ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 206 ตะขาบมรกตตัวนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 206 ตะขาบมรกตตัวนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง

บทที่ 206 ตะขาบมรกตตัวนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง

ครึ่งเดือนติดต่อกันหลิงเยว่ก็มิได้ปรากฏตัวที่ร้านต้องคำสาปเลย

ทว่าร้านต้องคำสาปกลับมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการจัดการอย่างอันชาญฉลาดของหัวหน้าตะขาบมรกต ผู้คนทั้งถนนชิงเฟิงต่างหวาดผวา บรรยากาศตึงเครียดแผ่ไปยังถนนข้างเคียงด้วย

“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ร้านต้องคำสาปนั่นเพื่อหาหินวิญญาณเลยเริ่มบังคับซื้อบังคับขายแล้ว!”

“ข้าได้ยินจากผู้คนในถนนชิงเฟิงเล่าว่า นางมักใช้อสูรรับใช้ในร่างมนุษย์ตนนั้นมาจับผู้คนไปเป็นลูกค้าในร้านเพื่อหาหินวิญญาณด้วยวิธีป่าเถื่อน”

“ไม่มีผู้ใดจัดการพวกเขาได้หรือ?”

“จะจัดการอย่างไรเล่า? อสูรแปลงกายตนนั้นมีพลังอันลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ ส่วนเจ้าของร้าน นางก็มีทั้งสำนักคอยหนุนหลัง ใครเล่าจะกล้าแตะต้องพวกเขา?”

ไม่ใช่ว่าพวกเขาจำต้องไปใช้บริการในร้านนั้นโดยสมัครใจใช่หรือไม่?

เมื่อวันใหม่มาถึง หัวหน้าตะขาบมรกตมองไปยังร้านต้องคำสาปอันเงียบเหงา ดวงตาหมุนกลอกไปมา แล้วร่างก็หายวับไปทันที เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็อยู่ในร้านขายสมุนไพรแห่งหนึ่งบนถนนแล้ว

เจ้าของร้านและลูกจ้างที่หลบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา ต่างตื่นตระหนกจนต้องกลั้นลมหายใจด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เกรงว่าลมหายใจจะรั่วไหลออกไปจนถูกจับได้

“อืม… ไม่มีผู้ใดอยู่หรือ?” น้ำเสียงอันคุ้นเคยนี้ทำให้ผู้ที่หลบซ่อนอยู่แทบจะร้องไห้ออกมา เขาผู้นั้นมาแล้ว เขามาอีกแล้ว! เหตุใดไม่ไปหาผู้อื่นบ้างเล่า?

“ซ่อนตัวอยู่ที่นี่เอง…” จากนั้นทั้งห้าคนที่หลบซ่อนอยู่หันขวับไปตามสัญชาตญาณ แล้วก็ได้สบตากับหัวหน้าตะขาบมรกตที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน

“นายท่าน พวกข้าไม่มีหินวิญญาณแล้วจริง ๆ” เจ้าของร้านกล่าวด้วยเสียงสะอื้น

หลังจากที่ถูกจับไปใช้จ่ายที่ร้านต้องคำสาปติดต่อกันราวครึ่งเดือน หินวิญญาณที่เก็บไว้เพื่อเอาไปซื้อของก็แทบไม่เหลือแล้ว ไม่ใช่ว่าอาหารวิญญาณพิเศษไม่อร่อยหรือสุราวิญญาณไม่ดี แต่พอกินเข้าไปแล้วก็อดใจสั่งเพิ่มอีกไม่ได้ ไปครั้งหนึ่งก็หมดไม่ต่ำกว่าสองสามล้านหินวิญญาณ

หัวหน้าตะขาบมรกตมองเจ้าของร้านสมุนไพรอย่างถี่ถ้วน เอ่อ… คนผู้นี้ในระยะหลังมักจะถูกเชื้อเชิญไปที่นั่นไม่ใช่หรือ? ช่างเถิด ถ้าอย่างนั้นวันนี้เขาจะละเว้นพวกนั้นชั่วคราวแล้วกัน

