บทที่ 1329 ศพของเทพโลหิตโบราณ
บทที่ 1329 ศพของเทพโลหิตโบราณ
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเตียนเตี้ยน
หญิงสาวดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิด และกล่าวแทน “ข้าคิดว่าจิตใจของเจ้าถูกครอบงำโดยกลิ่นอายของแดนโลหิตสังหารเทพ ข้าเกือบเขย่าปลุกเจ้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะได้สติเร็วขนาดนี้”
นางย้ำเตือนว่า “พลังงานที่อยู่ภายในดินแดนโลหิตสังหารเทพแห่งนี้ มันส่งผลต่อราชันเซียนครึ่งขั้นเสียด้วยซ้ำ มันจะคุกคามจิตใจและอาจทำให้เกิดปราณหักเหได้ เจ้าไม่ควรสุ่มสี่สุ่มห้ามอง”
เฉินซีรู้สึกหนาวสั่นในใจ และพยักหน้าเห็นด้วย
เนื่องจากมีราชันเซียนสามคนที่คอยปกป้องตัวเขา เฉินซีจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ การกระทำเมื่อครู่จึงค่อนข้างบุ่มบ่ามอยู่บ้าง
โชคดีที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ช่วยเหลือเขาในเวลาที่เหมาะสม มิฉะนั้นผลที่ตามมาก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้แน่นอน ภาพทะเลเลือดและกองกระดูกอันมหึมานั้นน่ากลัวเกินไปจริง ๆ
“ระวัง! ศพของเทพโลหิตโบราณได้ปรากฏแล้ว!” ทันใดนั้น เสียงของสืออวี๋ก็ดังออกมาจากทางด้านหน้า ร่องรอยจิตสังหารลอยคลุ้ง
โฮก!!!
สิ้นคำ เสียงกู่ร้องคำรามก็ดังมาจากส่วนลึกของแดนโลหิตสังหารเทพ
ครืน!
ภาพกองทัพที่ทรงพลังกำลังพุ่งเข้ามาจากระยะไกล ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน ผืนฟ้าปั่นป่วนจนกลายเป็นสีแดงเลือดทันที
หลังจากนั้น ร่างจำนวนมากก็ฉีกผ่านท้องฟ้าเข้ามา พวกมันปิดกั้นเส้นทางข้างหน้าโดยสมบูรณ์
ในบรรดาร่างเหล่านี้ มีสัตว์ร้ายบางตัวที่สูงหมื่นจั้ง ดวงตาว่างเปล่าและลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีแดงเลือดที่พลุ่งพล่าน กระดูกทุก ๆ ส่วนถูกปกคลุมไปด้วยชั้นเลือดสีแดงเข้มอย่างหนาแน่น เสมือนกับเดินออกมาจากมหาสมุทรแห่งเลือด
นอกจากนี้ยังมีร่างที่สวมชุดเกราะสัมฤทธิ์ที่แตกหักอีกด้วย พวกมันดูคล้ายกับเทพ แต่ก็ดูเหมือนปีศาจ ผิวหนังเหี่ยวย่น กล้ามเนื้อหดลีบ ทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม ทำให้ดูสยดสยองอย่างยิ่ง
พวกมันไม่ถือเป็นสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป ร่างกายของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นคาวเลือด และพลังอันไร้ขอบเขตที่ดูเหมือนขุมนรกที่ปกคลุมพื้นที่รอบ ๆ ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านเมื่อเผชิญหน้ากับพวกมัน
เมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เฉินซีรู้สึกว่าเขาตัวเล็กลงเหมือนฝุ่นผง และแทบจะถูกลมกระโชกพัดปลิวไป
“สิ่งเหล่านี้คือศพของเทพโลหิตโบราณ เป็นศพของเทพที่ดับสูญลงที่นี่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แม้พวกมันจะดำรงอยู่นานนับปีโดยไม่พินาศ แต่กลับสูญเสียสติปัญญาทั้งหมด เหลือเพียงสัญชาตญาณในการฆ่าและมีกลิ่นอายที่โหดเหี้ยมเท่านั้น”
เสียงของเตียนเตี้ยนดังกังวานอยู่ในหูเฉินซี “ความแข็งแกร่งของพวกมันเทียบเท่ากับราชันเซียนครึ่งขั้น และตัวตนที่น่าเกรงขามในหมู่พวกมันก็อาจบรรลุขอบเขตราชันเซียนได้ ทว่ามันหาได้ยากที่จะเกิดขึ้น”
ขณะที่กล่าว สืออวี๋ก็กู่ร้องยาว และกล่าวว่า “พวกเจ้าช่วยข้ายึดพื้นที่ของเรา ข้าจะเข่นฆ่าศพเหล่านี้!”
เสียงนั้นดังราวกับฟ้าร้อง และเปี่ยมไปด้วยพลังของราชันเซียนที่ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ
พร้อมกับเสียงนี้ ปราณกระบี่ที่พุ่งไปถึงเก้าชั้นฟ้า พลันพลุ่งพล่านออกมาจากร่างของสืออวี๋ และพวกมันส่องสว่างให้กับฟ้าดิน เปล่งรัศมีสังหารที่เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้
ปราณกระบี่ทั้งหมดได้แฝงพลังของกฎสูงสุดของราชันเซียน พวกมันแช่แข็งมิติและทำให้เวลาช้าลง ประหนึ่งแสงที่ส่องประกายแวววาวไปทุกทิศทุกทาง
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ปราณกระบี่พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ทันใดนั้น พวกมันก็ปกคลุมโลกทั้งใบด้วยแสงสว่างที่ไม่มีใครเทียบได้
เฉินซีรู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตาอย่างรุนแรง และรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “นี่คือพลังของราชันเซียนหรือ? น่ากลัวยิ่งนัก!?”
พรวด! พรวด! พรวด!
บรรดาศพของเทพโลหิตโบราณไม่อาจเข้าใกล้พวกเขาได้ เพราะพวกมันถูกบดขยี้ด้วยปราณกระบี่ที่ไร้ขอบเขต ศพถูกแทงทะลุจนแตกกระจาย และกลายเป็นกองเลือดระเบิดบนท้องฟ้า
เพียงพริบตาเดียว ศพของเทพโลหิตโบราณทั้งสิบก็ถูกสืออวี๋ทำลายในกระบวนท่าเดียว!
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจกับฉากนี้ เพราะศพเหล่านั้นล้วนเทียบได้กับขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น แต่แท้จริงแล้ว พวกมันไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากสืออวี๋ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว! ราวกับพวกมันนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
แน่นอนว่า เฉินซีตระหนักดีว่า สิ่งนี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าศพของเทพโลหิตโบราณเหล่านั้นอ่อนแอมาก และมันแสดงให้เห็นว่า ในฐานะราชันเซียน พลังของสืออวี๋นั้นน่าสะพรึงอย่างแท้จริง และเกินจินตนาการของเขาไปมาก
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการต่อสู้ของราชันเซียนจากระยะใกล้เช่นนี้ มันน่าทึ่งจนไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำกล่าว
ปราณกระบี่ส่งเสียงดังก้อง ก่อนที่จะค่อย ๆ เงียบลง สืออวี๋ที่ยืนอยู่กลางอากาศเป็นเหมือนราชาแห่งกระบี่ที่ดูแคลนสรรพสิ่งในใต้หล้า และทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้
หลังจากนั้น เขาหันหลังกลับไปรวมกลุ่ม ไข่มุกสีเลือดขนาดเท่าหัวแม่มือจำนวนมากอยู่ในฝ่ามือของเขา พวกมันเปล่งประกายเจิดจ้า อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายที่หนาแน่นและคลุมเครือออกมา
“ครั้งนี้นับว่าโชคของเราไม่เลว ข้าได้ไข่มุกวิญญาณเต๋ามาตั้งเจ็ดก้อน” สืออวี๋ยิ้มเบา ๆ เขาแบ่งไข่มุกให้เซียงหลิวหลีและเตียนเตี้ยนคนละสองเม็ด เก็บไว้เองสองเม็ด และมอบเม็ดสุดท้ายให้กับเฉินซี
“ไข่มุกนี้มีพลังของเทพ เป็นแก่นแท้ของการบ่มเพาะทั้งหมดของเทพบรรพกาลที่ดับสูญอยู่ที่นี่ มันมีประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะของราชันเซียน แต่จะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าไม่ดูดซับมันตอนนี้ ไว้ค่อยดูดซับมันหลังจากบรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นก็ยังไม่สาย”
เฉินซีกำลังจะปฏิเสธ ทว่าได้ยินเสียงของเตียนเตี้ยนดังขัดขึ้น “เก็บมันไว้ ทุกคนที่เข้าร่วมการเดินทางจะได้รับส่วนแบ่ง นี่คือกฎของพวกเรา”
“ฮ่า ฮ่า อย่าได้เขินอาย มีสมบัติอีกมากมายในแดนโลหิตนี้ น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่มีประโยชน์เล็กน้อยสำหรับราชันเซียนเช่นเรา ดังนั้นน้องชายเฉินซีจึงต้องใช้เวลาฝึกฝนให้ดีที่สุด มิฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะมีสมบัติมากมายเพียงใด เจ้าก็ทำได้แค่มองดูพวกมัน” เซียงหลิวหลียิ้มเช่นกัน น้ำเสียงเจือแววหยอกเย้าอยู่เล็กน้อย
เฉินซีจึงยอมรับมันแต่โดยดี
โอม~
ทว่า ก่อนที่เฉินซีจะมองพิจารณามัน จู่ ๆ คลื่นพลังผันผวนแปลก ๆ ก็พุ่งออกมาจากภายในร่างกาย และดึงไข่มุกวิญญาณเต๋าที่อยู่ในมือไปทันที
เฉินซีตกตะลึง ก่อนที่คิ้วจะเลิกขึ้น เพราะคลื่นพลังนั้นมาจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก!
“หรือว่ามัน… ต้องการพลังงานภายในไข่มุกวิญญาณเต๋า?
เตียนเตี้ยนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทางของเฉินซีอย่างชัดเจน และนางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “มีอะไรผิดปกติหรือ?”
“เปล่า” เฉินซีส่ายหน้า โดยปกติแล้ว เขาจะไม่บอกนางว่าไข่มุกที่เขาเพิ่งได้รับนั้น ถูกยึดไปโดยชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ริเริ่มที่จะเอาบางอย่างไปจากเขา ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย
เตียนเตี้ยนเพียงยิ้ม นางคิดว่าเฉินซี รู้สึกไม่สบายใจที่จะรับไข่มุกจากสืออวี๋ และอธิบายอย่างอ่อนโยน “แม้ว่าไข่มุกวิญญาณเต๋าเม็ดนี้ จะเป็นแก่นแท้ของเทพบรรกาล แต่เวลาได้ล่วงเลยผ่านเนิ่นนาน ดังนั้นแก่นแท้เหล่านี้จึงสูญหายไปส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่ในไข่มุกเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าล้ำค่านัก”
ตอนนี้ เฉินซีพลันเข้าใจแล้วว่า ไข่มุกวิญญาณเต๋าเหล่านี้ มีพลังเต๋าต้นกำเนิดที่หนาแน่นของเหล่าทวยเทพ แต่ไม่ได้ช่วยให้กลายเป็นเทพจนราชันเซียนต้องการอย่างเร่งด่วน ดังนั้นสำหรับคนเหล่านี้ จึงไม่นับว่ามีค่า
ทว่า สำหรับขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ไข่มุกเหล่านี้เป็นสมบัติที่หายากและล้ำค่า อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการทะลวงสู่ขอบเขตราชันเซียนอย่างมาก
สำหรับเฉินซี ไม่ว่าไข่มุกวิญญาณเต๋าจะหายากและล้ำค่าเพียงใด ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถใช้มันได้ เพราะการฝึกฝนของเขาต่ำเกินไป และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ถูกชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากแย่งไป
ขณะที่คุยกัน พวกเขาก็มุ่งหน้าต่อไป ไปยังส่วนลึกของดินแดนแห่งโลหิต
ที่ราบอันเงียบสงบและรกร้างราวกับความตายนี้ ดูเหมือนจะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด ความเร็วของสืออวี๋ก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น คล้ายรู้สึกกดดันบางอย่าง
แน่นอนว่า ไม่ว่าความกดดันจะมากเพียงใด เฉินซีก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลย
เนื่องจากไข่มุกวิญญาณเต๋าถูกแย่งไปโดยชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ชายหนุ่มจึงสังเกตชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในห้วงจิตสำนึกของตนตลอดทาง แต่กลับไม่พบร่องรอยใด ๆ
เกิดอะไรขึ้น?
เหตุใดชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่ไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน แต่จู่ ๆ กลับมีปฏิกิริยาขึ้นทันทีที่เรา
เข้าสู่แดนโลหิตสังหารเทพของซากโบราณสถานแรกกำเนิด?
ไม่เพียงแต่มันจะต่อต้านกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวในดินแดนโลหิตให้ข้า อีกทั้งยังช่วยให้ข้าหลีกเลี่ยงภัยจากการที่จิตใจถูกครอบงำ และยังเอาไข่มุกวิญญาณเต๋าของข้าไปด้วย การกระทำเหล่านี้ค่อนข้างแปลกพิกล…
ในเวลาต่อมา เฉินซีก็ไม่อาจคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้
เพราะศพของเทพโลหิตโบราณที่น่าสะพรึงกลัวจำนวนมากได้ปรากฏจากส่วนลึกของดินแดนโลหิตอีกครั้ง โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือพวกมันมีจำนวนมากกว่าร้อยตัว และไม่น้อยกว่าพันตัว
ทุก ๆ ที่ที่สายตาสาดส่องถึง มีแสงสีเลือดพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เหล่าซากศพปกคลุมบริเวณโดยรอบ ปกคลุมทั่วทั้งผืนดิน ประหนึ่งมหาสมุทรสีแดงเลือดซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด และอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
กว่าพันตัว!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเทียบเท่ากับราชันเซียนครึ่งขั้นมากกว่าพันคนกำลังรอพวกเขาอยู่ในระยะไกล!
