาหล่อนโดยเฉพาะ ใบหน้าที่เย็นชาและตึงเครียดแต่เดิมก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เข้ามาก่อนสิ”
หอพักของบุคลากรโรงพยาบาลที่นี่เป็นห้องเดี่ยว ถึงจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่สำหรับคนที่พักอยู่คนเดียวนับว่ามีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างดี
หลินเซี่ยจำได้ว่าเซี่ยหลานเคยอยู่ที่หอพักในโรงพยาบาลตั้งแต่เธอยังเด็ก ต่อมาครอบครัวก็แยกบ้านออกไป ส่วนตัวหล่อนย้ายไปอาศัยอยู่ที่อาคารพักอาศัยของโรงงาน
ไม่คาดคิดว่าตอนนี้หล่อนจะกลับมาอาศัยอยู่ที่นี่อีกครั้ง
เซี่ยหลานลากเก้าอี้ออกมาให้หลินเซี่ย “นั่งสิ”
จากนั้นหล่อนก็ไปรินน้ำมาให้
“เดี๋ยวนี้คุณอยู่ที่นี่เป็นหลักเหรอคะ?” หลินเซี่ยถาม
“ที่จริงมีบ้านข้างนอกอีก แต่ที่นั่นอยู่ไกลจากโรงพยาบาล อยู่ที่นี่เดินทางสะดวกกว่า”
“แล้วบ้านที่โรงงานเครื่องจักรล่ะคะ?”
เมื่อพูดถึงอาคารพักอาศัยในเขตโรงงานเครื่องจักร เซี่ยหลานก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เสิ่นเถี่ยจวินกับฉันหย่าร้างกันอย่างถูกต้องแล้ว บ้านหลังนั้นเป็นของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
ในสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนอย่างนี้ ถ้าหล่อนยังไปอาศัยอยู่ที่อาคารพักอาศัยของโรงงานเครื่องจักรอีก ก็คงไม่อาจอยู่อย่างสงบร่วมกับบรรดาเพื่อนบ้านได้ ต้องรู้ก่อนว่าครอบครัวของพวกเขากลายเป็นเรื่องตลกสำหรับทุกคนมาตั้งนานแล้ว แทบจะเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารเย็นของทุกบ้าน
หลินเซี่ยมองไปที่เซี่ยหลานซึ่งมีใบหน้าซีดเซียว ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ยิ่งเกลียดเสิ่นเถี่ยจวินจอมเจ้าเล่ห์นั่นมากกว่าเดิม
ผู้ชายสารเลวคนนั้น ทำให้ผู้คนมากมายต้องตกเป็นเหยื่อจากการกระทำของเขา
หลินเซี่ยบอกว่า “วันนี้ฉันไปเยี่ยมอวี้หลงมาค่ะ หมอแผนจีนเย่บอกว่าเขาอาการดีขึ้นมากแล้ว น่าจะใกล้ฟื้นคืนสติในเร็ว ๆ นี้ ฉันจัดการโกนผมให้เขาแล้ว ต่อไปถ้าอากาศเย็นลงก็ค่อยสวมหมวกให้เขาแทน จะได้ไม่เป็นหวัด”
เซี่ยหลานพยักหน้า “ดีเลย ขอบคุณนะ”
“เขายังเป็นน้องชายของฉันเสมอค่ะ และฉันก็หวังว่าเขาจะตื่นขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้”
หลินเซี่ยมองหล่อนด้วยสายตาที่จริงใจ จากนั้นก็ปลอบโยนหล่อน “คุณเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะคะ เพื่อที่คุณจะได้มีแรงกำลังพอที่จะดูแลอวี้หลง”
“ถ้าอวี้หลงไม่ต้องการการดูแลจากฉัน เห็นทีฉันคงอดทนใช้ชีวิตตรากตรำต่อไปในแต่ละวันไม่ได้จริง ๆ”
เซี่ยหลานที่ตึงเครียดเพราะเอาแต่เก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจเพียงลำพัง เมื่อได้ยินหลินเซี่ยปลอบโยน ก็อดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจจนร้องไห้ “ฉันไม่รู้ว่าจะอดทนต่อไปได้นานแค่ไหน จะอดทนจนกว่าอวี้หลงจะตื่นขึ้นได้หรือเปล่า? คิดถึงขั้นที่ว่า บางทีเขาอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้ ครอบครัวฉันกับพ่อเขาจะได้เลิกขาดจากกันซะที…”
หลินเซี่ยยืนขึ้นและกอดปลอบหล่อนเบา ๆ “แม่ อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ แม่ยังมีฉันอยู่ตรงนี้นะคะ ชีวิตฉันดีขึ้นกว่าตอนนั้นมากแล้ว ความคิดความอ่านของฉันก็โตเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ฉันสามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้คุณได้ ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็แค่ตามหาฉัน เราจะเผชิญทุกอย่างไปด้วยกันค่ะ”
หลินเซี่ยพูดออกมาแบบนั้น เซี่ยหลานก็ทนฝืนสะอื้นไม่ไหวอีกต่อไป เริ่มร้องไห้น้ำตาเป็นสาย
“ขอบคุณมากนะ เซี่ยเซี่ย ขอบคุณที่ยังคิดถึงน้องชายของเธอไม่เปลี่ยน ขอบคุณที่ยังยินดีเรียกฉันว่าแม่…”
ในช่วงเวลาที่คนคนหนึ่งตกอยู่ในสภาวะทำอะไรไม่ถูก แม้แต่การทักทาย หรืออ้อมกอดจากคนที่รัก ก็สามารถทำลายเกราะป้องกันทั้งมวลได้
ในเวลานี้เซี่ยหลานสลัดรูปลักษณ์อันแข็งแกร่งของหล่อนออกไปเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเซี่ย กอดเธอไว้แน่นพร้อมกับปล่อยโฮออกมาเต็มที่ ปลดปล่อยความกดดันในหัวใจ
“แม่คะ คุณเองก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน เราทุกคนต่างก็ตกเป็นเหยื่อ ฉันไม่เคยโกรธแม่เลย ในทางกลับกัน ฉันรู้สึกขอบคุณแม่กับคุณตามากกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะมีพวกคุณอยู่ ชีวิตของฉันตอนอยู่ในตระกูลเสิ่นอาจจะยากลำเค็ญยิ่งกว่านั้นก็ได้”
เสิ่นเถี่ยจวินรู้ตั้งแต่แรกว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเขา ผู้เฒ่าเสิ่นก็เกลียดเธอเช่นกัน เพราะเธอดันไปหน้าตาคล้ายกับเซี่ยอวี่ ในสภาพแวดล้อมที่กล่าวมานี้ ถ้าเซี่ยหลานและผู้เฒ่าเซี่ยไม่คอยปกป้องเธอ ชีวิตน้อย ๆ ของเธอในตอนนั้นเกรงว่าคงรับประกันการอยู่รอดได้ยาก
“เธอเป็นเด็กดี เป็นคนที่มีเหตุผลจริง ๆ”
เซี่ยหลานรู้สึกโล่งใจจริง ๆ ที่หลังจากประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย หลินเซี่ยยังสามารถเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมเหล่านั้นได้ด้วยเหตุและผล อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้มีจิตใจบิดเบี้ยวเหมือนอย่างเสิ่นอวี้อิ๋ง
เซี่ยหลานร้องไห้หนักมาก สักพักหนึ่งถึงค่อยสงบลง
หลินเซี่ยหั่นผลไม้ให้หล่อนแล้วยื่นชามให้ “แม่ กินอะไรหน่อยนะคะ”
เซี่ยหลานยิ้มและตอบกลับ “ขอบใจจ้ะ”
เซี่ยหลานกัดกล้วยเข้าปาก มองไปที่หลินเซี่ยและถามว่า “ได้ยินมาว่าพ่อแม่ของเธอแต่งงานกันแล้วเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” หลินเซี่ยไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะมองสบเข้าไปในดวงตาของเซี่ยหลานเมื่อได้ยินหล่อนถามคำถามนี้
เธอแยกไม่ออกว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูกหรือผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของคนรุ่นก่อน เธอรู้แค่ว่าทุกคนต้องแลกทุกอย่างมาด้วยบทเรียนราคาแพง
“ฝากแสดงความยินดีกับพวกเขาด้วยนะ”
เซี่ยหลานเห็นว่าหลินเซี่ยดูไม่สบายใจ และดูเหมือนพยายามจะหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ หล่อนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เซี่ยเซี่ย กำลังดูถูกฉันอยู่ในใจหรือเปล่า? ถ้าฉันไม่ได้มีความคิดทำนองนั้นกับพ่อของเธอตั้งแต่แรก เสิ่นเถี่ยจวินคงไม่สลับตัวเธอเพราะเรื่องนั้น การตั้งข้อสงสัยในตัวฉันทำให้เกิดข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะวิเคราะห์ยังไงมันก็ถือเป็นความผิดของฉันอยู่ดี”
หลินเซี่ยจับมือเซี่ยหลาน มองหน้าหล่อนและพูดอย่างเคร่งขรึม
“แม่คะ อย่าโทษว่าเป็นความผิดตัวเองทั้งหมดเลยค่ะ การรักชอบใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่ความผิดแม่ที่แม่ไปปักใจให้กับคนที่ไม่เคยมีใจให้ และไม่ใช่ความผิดของพ่อด้วยที่ไม่ได้รักคุณตอบ พูดได้คำเดียวว่าพวกคุณแค่ไม่ถูกกำหนดมาให้ครองคู่กัน
สิ่งที่ผิดคือความคิดอันมืดมนของเสิ่นเถี่ยจวินต่างหาก เขามีเจตนาชั่วร้าย เป็นคนจิตใจคับแคบ คิดแทนคนอื่นด้วยความคิดชั่ว ๆ ของตัวเอง ตอนนี้เขาได้ชดใช้ราคาสำหรับการกระทำของเขาแล้ว อย่ากดดันตัวเองทางจิตใจไปมากกว่านี้เลยค่ะ วันเวลาหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล”
หลินเซี่ยพูดต่อว่า “ฉันรู้สึกขอบคุณมากสำหรับการดูแลและการอบรมสั่งสอนที่คุณมอบให้ฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่รังเกียจ ฉันขอเรียกคุณว่าแม่ต่อไปในอนาคตนะคะ”
ครั้งหนึ่งผู้เฒ่าเซี่ยเคยพยายามจะขัดเกลาเธอให้ได้ดี
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเธอเรียนไม่เก่ง ทำให้ชายชราผิดหวังอยู่เสมอ
เธอรู้ดีว่าเมื่อผู้เฒ่าเซี่ยรู้ความจริงในภายหลังว่าเธอไม่ใช่หลานสาวแท้ ๆ ของเขา เขาถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกด้วยซ้ำ
ไม่อย่างนั้นชายชราคงจมอยู่กับความผิดหวังและตั้งข้อสงสัยกับความสามารถในการสอนของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้โง่แบบผ่าเหล่าผ่ากอขนาดนี้
เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นคนรักการอ่าน ทั้งยังมีแรงจูงใจในตัวเอง ผู้เฒ่าเซี่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นอย่างนั้น ถึงกับขอให้ใครสักคนฝากหล่อนเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมแห่งที่หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้สอบเข้าวิทยาลัยด้วยซ้ำ แถมกำลังจะคลอดลูกอยู่รอมร่อ
สันนิษฐานว่าชายชราน่าจะรู้สึกอึดอัดในใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งรู้สึกละอายใจเมื่อเธอพูดแบบนั้น ความสัมพันธ์ของฉันกับเสิ่นเถี่ยจวินพังทลายลงตั้งนานแล้ว ฉันมุ่งความสนใจไปที่งานตรงหน้าจนละเลยเธอ ฉันไม่ใช่แม่ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเลย”
เซี่ยหลานมองหลินเซี่ย พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ฉันไม่สมควรเป็นแม่ของใครเลยจริง ๆ ตอนมีเธอเป็นลูกสาว ฉันก็มักจะเพิกเฉยต่อความรู้สึกของเธอ หลังจากที่อวี้อิ๋งกลายมาเป็นลูกสาวของฉัน ฉันยังไม่เอาใจใส่หล่อนให้มากพออีก จนกระทั่ง…”
เมื่อเซี่ยหลานพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหล่อนก็เศร้าหมอง พูดไม่ออกอีกต่อไป
“แม่คะ อย่าโทษตัวเองเลย เรื่องของเสิ่นอวี้อิ๋งไม่เกี่ยวอะไรกับคุณค่ะ นั่นเป็นหายนะที่หล่อนสร้างขึ้นเอง”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด เซี่ยหลานก็เช็ดน้ำตาและมองหน้าเธออีกครั้ง “เธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กคนนั้นแล้วสินะ?”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องของหล่อนหรอกค่ะ ฉันแค่จะบอกว่าหล่อนเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใดในอนาคตก็ตาม มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของแม่อย่างคุณ คุณทำดีที่สุดแล้ว ตระกูลหลินทะนุถนอมฟูมฟักและพยายามเลี้ยงดูหล่อนอย่างดีที่สุด แต่หล่อนกลับไม่เห็นคุณค่าเอง จะตำหนิคนอื่นไม่ได้”
“คุณต้องดูแลตัวเองให้มากนะคะ ถ้ามีอะไรก็ตามบอกฉันได้เสมอเลย”
“อืม” เซี่ยหลานไม่ได้พูดถึงเรื่องไร้สาระที่เสิ่นอวี้อิ๋งทำลับหลังหลินเซี่ย แต่ก็รู้ว่าหลินเซี่ยคงจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
ข่าวฉาวแพร่สะพัดไปทั่วโรงงานเครื่องจักร
เนื่องจากเสิ่นเถี่ยจวินถูกควบคุมตัว ครอบครัวของหลิวจื้อหมิงจึงไม่ได้พูดถึงการแต่งงานระหว่างหลิวจื้อหมิงกับเสิ่นอวี้อิ๋งอีกเลย
เซี่ยหลานทำอะไรไม่ถูกอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเสิ่นอวี้อิ๋งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรหลังจากตั้งท้องต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก่อนแต่งงาน
หลินเซี่ยนั่งอยู่เป็นเพื่อนเซี่ยหลานสักพัก จนถึงเวลาที่เธอต้องกลับไปไปรับลูกจากโรงเรียน เธอจึงปฏิเสธคำขอของเซี่ยหลานที่จะให้อยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
“แม่ ไว้ถ้ามีเวลาฉันจะแวะมาหาบ่อย ๆ นะคะ”
เธอมีชีวิตน้อย ๆ อยู่ในท้อง จึงระมัดระวังตัวในการขับขี่มอเตอร์ไซค์มากขึ้น
ตามจารีตประเพณีและความหัวเก่าของผู้สูงวัย เธอจึงวางแผนที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับในช่วงสามเดือนแรก แม้แต่ครอบครัว เธอก็ยังไม่มีแผนที่จะบอกเรื่องนี้
ซ่อนให้ถึงเวลาอันเหมาะสม แล้วค่อยเปิดเผยต่อสาธารณะ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอให้ชีวิตหลังจากนี้ของเซี่ยหลานจงมีแต่ความสุขนะคะ เป็นนางแบกให้ตระกูลเสิ่นมาหลายปีจนไม่ได้มีชีวิตเป็นของตัวเองนานแล้ว
ไหหม่า(海馬)