ด้วยเหตุนี้ หัวหน้าตะขาบมรกตจึงส่งเสียงฮึดฮัดออกมาก่อนที่จะเดินจากถนนช่วงด้านหน้าไปยังท้ายถนนแทน

บรรดาผู้คนท้ายถนนราวกับได้ยินข่าวคราวใดมาล่วงหน้า และเพื่อรักษาหินวิญญาณของตนเองเอาไว้ พวกเขาจึงหนีกันจ้าละหวั่นออกไปในชั่วข้ามค่ำคืน!

นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัวหน้าตะขาบมรกต เขาจึงออกไปที่ถนนข้าง ๆ ทันที จัดการเชิญผู้คนทั้งหมดที่รวมตัวกันเพื่อพูดคุยเรื่องร้านต้องคำสาปแห่งนี้กลับไปทั้งหมด

“ยังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือไม่?!”

ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนแห่งนี้จะไปหาความยุติธรรมใดได้ มีแต่กฎแห่งพลังต่างหาก!

เหล่าศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษรู้สึกชาชินไปแล้วเมื่อเห็นลูกค้าแปลกหน้าที่ร้องไห้คร่ำครวญหรือด่าทอเสียงดังโวยวายภายในร้าน ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งหัวหน้าตะขาบมรกตผู้ซึ่งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำงานให้ดีได้ เขาแค่ต้องการให้ร้านต้องคำสาปแห่งนี้ได้รับหินวิญญาณมากขึ้นเท่านั้นเอง เขาผิดตรงไหนเล่า?

หัวหน้าตะขาบมรกตไม่รู้สึกว่าตนเองผิด กลับยังรู้สึกยินดีในเรื่องนี้ยิ่งนัก เมื่อเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยออกจากห้องบำเพ็ญแล้ว เขาจะต้องได้รับคำชื่นชมจากนางเป็นแน่!

หลิงเยว่ใช้เวลาครึ่งเดือนสิ้นเปลืองวัสดุมากมาย จนในที่สุดก็คิดค้นตำราชาแปลงกายแบบใหม่สำเร็จ ชาแปลงกายนั้นบรรจุอยู่ในขวดเล็ก ๆ หนึ่งใบ ภายในขวดนี้มีประมาณสามสิบหยด แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถแปลงร่างจากร่างเดิมเป็นร่างสัตว์ได้จริงหรือไม่นั้นยังต้องพิสูจน์ดูเสียก่อน นางควรจะดื่มมันดีหรือไม่?

“เจ้ามาหาข้าสักครู่!”

หัวหน้าตะขาบมรกตมาถึงในทันทีที่ได้รับการสื่อสารทางจิตจากหลิงเยว่

“เจ้าจะทำสิ่งใด?”

“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง…” หัวหน้าตะขาบมรกตกำลังจะบอกหลิงเยว่ถึงความสำเร็จของตนในช่วงเวลานี้ แต่กลับถูกขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“รอสักครู่ หากข้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เจ้าจำไว้ว่าจะต้องพาข้าไปหาท่านอาจารย์ใหญ่!” หลิงเยว่ยกดื่มชาแปลงกายแบบใหม่ขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“จะเกิดอะไร…” ยังไม่ทันพูดคำว่า ‘ขึ้น’ หลิงเยว่ก็งอกหนวดออกมาต่อหน้าต่อตาหัวหน้าตะขาบมรกต

หนวดคู่นี้ ช่างคุ้นตานัก!

