บทที่ 1398 นางถามถึงข้าบ้างหรือไม่
บทที่ 1398 นางถามถึงข้าบ้างหรือไม่
“จริงหรือ อาอวี้” ถานอวี้ซูยังแทบไม่เชื่อ ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างได้และเบิกตากว้าง ก่อนจะถามด้วยความตกใจ “อาอวี้ บอกข้าว่าท่านพี่หนิงผิงแต่งงานแล้วหรือยัง”
ถานอวี้ซูพูดอย่างเชื่องช้าราวกับว่านางกำลังพูดถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก
อาอวี้ผงะ และจู่ ๆ ก็นึกถึงคำถามนี้
เมื่อพูดคุยกับเสี้ยนจู่ นางก็ได้ยินการสนทนาระหว่างหญิงสาวผู้หนึ่งกับเสี้ยนจู่ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องของกู้หนิงผิง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นางไม่ได้ถามเขาจริง ๆ ว่าเขาหมั้นหมายแล้วหรือยัง
เมื่อเห็นว่าอาอวี้ไม่พูดและมองนางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ถานอวี้ซูก็ตื่นตระหนก “เขาแต่งงานหรือมีการหมั้นหมายแล้วใช่หรือไม่”
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ หัวใจของถานอวี้ซูพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างเหลือทนราวกับว่ามดนับไม่ถ้วนกำลังแทะอวัยวะภายในของนาง
เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของถานอวี้ซู อาอวี้ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นนางเป็นแบบนี้อีกต่อไป “คุณหนู พวกเราไปที่สวนชิงเพื่อไปถามเสี้ยนจู่ดีหรืออไม่”
“ตกลง” ถานอวี้ซูตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด แต่ทันใดนั้นใบหน้าที่ตื่นเต้นของนางก็เปลี่ยนไป “ไม่ได้ ๆ ข้าไปไม่ได้ ถ้าข้าไป ข้าอาจได้พบกับท่านพี่หนิงผิง”
“แต่ว่าคุณหนู… หลายปีมานี้ท่านอยากจะเจอเขามาตลอดไม่ใช่หรือ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ต้องการไปที่นั่น อาอวี้ก็งงงวยเล็กน้อย
“ข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยกับเข้าอย่างไรดี ข้าอยากกลับไปฝึก… กลับไปฝึกซ้อมก่อน” ถานอวี้ซูเหมือนเด็กที่ไม่มีความคิดในตอนนี้ นางปฏิเสธด้วยคำพูดเหมือนนางเอกในโรงเรียนหญิงล้วน
ในขณะนี้นางไม่มีจิตวิญญาณของวีรบุรุษนั้นแม้แต่ครึ่งเดียว นางกดตัวเองจนแทบจะกลายเป็นฝุ่นผง เพราะมีใครบางคนที่หยั่งรากลึกในหัวใจของนางมาหลายปีแล้ว
ยิ่งนานก็ยิ่งแรงขึ้นและสุดท้ายก็บีบตัวเองออกมา
สายตาของนางมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าโลกใบนี้จะมีคนที่เพียบพร้อมและหน้าตาดีแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครมาแทนเขาได้
“คุณหนู” อาอวี้ไม่พูดอะไรมาก แต่มองไปที่คุณหนูผู้นี้ที่ไม่กล้าหาญเหมือนในอดีต นางมองแล้วรู้สึกทุกข์ใจ
และในคืนนั้น ถานอวี้ซูไม่สามารถนอนหลับได้ นางเดินไปเดินมาจนถึงกลางดึก เมื่ออาอวี้กระตุ้น นางจึงเข้านอน นางคิดถึงการที่ต้องเจอหน้ากู้หนิงผิงในวันพรุ่งนี้ จึงได้แต่หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน
และอีกคนก็ไม่ได้ดีไปกว่านางมากนัก
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานกลับไป นางก็ไปหากู้หนิงผิง
เมื่อเห็นเขาฝึกศิลปะการต่อสู้ในสวนหลังบ้าน กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้รบกวนเขา แต่กลับยืนนิ่ง ๆ มองดูเขาฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยความสนใจ
ดาบยาวที่เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวจาง ๆ สามารถเห็นใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาของกู้หนิงผิงในเงาของดาบ ดวงตาของเขาเหมือนดวงดาวที่สว่างไสว จมูกของเขาโด่งเป็นสัน แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาสงบและเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่เขาอย่างภาคภูมิใจ
นางแค่รู้สึกว่าได้ช่วยชีวิตช้างเผือกไว้จริง ๆ ในชีวิตที่แล้ว นางเป็นลูกคนเดียวและได้รับความรักจากทั้งพ่อและแม่อย่างเต็มที่
แม้ว่าในชาตินี้จะไม่มีพ่อแม่ แต่นางก็มีน้องชายและน้องสาวที่หล่อเหลา สวยงาม และบอบบางสองสามคน พวกเขาทั้งหมดเชื่อฟัง มีเหตุผล และมีน้ำใจ ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องใช้เวลาสอนพวกเขาอีกต่อไป
ยิ่งกู้เสี่ยวหวานมองมากเท่าไร คิ้วและรอยยิ้มของนางก็โค้งขึ้นมากเท่านั้น โดยคิดว่านางได้หมั้นหมายกับชายหนุ่มรูปงามที่เป็นเหมือนนายแบบจริง ๆ เมื่อคิดแบบนี้ นางคือผู้ชนะในชีวิตจริง
นางหัวเราะอย่างหมกมุ่นจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากู้หนิงผิงเดินเข้ามาหาตนเองเป็นเวลานานแล้วหลังจากฝึกฝนเสร็จ
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงยิ้มอย่างหมกมุ่นขนาดนี้” กู้หนิงผิงเดินไปรอบ ๆ เป็นเวลานาน โดยเห็นว่าพี่สาวของตนเองเอาแต่ยิ้มอย่างโง่เขลา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“จะ…เจ้าฝึกเสร็จแล้วหรือ” กู้เสี่ยวหวานกลับมามีสติสัมปชัญญะ และเห็นว่าแม้แต่ผมของเขาก็ยังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ นางรีบยื่นผ้าขนหนูในมือของนางให้เขา “เช็ดเหงื่อออกเร็ว ๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
“ท่านพี่ ท่านกำลังคิดถึงท่านอาจารย์อยู่หรือ เหตุใดจึงยิ้มเช่นนั้น” กู้หนิงผิงหัวเราะอย่างติดตลกขณะเช็ดเหงื่อ
เมื่อเห็นว่าเขารู้ในสิ่งที่นางคิด ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง นางทำท่าทางจะตีเขา “อย่ามาหยอกล้อข้านะ ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า”
หลังจากเช็ดเหงื่อและดื่มชาแล้ว กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงผิงก็เดินพลางพูดคุยกัน
“เมื่อครู่ข้าและเสี่ยวอี้ออกไปข้างนอก ทายสิว่าข้าเจอใคร”
กู้หนิงผิงพูดอย่างร่าเริงโดยไม่ทันสังเกตว่ากู้เสี่ยวหวานได้หยุดเดินและยืนอยู่ข้างหลังเขา
“ใคร?” กู้หนิงผิงถามอย่างเป็นกันเอง
“อวี้ซู” กู้เสี่ยวหวานพูดออกมาสองคำ
คำพูดเบา ๆ เพียงสองคำเป็นเหมือนมนต์สะกดที่ทำให้กู้หนิงผิงหยุดนิ่งในทันที
เสียงหัวเราะของกู้หนิงผิงหยุดลงอย่างกะทันหัน และแม้แต่เสียงฝีเท้าของเขาก็หยุดลงเช่นกัน
เขาหยุดนิ่งอยู่เป็นเวลานาน
กู้เสี่ยวหวานที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาสองก้าวก็ไม่ขยับเขยื้อน
ดวงตาของนางจ้องมองที่ด้านหลังของกู้หนิงผิงอย่างไม่ละสายตา ถึงแม้ว่าเขาพยายามจะอดกลั้น แต่เมื่อเห็นไหล่ของเขานั้นสั่นสะท้าน หัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็กระตุกบีบรัด
“หนิงผิง” กู้เสี่ยวหวานก้าวไปข้างหน้า วางมือบนไหล่ของเขา และส่งความอบอุ่นให้เขาอย่างเงียบ ๆ
“ท่านพี่ ข้าสบายดี” กู้หนิงผิงรีบเช็ดน้ำตาออกจากหางตา หันศีรษะไปยิ้มให้กู้เสี่ยวหวานและปลอบนางอย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ ข้าไม่เป็นอะไร ท่านไม่ต้องกังวล”
รอยยิ้มที่เขาพยายามฝืนออกมาดูน่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้ด้วยซ้ำ
“ท่านพี่ นางโตขึ้นไหม นางเป็นอย่างไรบ้าง นางอ้วนขึ้นบ้างหรือเปล่า เพราะตอนนั้นนางดูผอมมาก” กู้หนิงผิงคว้ามือของกู้เสี่ยวหวานและถามอย่างกระวนกระวาย
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวังและความปรารถนา
หลังจากที่กู้เสี่ยหวานตอบคำถามของเขาทีละข้อ นางเห็นว่าเมื่อกู้หนิงผิงได้ยินว่าถานวอี้ซูโตเป็นสาวและสวยขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของกู้หนิงผิงก็สว่างขึ้น แต่ก็หรี่ลงทันที
ถูกต้องแล้ว นางเป็นถึงจวิ้นจู่ ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มผู้มั่งคั่งหมายปองนางและอยากแต่งงานกับนางมากแค่ไหน?
“ท่านพี่ นางคงหมั้นหมายหรือแต่งงานแล้วเป็นแน่” กู้หนิงผิงยิ้มอ่อน แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ้างว้างและว้าเหว่
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ถามคำถามมากมาย ดังนั้นนางจึงตอบได้เพียงว่า “ข้าเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย”
กู้หนิงผิงพยักหน้า เขายิ้มบาง ๆ และถามว่า “ท่านพี่ นางถามถึงข้าบ้างหรือไม่”