ในขณะนี้ แม้ว่าจะเป็นสืออวี๋ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและพึมพำ “มีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถคาดเดาสาเหตุได้”
“อาจเป็นซุ่ยเหรินถิงแห่งนิกายอำนาจเทวะที่ใช้พลังของเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ เพื่อปกปิดกรรมทั้งหมดของพวกเขา ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาเหตุผลได้” เซียงหลิวหลีกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา ดวงตาที่สุกใสและงดงามเปล่งประกายด้วยปัญญา
“ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าเคยใช้พลังของมงกุฎหยกเก้ากระจ่างมาก่อน เพื่อที่จะปกปิดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเราอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถคาดเดาการกระทำของเราได้เช่นกัน”
“บางทีมันอาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ในความคิดเห็นของข้า ซุ่ยเหรินถิงและคนอื่น ๆ จะไม่กระทำการโดยประมาทก่อนเข้าสู่ภูมิภาคบรรลุเทพ มิฉะนั้นพวกมันก็จะเสียเปรียบอย่างมากเช่นกัน” เตียนเตี้ยนมีท่าทางสบาย ๆ ขวานศึกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์บินไปที่ฝ่ามือของนาง ก่อนจะแย้มยิ้มเบา ๆ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มาจัดการกับไอ้อัปลักษณ์เหล่านี้ก่อนเถอะ”
สืออวี๋และเซียงหลิวหลีต่างก็พยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ตู้ม!
ปราณกระบี่ที่วิเศษและไม่ธรรมดาพลันพุ่งออกมาจากร่างของสืออวี๋อย่างรุนแรงอีกครั้ง และพวกมันก็ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า!
โอม~ โอม~
ในเวลาเดียวกัน เซียงหลิวหลีได้สร้างตราประทับศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือของตน มงกุฎหยกเก้ากระจ่างบนศีรษะเปล่งแสงเรืองรองเก้าสีออกมามากมายนับไม่ถ้วน มันเหมือนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งเข้าหากลุ่มศพของเทพโลหิตโบราณในระยะไกล
“เพียงดู แล้วสงบสติอารมณ์ เข้าใจหรือไม่? อย่าปล่อยให้พวกมันขัดขวางดวงจิตแห่งเต๋าของเจ้า มิฉะนั้นมันจะเป็นอันตรายต่อการฝึกฝน” เตียนเตี้ยนยิ้มขณะหันมาสั่งเฉินซี
ในช่วงเวลาต่อมา ท่าทางที่เย่อหยิ่งและสง่างามก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง หญิงสาววาดท่าทางด้วยมือที่ประณีต ขวานศึกสีม่วงก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นมันก็เปล่งแสงคล้ายรูปทรงจันทร์เสี้ยวจำนวนมากออกมาในทันที
ทุก ๆ ลำแสง ล้วนมีกฎแห่งราชันเซียน
แสงจำนวนมหาศาลมาบรรจบกัน และดูคล้ายจันทร์เสี้ยวที่ทรงพลังอยู่กลางอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น ราวกับว่ามันกำลังฉีกโลกให้เป็นรูโหว่!
แม้ว่าเฉินซีจะได้รับคำแนะนำจากเตียนเตี้ยนก่อนหน้านี้ แต่นัยน์ตากลับหรี่ลงอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจนี้ มันน่าพิศวงจนแทบหายใจไม่ออก
ราชันเซียนทั้งสามโจมตีพร้อมกัน!
จะมีสักกี่คนในสามภพ ที่ได้เห็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และน่าตกใจระดับโลกเช่นนี้ด้วยตนเอง?
การต่อสู้ปะทุขึ้น!
การโจมตีของสืออวี๋ เซียงหลิวหลี และเตียนเตี้ยน เปรียบเสมือนลมบ้าหมูที่ฉีกศพของเทพโลหิตโบราณนับพันออกเป็นสามกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของพวกเขายังทรงพลังราวกับกำลังกวาดใบไม้แห้ง มันทั้งน่าตกตะลึง และน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด
พลังของราชันเซียนปรากฏเป็นที่ชัดเจนอยู่ในขณะนี้!