หัวหน้าตะขาบมรกตเผลอลูบหนวดที่ซ่อนอยู่ในเส้นผม แต่ยังไม่ทันได้ตกใจ ศีรษะของหลิงเยว่ก็กลายเป็นหัวของตะขาบมรกตแต่ลำตัวยังเป็นมนุษย์

หัวหน้าตะขาบมรกตผู้เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าแท้จริงแล้วหัวแท้ของตนเองนั้นอัปลักษณ์อย่างแปลกประหลาด แล้วโยนความผิดทุกประการให้หลิงเยว่ นางต้องจงใจทำให้เขาดูอัปลักษณ์เป็นแน่!ตัวจริงของเขาต้องสง่างามกว่านี้อย่างแน่นอน!

“เหตุใดจึงไม่กลายเป็นตะขาบมรกตทั้งตัวเล่า?”

หลิงเยว่รอให้ร่างกายกลายเป็นตะขาบมรกตทั้งตัวนานแล้ว แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้น นางพยายามเบิกตาสีแดงเล็ก ๆ ของตนเอง แล้วจ้องมองไปที่มือเรียวสวย พลางเอามือไปแตะที่คอและไหล่ นอกจากศีรษะจะกลายเป็นตะขาบมรกตแล้ว ส่วนที่เหลือยังคงเป็นมนุษย์

หลิงเยว่ไม่อาจคาดคิดได้ว่าตอนนี้ตนเองอัปลักษณ์เพียงใด และไม่กล้าสบตากับภาพสะท้อนของตนเองในดวงตาของหัวหน้าตะขาบมรกตอีกด้วย นางกลัวว่าจะทำให้จิตใจอันเปราะบางของตนต้องสั่นสะเทือน

“เจ้าทำสิ่งใดกัน?!” ในที่สุดหัวหน้าตะขาบมรกตก็เอ่ยถามขึ้น

หลิงเยว่ไม่ตอบ แต่กลับครุ่นคิดว่า เพียงหยดเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้กลายเป็นตะขาบมรกตได้ทั้งตัวเช่นนั้นหรือ?

ด้วยเหตุนี้ นางจึงดื่มเข้าไปอีกหนึ่งหยด จากนั้นครึ่งตัวบนก็กลายเป็นตะขาบมรกต ส่วนครึ่งตัวล่างยังคงเป็นมนุษย์เช่นเดิม

หัวหน้าตะขาบมรกตรีบเอามือปิดตาตนเอง

หลิงเยว่ “…”

นางกัดฟันดื่มเข้าไปอีกหนึ่งหยด แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

สามหยดยังไม่พออีกหรือ?!

สี่หยด… ห้าหยด จนกระทั่งดื่มครบห้าหยด หลิงเยว่จึงสังเกตเห็นว่าร่างกายส่วนล่างเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว

ตะขาบมรกตอวบอ้วนตัวหนึ่งนั่งอยู่ในท่าของมนุษย์บนพื้น ปีกบาง ๆ สี่ปีกด้านหลังกระพืออยู่ตลอดเวลา จนฝุ่นตลบ แต่ไม่รู้ว่าเพราะมันอ้วนและหนักเกินไปหรือเพราะยังไม่ชำนาญในการบิน มันกระพือปีกอยู่นานสองนานกว่าจะลอยขึ้นจากพื้นได้เพียงไม่กี่ชุ่น

หัวหน้าตะขาบมรกตไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมา

ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าหลิงเยว่ได้หมกมุ่นคิดค้นสิ่งใดในระหว่างที่หลบซ่อนตัวไปครึ่งเดือน นางคิดค้นวิธีการที่จะกลายร่างเป็นตะขาบมรกตอย่างนั้นหรือ?!

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าบินได้แล้ว!” หลิงเยว่พยายามอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดนางก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ บินวนอยู่รอบ ๆ หัวหน้าตะขาบมรกตอย่างเชื่องช้า ภายในห้องนี้ไม่สามารถบินวนได้อย่างใจต้องการ นางจึงบินออกไปด้านนอก

เมื่อบินออกมาแล้ว ภาพรวมทิวทัศน์ของสำนักก็ปรากฏอยู่ในสายตา ทำให้นางรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของนาง

เมื่อได้เห็นเจ้าตะขาบมรกตที่อยู่เพียงลำพังเช่นนี้ เถาวั่งจึงเกิดความฉงนใจอย่างยิ่ง

หนำซ้ำดวงตายังเป็นสีแดงอีก…

“หัวหน้าตะขาบมรกตหรือ?”

หลิงเยว่นั้นไม่กล้าขานรับ ด้วยเกรงว่าจะทำให้ผู้อาวุโสตกใจกลัวหรือไม่?

นางจึงเลียนแบบหัวหน้าตะขาบมรกต พลางจ้องไปที่เถาวั่งด้วยสายตาเหยียดหยาม จากนั้นนางก็กระพือปีกแล้วบินจากไป

สมกับเป็นหัวหน้าตะขาบมรกตเสียจริง คงจะมีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่จ้องมนุษย์ราวกับมดปลวกได้เช่นนี้ เถาวั่งคิดในใจ

หัวหน้าตะขาบมรกต “…”

ปกติเขาชอบมองมนุษย์แบบนี้หรือ?

หลิงเยว่กำลังบินในอากาศ ทั้งกลับหัว บินตะแคง บินพุ่งลงมาแล้วพุ่งขึ้นไปอีก… ท่าทางการบินอันหลากหลายทำให้เหล่าลูกศิษย์จำนวนมากต่างมามุงดูด้วยความสนใจ

“ตะขาบมรกตตัวนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง”

“มันกำลังจะเต้นรำอยู่หรือ?”

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนว่าตะขาบมรกตสี่ปีกตัวนี้มันเพิ่งหัดบินเลย”

หัวหน้าตะขาบมรกตกลั้นใจไม่ให้ตบหลิงเยว่ที่กำลังทำตัวงี่เง่าบินอวดโง่อยู่บนท้องฟ้า

เถาวั่งจ้องมองตะขาบมรกตตัวอ้วนอยู่ชั่วครู่ เขาไม่แน่ใจว่านี่คือหัวหน้าตะขาบมรกตหรือไม่ แต่ไม่แน่ว่าบางทีมันอาจจะกำลังมึนเมาแล้วคลั่งอยู่ก็ได้?

เมื่อหลิงเยว่บินจนพอใจแล้ว จึงเริ่มการแสดงที่น่าขบขันและชวนโมโหยิ่งขึ้นไปอีก

นางโอบอุ้มถังใบเล็กขึ้นมาแล้วคายน้ำลาย ราวกับคนที่เมาแล้วกอดถังอาเจียน

ผู้คนที่อยู่ตรงนั้น “…”

ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!

หลังจากคายน้ำลายไปพักหนึ่ง หลิงเยว่ก็ตกลงมายังพื้นหญ้า นางพยายามคายของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ทว่า… หญ้าบนพื้นกลับไม่ได้ถูกกัดกร่อน และน้ำลายก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ปี้สุ่ยเย่

ชาแปลงกายแบบใหม่นั้น สามารถทำได้แต่เพียงรูปร่างและความสามารถในการบินของตะขาบมรกตสี่ปีกเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ลองคิดดูเถิด หากว่านางได้วิชาประจำกายของหัวหน้าตะขาบมรกตได้โดยง่ายดายเช่นนั้น ไม่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นเผ่าพันธุ์ของพวกมันหรือ?

หลิงเยว่รู้สึกได้ถึงความร้อนระอุไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าคงไม่สามารถรักษาร่างนี้เอาไว้ได้ จึงแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวมรกต พุ่งเข้าไปในห้องบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว เมื่อเท้าของนางสัมผัสพื้น ร่างกายก็กลับคืนสู่สภาพของหญิงสาวอีกครั้ง

หลิงเยว่ยังไม่ทันได้กล่าวคำใด นางก็สิ้นสติไปทันที

เหตุการณ์ที่หัวหน้าตะขาบมรกตรู้สึกตกตะลึงในวันนี้นั้น มีมากกว่าทั้งปีเสียอีก!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท