บทที่ 944 พู่กัน ‘ไม่จำเป็นต้องใช้พู่กันทั้งแท่ง!’
บทที่ 944 พู่กัน ‘ไม่จำเป็นต้องใช้พู่กันทั้งแท่ง!’
ครั้นเสียงฉินดังขึ้น องค์จ้าวอู๋เฉินก็ไม่เหลือความเคลือบแคลใดงอีก
การแลกเปลี่ยนด้านศิลปศาสตร์ที่ว่าเป็นการชี้แนะเขาจริง ๆ!
เขาดื่มด่ำไปกับเพลงฉินในบัดดล หลักเต๋าสูงส่งปรากฏออกมานับคณาเข้ารายล้อมเขาไว้!
ตัวเขาแทบไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ลงได้เลย เต็มไปด้วยความสะท้าน
หลักเต๋าทั้งหลายที่ปรากฏออกมาไม่ว่ามวลไหนล้วนมหัศจรรย์สูงส่ง เกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของเขา ไม่อาจรู้แจ้งได้แม้แต่ผิวเผิน
ทว่าคล้อยตามเสียงฉินที่ดังขึ้นไม่หยุด เขากลับเริ่มเข้าใจ หลักเต๋าที่เคยหยั่งไม่ถึงบัดนี้เริ่มลดความซับซ้อนลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เผยให้เห็นถึงปรมัตถ์แกนกลางอย่างแท้จริง!
องค์จ้าวอู๋เฉินดื่มด่ำอยู่ภายใน เพียงครู่เดียวก็ตระหนักรู้ ขอบเขตวิถีเพิ่มพูนมหาศาล!
‘ก้าวสู่ขั้นเจ็ดได้ทุกเมื่อ!’
เขาตกตะลึงรู้สึกเหมือนฝันไป สำหรับเขาขั้นเจ็ดดูง่ายดายอยู่เพียงเอื้อม ขอเพียงเขาต้องการก็สามารถก้าวสู่ขั้นเจ็ดได้
ทว่าเขามิได้เลือกก้าวสู่ขั้นเจ็ดในเวลานี้
โอกาสนี้หายากยิ่ง เขาไม่ต้องการเสียเวลา อยากรีบหยั่งหลักเต๋าให้มากกว่านี้ เรื่องนั้นสำคัญกว่าบรรลุขั้นเจ็ด
ลำนำ ‘ภูผาสูงสายน้ำไหล’ ค่อย ๆ ดำเนินมาถึงท่อนสุดท้าย องค์จ้าวอู๋เฉินได้ประโยชน์ไปตั้งไม่รู้เท่าใด!
เขารู้แจ้งถึงหลักเต๋ามากมาย บรรลุขั้นแปดยังมิใช่ปัญหา เขานึกโชคดีตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ยังดีที่มิได้หยุดไปยกระดับขั้น มิฉะนั้นต้องพลาดวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงส่งนี้ไปแน่!
“ยังไม่จบ ค่อยยกระดับตอนกลับ!”
เขาคิดในใจ ตัดสินใจได้แล้ว
การแลกเปลี่ยนด้านศิลปศาสตร์เพิ่งเริ่มต้นเห็น ๆ นั่นบ่งบอกว่าหลังจากนี้เขาจะได้รับการชี้แนะอีกมาก
เขาไม่อาจยอมเสียโอกาสล้ำเลิศปานนี้ ตัดสินใจว่าหลังกลับจากลานเล็กจักยกระดับตนเองในทุก ๆ ด้าน เช่นนี้จึงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
ตามคาด เขาคิดไม่ผิด ต่อมาหลี่จิ่วเต้าตวัดพู่กันเขียนอักษรตัวโต ทั้งยังอธิบายความรู้ในการเขียนอักษรให้เขาฟังอีกนับคณา
ความรู้ด้านเขียนภาพอักษรอะไรกัน ความเที่ยงแท้สูงสุดในการฝึกฝนชัด ๆ โดยเฉพาะยามหลี่จิ่วเต้าตวัดพู่กันเขียนอักษร เขายิ่งได้รับประโยชน์อย่างล้นหลาม รู้แจ้งมากขึ้นไปอีก!
ต่อมา หลี่จิ่วเต้าเล่นหมากล้อมกับเขา
แม้เขาจะไม่เคยเล่นหมากล้อมมาก่อน ทว่าเมื่ออยู่ในระดับเขา สามารถสืบทราบหลายสิ่งหลายอย่างในการตั้งจิตเพียงครั้งเดียว เพียงไม่นานก็กุมกลยุทธ์หมากล้อมในมือมากมาย เทียบกับนักบุญหมากและจักรพรรดิหมากล้อมที่ระบือนามมานานยังเก่งกาจกว่าด้วยซ้ำ
อนิจจา เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่จิ่วเต้า ฝีมือการเดินหมากของเขาห่างชั้นตั้งไม่รู้เท่าใด ไม่อาจเทียบกันได้เลย
ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญคือเป็นดังที่เขาคาดเดา การเล่นหมากล้อมเป็นการชี้แนะเขาเช่นกัน ระหว่างเดินหมาก เขารู้แจ้งหยั่งถึงหลักเต๋าขึ้นอีกมากเช่นกัน!
“ฮ่า ๆ เจ้าศึกษาตาเดินเมื่อครู่อยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าขอตัวไปเตรียมอาหารเที่ยง”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม เดินออกจากห้องอักษรไปเตรียมอาหารเที่ยง
องค์จ้าวอู๋เฉินดื่มด่ำไปกับมันจนโงหัวไม่ขึ้น การแลกเปลี่ยนศิลปศาสตร์ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทว่าในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอันแสนสั้นนี้ กลับอัศจรรย์กว่าช่วงชีวิตที่เขาเพียรฝึกฝนมากว่าล้านปี!
ประโยชน์ที่เขาได้รับเกินกว่าจะจินตนาการ!
สำหรับเขาในยามนี้ ก้าวสู่ขั้นแปดได้ไม่เป็นปัญหา ความรู้แจ้งในมหาเต๋าของเขาล้ำลึกเป็นอย่างยิ่ง สามารถบรรลุถึงขั้นเก้าได้เลย!
‘ขั้นเก้าไม่ใช่ปัญหา หลังข้าย่อยสิ่งที่หยั่งถึงทั้งหมดแล้ว ระดับความเข้าใจมหาเต๋าของข้าย่อมช่วยให้ก้าวสู่ขั้นเก้าได้แน่นอน!’
เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ “หรือว่าคุณชายหลี่ผู้นี้จะเป็นผู้เบิกทางท่านนั้น”
ลือกันว่าที่หลี่จิ่วเต้าทรงพลังปานนี้เป็นเพราะได้รับรากฐานพิเศษในโลกหน้าฉาก
ก่อนมาเขาก็คิดเช่นนั้น
ทว่าหลังได้ประจักษ์ถึงฝีมือของหลี่จิ่วเต้า เขาพลันรู้สึกว่าความจริงหาใช่เช่นนั้น!
ได้รับรากฐานพิเศษในโลกหน้าฉากแล้วจะเก่งกาจได้ปานนี้เลยหรือ
เขามองว่ามิใช่ อีกทั้งยิ่งรู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้าก็คือผู้เบิกทางท่านนั้น
“ผู้เบิกทางอะไรกัน สายตาอย่าได้ตื้นเขินเช่นนั้น ผู้เบิกทางอะไรนั่นไม่อาจเทียบเคียงคุณชายได้เลย ห่างกันประหนึ่งแสงจากเม็ดข้าวและแสงจากสุริยัน!”
เวลานั้นฉินอี๋อินได้ยินวาจาขององค์จ้าวอู๋เฉิน ก็ส่งเสียงออกมา
“ผู้ใดกัน?!”
องค์จ้าวอู๋เฉินตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน รีบหันมองรอบ ๆ เพื่อตามหาที่มาของเสียง
“ไม่ต้องหา ตั้งใจรับใช้คุณชายเสีย ภูมิหลังของคุณชายเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการออก!”
ฉินอี๋อินกล่าว “ผู้เบิกทางที่พวกเจ้าทึกทักเอาว่าเป็นผู้เผยแผ่พลังวิถีและเบิกทางสู่การฝึกตนนั้น อืม พูดง่าย ๆ คือยังเก่งสู้พู่กันแท่งบนโต๊ะคุณชายมิได้ด้วยซ้ำ หากพู่กันแท่งนี้ต้องการ สามารถลบล้างผู้เบิกทางคนนั้นได้ด้วยแท่งพู่กัน”
“ว่าอะไรนะ!”
องค์จ้าวอู๋เฉินตะลึง มองตามที่มาของเสียงจนเหลือบไปเห็นฉินอี๋อิน
หลังได้ยินคำกล่าวของฉินอี๋อิน เขาก็พลันเบนสายตาไปที่พู่กันบนโต๊ะอักษร
คุณชายหลี่ผู้นี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงนี้เชียวหรือ
เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายหลี่ ผู้เบิกทางท่านนั้นยังต้อยต่ำเหลือคณาเลยหรือ
ลบล้างผู้เบิกทางท่านนั้นได้ในพู่กันเดียว!
สวรรค์! พู่กันแท่งนี้เก่งกาจปานนั้นเชียว
เขามองพู่กันบนโต๊ะอักษรด้วยสายตาประหลาด
“อย่าได้ฟังมันพูดเหลวไหล”
เวลานั้นแท่งพู่กันปริปาก
ได้ยินพู่กันตอบเช่นนี้ สีหน้าองค์จ้าวอู๋เฉินถึงผ่อนลงได้บ้าง
เขาก็ว่า คุณชายหลี่กล้าแกร่งก็จริง กระนั้นก็คงไม่กล้าแกร่งถึงเพียงนั้นกระมัง!
ลบล้างผู้เบิกทางท่านนั้นได้ในพู่กันเดียว!
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ผู้เบิกทางท่านนั้นอ่อนแอประดุจมดปลวกหรืออย่างไร?
“หากต้องลงมือกันจริง ไฉนเลยต้องใช้พู่กันทั้งแท่ง ลำพังสะบัดน้ำหมึกบนพู่กันก็สังหารเขาได้แล้ว”
พู่กันแท่งนั้นเอ่ยต่อ
“!!!”
องค์จ้าวอู๋เฉินหมดคำพูดในบัดดล ที่แท้อย่าฟังคำพูดเหลวไหลที่พู่กันกล่าวถึงหมายความเช่นนี้เองหรือ!
“พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ต่อไปเจ้าจะได้รู้เองว่าคุณชายสุดยอดเพียงใด”
ฉินอี๋อินเอ่ย “ได้รับการชี้แนะจากคุณชายนับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว ถนอมโอกาสไว้ ตั้งใจรับใช้คุณชาย รู้ค่าวาสนาการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ด้วย”
องค์จ้าวอู๋เฉินไม่รู้ถึงความจริงเท็จ ไม่อาจแน่ใจได้ว่าคุณชายหลี่ทรงพลังถึงขั้นเหนือกว่าผู้เบิกทางท่านนั้นจริงหรือไม่
ทว่าไม่ว่าคุณชายหลี่ทรงพลังปานนั้นจริงหรือไม่ เขาก็ไม่มีวันลืมบุญคุณที่คุณชายหลี่มีต่อเขา!
“ข้าจะทำแน่นอน ขอใช้ชีวิตของข้าตอบแทนบุญคุณของคุณชาย!”
เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น
จากนั้นก็ออกจากห้องอักษร มาอยู่ในลานเล็ก
‘วาสนาครั้งยิ่งใหญ่!’
หลังออกมาก็เห็นคุณชายกำลังเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหาร ลำพังผักกาดขาวต้นเดียวก็เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ล้ำค่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าโอสถสวรรค์ล้ำค่าที่สุดในโลกหน้าฉากเสียอีก!
เขาไม่รู้แล้วจริง ๆ ว่าต้องเอื้อนเอ่ยคำใด หลังมื้ออาหารนี้จบลง เขาไม่รู้ว่าตนเองจะแข็งแกร่งขึ้นอีกตั้งเท่าใด!
‘นั่นคือ…อสูรปริภูมิเวลา?!’
สีหน้าของเขาประหลาดไปเมื่อเห็นคุณชายกำลังหั่นเนื้อ ก่อนมาเขาได้ยินว่าคุณชายกำราบอสูรปริภูมิเวลาตัวหนึ่งไว้ได้ เอ่ยว่าเก็บไว้เป็นวัตถุดิบอาหารอันสดใหม่
บัดนี้ดูแล้ว ทุกอย่างคือเรื่องจริง อสูรปริภูมิเวลาตัวนั้นกลายเป็นวัตถุดิบอาหารสดใหม่จริง ๆ
‘หวังว่าฝ่ายปริภูมิเวลาและปรโลกจะรู้จักประมาณตน อย่าได้หมายหัวคุณชายสุ่มสี่สุ่มห้าอีก หาไม่แล้ว สิ่งที่รอพวกมันอยู่มีเพียงความตายเท่านั้น!’
เขาเอ่ยในใจ