ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 369 การตัดสินใจของสวี่ฟาง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 369 การตัดสินใจของสวี่ฟาง

สือเยี่ยนแทบจะรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่นายท่านแผ่ออกมาได้ทันที ในใจก็เอ่ยว่า ไม่ได้นะขอรับคุณหนูลั่ว เชิญบุรุษอื่นไปดูต้นพลับได้อย่างไรกัน

โดยเฉพาะในตอนที่นายท่านของพวกเขายังนั่งอยู่ที่นี่ด้วย

หลินซูก็รู้สึกได้ถึงไอเย็นเป็นระลอกๆ แต่กลับต้านความเป็นห่วงที่มีต่อญาติผู้น้องไว้ไม่อยู่จึงรับคำทันที

เว่ยหานตามองทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันไปยังประตูลานด้านหลัง เขาวางจอกสุราลงบนโต๊ะ พลางส่งเสียงออกไป

แม้ว่าเสียงจะเบา แต่เมื่อดังขึ้นในหูสือเยี่ยนกลับคล้ายกับเสียงฟ้าร้อง

นี่นายท่านตั้งใจจะตามไปด้วย!

ใครจะไปรู้ว่า มือเรียวยาวข้างนั้นกลับถือกาสุราขึ้นมา รินสุราจนเต็มแก้วใหม่แล้วดื่มต่อไปแทน

สือเยี่ยน “…”

หลินซูตามลั่วเซิงเข้าไปในลานด้านหลังก็เห็นเด็กหนุ่มที่กำลังผ่าฟืนอยู่

โคมไฟสีแดงใต้ชายคาแผ่แสงสีส้มสว่าง ส่องหิมะสีขาวที่ปกคลุมลานบ้านให้สว่างสดใส

ชายกำยำคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณไม่ไกลนัก ดวงหน้าเจ้าเนื้อจ้องเด็กหนุ่มที่ผ่าฟืนอยู่

“ขวานไม่ได้ถือแบบนี้ แบบนั้นจะผ่าได้ช้า…” เสียงไม่พอใจของชายร่างกำยำดังขึ้น

หลินซูไม่รู้ว่าทำไมถึงได้โล่งใจ

ยังดีที่เป็นแค่การผ่าฟืน!

เขาหันหน้าไปมองเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย

เด็กสาวมองไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังผ่าฟืนด้วยแววตาเรียบเฉย มองความรู้สึกได้ไม่ชัดเจน

“คุณหนูลั่ว…” หลินซูเอ่ยปาก กำเงินในถุงผ้าที่ยัดใส่มาขณะเร่งรีบเงียบๆ

ลั่วเซิงมองมา

หลินซูตั้งสติ หยั่งเชิงถามว่า “ไม่ทราบว่า คุณหนูลั่วไถ่ตัวสวี่ซีออกมาด้วยเงินเท่าใดหรือ”

ได้ยินมาว่าคนของบ่อนทองพันชั่งขายญาติผู้น้องไปสามร้อยตำลึง สำหรับเรื่องที่ว่าคุณหนูลั่วจ่ายเงินซื้อตัวญาติผู้น้องเท่าใดนั้น แต่ละคนก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป

บางคนบอกว่าจ่ายหนึ่งพันตำลึง ยังมีบางคนบอกว่าจ่ายหนึ่งหมื่นตำลึง

หากว่าเป็นหนึ่งหมื่นตำลึง…หลินซูก็รู้สึกหายใจลำบากอยู่บ้างจึงตัดสินใจไม่คิดเรื่องนี้ชั่วคราว

ลั่วเซิงเอ่ยเรียบๆ “ไม่มาก ห้าสิบตำลึง”

หลินซูตะลึง

หอคณิกาชายจ่ายสามร้อยตำลึงซื้อตัวญาติผู้น้องเอาไว้แล้วขายเปลี่ยนมือห้าสิบตำลึงหรือ

“ตำลึงทองหรือ”

ลั่วเซิงยิ้ม “กระทั่งฟืนยังผ่าได้ไม่ดี คู่ควรกับห้าสิบตำลึงทองหรือ”

หลินซูโล่งใจมาก “ไม่ทราบว่าคุณหนูลั่วจะสามารถประนีประนอม ให้ข้าพาตัวญาติผู้น้องไปได้หรือไม่ ข้ายินยอมจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงเงินเป็นค่าตอบแทนแสดงความขอบคุณให้กับคุณหนูลั่ว”

ลั่วเซิงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ไม่ขายต่อ”

“เจ้าอย่าทำเกินไปนะ!” เด็กหนุ่มพบว่าญาติผู้พี่มาหาจึงพุ่งเข้ามา เมื่อได้ยินวาจานี้ก็ตะคอกใส่ลั่วเซิงด้วยความโมโห

ลั่วเซิงมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “กินอิ่มเกินไปหรือว่าผ่าฟืนสบายเกินไปล่ะ อย่าลืมว่าสัญญาขายตัวของเจ้ายังอยู่ในมือข้า”

สวี่ซีท้อแท้ทันที นึกถึงสัญญาขายตัวที่เป็นตัวแทนความอัปยศใบนั้นแล้วก็นัยน์ตาแดงฉาน

หลินซูอดสงสารไม่ได้จึงเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “คุณหนูลั่ว ก็เหมือนกับที่ท่านพูด ญาติผู้น้องข้า กระทั่งฟืนยังผ่าได้ไม่ดี ท่านกรุณายืดหยุ่นให้ข้าพาเขาไปเถอะ จะได้ไม่สร้างปัญหาให้ท่าน”

ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ข้าไม่รังเกียจปัญหาและไม่ขาดแคลนเงิน แค่ชอบมองเขาตั้งใจผ่าฟืน หากคุณชายรองหลินไม่วางใจ จะมาเยี่ยมเขาบ่อยๆ ก็ได้”

มาบ่อยๆ หรือ

เว่ยหานซึ่งเลิกม่านประตูซึ่งทำจากผ้าฝ้ายผืนหนาออกมาได้ยินวาจานี้ก็เม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย

“คุณชายรองหลินไม่รู้สึกว่า ญาติผู้น้องท่านตั้งใจผ่าฟืนนั้นดีมากหรอกหรือ” ลั่วเซิงถามกลับนิ่งๆ

ในมือเด็กหนุ่มถือขวาน แก้มสองข้างแดงระเรื่อ ยืนอยู่ท่ามกลางลานที่เกลื่อนไปด้วยหิมะ เหมือนต้นไป่หยางซึ่งมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นต้นหนึ่ง

เขานึกถึงท่าทางหงุดหงิดใจของญาติผู้น้องในตอนที่เตือนไม่ให้ญาติผู้น้องไปเล่นพนันอีก

น้ำเสียงหงุดหงิด สีหน้าท่าทางหงุดหงิด ความห่อเหี่ยวอันน่าหงุดหงิดที่เผยออกมาจากทั่วร่าง

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้า แต่กลับทำให้คนได้เห็นรู้สึกย่ำแย่เสียอย่างนั้น

หลินซูพลันคิดตก

ใช่แล้ว เทียบกับญาติผู้น้องที่เป็นแบบนั้น ญาติผู้น้องที่ตั้งใจผ่าฟืนตรงหน้านั้นดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาประสานมือคารวะลั่วเซิงอย่างซื่อสัตย์จริงใจ “เช่นนั้น หลังจากนี้คงต้องรบกวนคุณหนูลั่วแล้ว”

“ญาติผู้พี่!” สวี่ซีตะลึง

หลินซูเดินเข้าไปตบบ่าสวี่ซี “ญาติผู้น้อง เจ้าก็รั้งอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถอะ หลังจากนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ เจ้ามีความลำบากก็พูดกับญาติผู้พี่ได้”

“ญาติผู้พี่ ท่านถูกมารสาวล้างสมองไปแล้วหรือ” สวี่ซีชี้ไปทางลั่วเซิงด้วยความเจ็บปวด

ลั่วเซิงสีหน้าเฉยชา “พูดให้ถูกต้อง เจ้าควรเรียกข้าว่าเจ้านาย”

เด็กหนุ่มสีหน้าบิดเบี้ยวทันที อยากจะจามขวานลงไปอย่างยิ่ง แต่ทว่านึกได้ว่า กระทั่งห่านขาวของหอสุรา ตนเองยังสู้ไม่ได้จึงทำได้แค่ปัดความคิดที่ไม่อาจเป็นจริงทิ้งไป

“ญาติผู้น้อง อย่าลืมว่าสัญญาขายตัวของเจ้ายังอยู่ในมือคุณหนูลั่ว หน้าตาของญาติผู้พี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เจ้าคิด” หลินซูเอ่ยเตือนอีกครั้งแล้วอำลาลั่วเซิง

“ในเมื่อคุณชายรองหลินมาแล้ว ไม่สู้ไปร่ำสุราสักจอกอบอุ่นร่างกายในห้องโถงใหญ่สักหน่อยเถอะ”

ยังต้องอบอุ่นร่างกายด้วยหรือ

เว่ยหานซึ่งยืนอยู่ข้างประตูเลิกคิ้ว

หลินซูลังเลเล็กน้อย

แม้ว่าทุกครั้งที่เขามาจะได้ครึ่งราคา แต่สุราและอาหารของหอสุราแพงเกินไปหน่อย หาใช่นักเรียนยากจนเช่นเขาจะสามารถเสวยสุขได้

“ไม่ได้นำเงินเตรียมไถ่ตัวญาติผู้น้องท่านมาด้วยหรือ” ลั่วเซิงเอ่ยเตือนอย่างเอาใจใส่

หลินซูเข้าใจขึ้นมาทันที พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความอึดอัดใจหลายส่วน “ไม่ได้มากินอาหารที่หอสุราหลายวันแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปดื่มสักจอก”

ขณะเดินผ่านเว่ยหาน เด็กหนุ่มก็โค้งกายคำนับ “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋องขอรับ”

เว่ยหานพยักหน้าอย่างหยิ่งผยอง “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

เมื่อเห็นหลินซูเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว เว่ยหานก็เดินไปทางลั่วเซิง

ลั่วเซิงถามยิ้มๆ “ท่านอ๋องมาได้อย่างไรกัน”

“มาดูต้นพลับ”

ส่วนสวี่ซีก็มองข้ามชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูต้นพลับไปแล้วมองเงาร่างของญาติผู้พี่ซึ่งหายลับไปหลังม่านประตูผ้าฝ้ายตาปริบๆ ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดยิ่ง

ดังนั้นถึงตอนท้าย ญาติผู้พี่ทิ้งเขาให้ผ่าฟืนแล้วใช้เงินที่เตรียมมาไถ่ตัวเขาไปร่ำสุราแล้วหรือ

ไม่เอ่ยถึงความทุกข์ระทมของเด็กหนุ่มผ่าฟืน ฉางชุนโหวได้ข่าวว่าสวี่ซีถูกคุณหนูลั่วซื้อไปอารมณ์ก็ซับซ้อนยากจะบรรยาย สุดท้ายก็ทำได้แค่ปลอบใจตนเองว่า บุตรชายที่ถูกทอดทิ้งเป็นนายบำเรอให้คุณหนูลั่วย่อมดีกว่าการเป็นคณิกาชายอยู่บ้าง

และสวี่ฟางก็รู้ข่าวนี้จากปากสาวใช้หงเย่ว์

สวี่ฟางนอนไม่หลับทั้งคืน พลิกตัวไปมาบนตั่ง คิดเรื่องหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา นางควรจะขอความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่วหรือไม่

เดิมเรื่องเช่นนี้ไม่สมควรขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ว่านางมีความสามารถไม่พอจริงๆ

อย่างน้อยในตอนนี้ ในฐานะเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่ง สิ่งที่ทำได้นั้นมีจำกัดเกินไป

สวี่ฟางตัดสินใจแล้ว

เช้าตรู่ ลมหิมะหยุดแล้ว นางก็รีบเดินไปข้างนอก เมื่อไปถึงประตูกลับถูกขวางเอาไว้

“ท่านโหวให้คุณหนูใหญ่พักผ่อนให้สบายขอรับ” คนเฝ้าประตูแสร้งเอ่ยยิ้มๆ

หงเย่ว์อยากจะพูดอะไร แต่ถูกสวี่ฟางยับยั้งเอาไว้ “ข้าจะไปพบท่านพ่อ”

โต้เถียงกับคนเฝ้าประตูเนิ่นนานแล้วออกไปข้างนอกไม่ได้ คนที่จะอับอายก็คือนาง

ฉางชุนโหวกลัดกลุ้มใจ กำลังโมโหไม่พูดไม่จาอยู่ในห้องหนังสือก็ได้ยินเสียงลอยมาจากนอกประตู “ท่านพ่อ ข้าคือฟางเอ๋อร์ สามารถเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ”

ฉางชุนโหวขมวดคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “เข้ามาเถอะ”

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก สวี่ฟางเดินเข้ามาเงียบๆ

ฉางชุนโหวมองบุตรสาวแสดงความเคารพ พลางถามด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิดหลายส่วน “มีเรื่องอะไร”

สวี่ฟางหลุบตาเอ่ย “ลูกอยากไปพบคุณหนูลั่วเจ้าค่ะ”

ฉางชุนโหวได้ยินก็มีสีหน้าบูดบึ้ง “อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ จะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ทำไม”

“เป็นแบบนี้เจ้าค่ะ วันนั้นลูกไปมีหอสุรา เมื่อได้ข่าวว่าเกิดเรื่องกับน้องชายก็รีบร้อนกลับมาโดยไม่ได้จ่ายเงิน หากคุณหนูลั่วมาทวงหนี้ถึงจวน…”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท