ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 267 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-9

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 267 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-9

“พวกเราสหายทั้งสาม ผู้ใดจะเริ่มก่อน”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าวถาม

อั๋งหรานและอั๋งสยงมองหน้ากันตื่นตกใจ

ยามนี้พวกเขาสองคนไม่มีผู้ใดกล้าแย่งเป็นผู้เริ่มก่อน

แม้ระยะยิงธนูจะไกลเพียงนี้ ก็ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน

แต่ผู้ที่ยิงคนแรก มักจะเพิ่มประสบการณ์ให้สองคนหลังเสมอ

“ข้าเอง!”

อั๋งหรานกล่าว

จากนั้นหยิบคันศรและลูกธนูจากมือองครักษ์ด้านข้าง

เขาดึงคันศรยิงความว่างเปล่าไปก่อนโดยไม่ใส่ลูกธนู

อั๋งหรานหลับตาเงี่ยหูฟัง

ตั้งใจฟังเสียงอื้ออึงที่ดังจากสายคันศรอย่างละเอียด

คันศรนี้

เขาไม่เคยใช้มาก่อน

ย่อมต้องทำความคุ้นชินกับมันก่อน

อั๋งสยงและหลางอ๋องหมิงเย่าหาได้เร่งเร้าไม่

เพียงยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

อั๋งหรานรอจนกระทั่งเสียงดีดสายธนูหายไปถึงลืมตาขึ้น

จากนั้นเขาใช้มือคลำทั่วคันศรหนึ่งรอบ

เขาสร้างสายสัมพันธ์กับคันศรนี้

แม้ว่าคันศรจะไร้ซึ่งจิตวิญญาณก็ตาม

แต่สำหรับมือธนูแล้ว คันศรก็สำคัญไม่ต่างกับหมาป่าใต้สะโพกของพวกเขา

ล้วนเป็นสหายที่เชื่อใจได้มากที่สุด

แม้อั๋งหรานจะสร้างสายสัมพันธ์ลุ่มลึกประเภทนี้แล้ว

แต่สายสัมพันธ์ประเภทนี้หาได้ยั่งยืนและลึกซึ้งไม่

ฉะนั้นเขายังเตรียมพร้อมและค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอยู่

หลางอ๋องหมิงเย่าถอยหลังไปครึ่งก้าว

เขาไม่ต้องการให้อั๋งสยงและคนอื่นๆ เห็นอารมณ์บนใบหน้าของเขาในยามนี้

ทว่าแต่ไรมาสีหน้าของเขาก็ราบเรียบไม่สุขไม่ทุกข์

แต่ในใจตอนนี้พึงพอใจอย่างยิ่ง

แม้ในยามปกติสองพี่น้องอั๋งหรานและอั๋งสยงจะต่อสู้แย่งชิงไม่หยุดหย่อน

แต่เมื่อเผชิญกับความชอบธรรมของทุ่งหญ้าก็ยังจริงใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างยิ่ง

ยิ่งกว่านั้นอุปนิสัยของสองพี่น้องนี้เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าเติมเต็มซึ่งกันและกัน

อั๋งสยงมุทะลุกว่า

กล้าหาญแต่หาได้มีแผนการกลยุทธ์ไม่

ย่อมหุนหันพลันแล่นยิ่งกว่าอั๋งหราน

แม้ว่าอั๋งหรานก็หาได้ละเอียดถึงเพียงนั้นไม่

แต่ก็ยังมีความคิดรอบคอบกว่าอั๋งสยงมากโข

เพียงแค่ดูสถานการณ์ในตอนนี้ก็จะรู้

ไม่ว่าจะยิงเข้าเป้าหรือไม่ จะยิงแม่นหรือไม่

เขาล้วนกระทำโดยสะเพร่าเลินเล่อ

ทว่าอั๋งหรานต่างออกไป

หากเขาไม่ง้างคันศร

ก็ต้องง้างคันศร ยิงธนูดอกเดียวก็สามารถเข้าเป้า

“จะว่าไปแล้ว อีกห้าวันก็จะเป็นวันพระราชสมภพของท่านหลางอ๋องแล้ว!”

จู่ๆ อั๋งสยงก็หันกลับมาพร้อมเอ่ย

“เฮ้อ…”

หลางอ๋องหมิงเย่าถอนหายใจยาว

“เสียเวลาเปล่าๆ ไร้ความสำเร็จไปอีกหนึ่งปี”

หมิงเย่าเอ่ยพลางทอดถอนอารมณ์

อั๋งสยงพลันเงียบขรึม

พวกเขาล้วนรับรู้ความปรารถนาและความทะเยอทะยานอันสูงส่งของหลางอ๋องหมิงเย่า

ยามเยาว์วัย หลางอ๋องหมิงเย่าโปรดปรานการเฉลิมฉลองวันเกิดอย่างยิ่ง

ยามเช้าตรู่ มารดาของเขาจะส่งชุดคลุมหนัง บังเหียนและอานใหม่เอี่ยมหนึ่งชุดให้ด้วยตนเอง

ชุดคลุมหนังเอาไว้ให้หมิงเย่าสวมใส่

เปลี่ยนบังเหียนและอานใหม่ให้หมาป่า

หมาป่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา

ดังนั้นวันเกิดของเขาก็พลอยเป็นวันเกิดของหมาป่าที่ควบใต้สะโพกด้วย

แต่ตอนนี้หลางอ๋องหมิงเย่าเกลียดวันเกิดยิ่งนัก

บอกว่าเกลียดสู้บอกว่ากลัวจะดีกว่า

……………………..

ยามที่ยังเยาว์วัยไม่เคยเกรงกลัววันเวลาที่ผ่านพ้นไป

ทั้งยังเคยถามบิดาว่า เหตุใดกองไฟจึงลุกโชนทั้งคืนไม่มอดดับ

หลางอ๋องผู้เฒ่าจูงมือเขา นั่งยองตรงหน้าแล้วบอกเขา

สิ่งนั้นล้วนเป็นวิญญาณผู้กล้าหาญของเหล่าบรรพบุรุษ

เหล่าบรรพบุรุษใจกว้างยิ่งนัก ไม่อยากเห็นลูกหลานรุ่นหลังของพวกเขาต้องทนทุกข์จากความมืดมิด ฉะนั้นจึงสว่างไสวทั้งวันทั้งคืน

จากนั้นหลางอ๋องผู้เฒ่าชี้ตนเองแล้วเขี่ยปลายจมูกของหมิงเย่าพลางกล่าว

“ในภายภาคหน้าเจ้าและข้าก็ต้องกลายเป็นหนึ่งในวิญญาณผู้กล้าหาญเหล่านี้ พวกเราต้องใจกว้างเอื้อเฟื้ออย่างไร้สิ้นสุดดังเช่นบรรพบุรุษ เพื่อปกป้องลูกหลานคนรุ่นหลังของเราและปกป้องทั้งทุ่งหญ้า”

แม้หมิงเย่าจะพยักหน้า

แต่เขาในยามนั้นไหนเลยจะเข้าใจความหมายเหล่านี้

ในโลกใบนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ผู้คนเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว

นั่นก็คือการลาจาก

การลาจากมักเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ผู้คนเหล่านี้ไม่จากเป็นก็จากตาย

แต่ไม่ว่าจะลาจากในรูปแบบวิธีใด

ล้วนทำให้ผู้คนตระหนักรู้โดยพลัน

ทว่าโอกาสตระหนักรู้เช่นนี้ไม่อาจคาดเดาได้

มักจะเป็นการพานพบที่ไม่คาดคิดเสมอ

แต่เมื่อวันเวลาล่วงผ่านไป เคยปฏิบัติตนอย่างดีต่อผู้ใดหรือไม่

วันเกิดผ่านไปปีแล้วปีเล่ามักจะมาถึงอย่างไม่คาดคิดเสมอ

แต่หากสิ่งที่ตกตะกอนในช่วงวันเวลาที่ผ่านมาไม่สามารถลบล้างความธรรมดาสามัญได้ละก็ หลางอ๋องหมิงเย่ายอมไม่ฉลองวันเกิดนี้เสียดีกว่า

แต่เขาเป็นคนที่ดื้อรั้นยิ่งนักเช่นกัน

เขาตัดสินใจที่จะสู้สุดชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไปจนถึงที่สุด

หากไม่ถูกกาลเวลาดับสลายกลายเป็นวิญญาณผู้กล้าหาญในกองไฟ

ก็ต้องกลายเป็นช่วงเวลาที่สว่างรุ่งโรจน์

บันทึกลงในตำราของเหล่าชาวทุ่งหญ้ารุ่นหลัง ได้รับการยกย่องหลายชั่วอายุเช่นเติร์ก

จำได้ว่าตอนที่เขาเพิ่งจะสืบทอดตำแหน่งหลางอ๋องเคยกล่าวกับผู้นำหน่วยฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวารวมไปถึงสองพี่น้องอั๋งหรานและอั๋งสยงไว้ว่า

หากวันหนึ่งพบว่าร่างของเขาแน่นิ่งไม่มุ่งมั่นดังเช่นแต่ก่อน

ทว่าเลือกที่จะก้มศีรษะและสบายใจไม่ทุกข์ร้อน

เช่นนั้นจงตั้งใจแน่วแน่อย่าได้ตระหนี่ดาบที่คาดเอวของพวกเขา

จงฟันดาบมาที่เขาอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อศัตรู

คำกล่าวเช่นนี้ ทำเอาทั้งทุ่งหญ้าตกตะลึง!

พวกเขารู้ดีว่าทุ่งหญ้าอาจกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่การเปลี่ยนแปลงจะมาถึงเมื่อใด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

หลางอ๋องผู้เฒ่าก็รู้ดีว่าบุตรชายของตนมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยามเป็นเด็ก

แต่เขามักจะเตือนอยู่บ่อยครั้งเพราะกลัวว่าเขาจะมักใหญ่ใฝ่สูงเกินไป

“เจ้าต้องอดทน ไม่ว่าฤดูกาลจะผันผวนสักกี่หน เจ้าต่างต้องอดทน อาจเป็นไปได้ว่าหิมะขาวโพลนแม้สิบปีก็ไม่ละลาย แต่ตราบใดที่อดทนต่อไปมักจะรอจนถึงช่วงวสันต์ดอกไม้บานสะพรั่ง เจ้ายังต้องเดิน เดินต่อไปบนเส้นทาง ห้ามหยุดก้าวเดินเด็ดขาด แม้ว่าจะเดินมาแล้วสิบปีตรงหน้าก็ยังมืดสนิท แต่ตราบใดที่ยืนหยัดเดินต่อไปก็มักจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ลึกเช่นกัน”

หมิงเย่าในยามนั้นฟังคำชี้แนะตักเตือนเช่นนี้ไม่ค่อยเข้าใจ

มักจะรู้สึกว่าตนทำได้

ความยิ่งใหญ่ปกคลุมใต้หล้าทั้งแนวตั้งและแนวนอน

แต่ตอนนี้กลับเข้าใจความเฉลียวฉลาดของบิดามากขึ้นเรื่อยๆ

หลางอ๋องผู้เฒ่า ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมหรือยุทธศาสตร์ทหารล้วนไม่ด้อยไปกว่าเขา

แต่เหตุใดเขาขจึงไม่เคลื่อนทัพลงใต้ยึดครองอำนาจในใต้หล้า

เพียงเพราะมันไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม

แทนที่จะสูญเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์

สู้เตรียมพร้อมลับอาวุธทำสงครามในทุ่งหญ้าอย่างสงบสุขและมั่นคงจะดีกว่า

หากปราศจากความมั่นคงที่เขานำมาในช่วงยี่สิบหรือสามสิบปีสุดท้าย ทุ่งหญ้าในตอนนี้จะมีทัพที่แข็งแกร่งและเสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร

พฤติกรรมบางอย่างที่ดูเหมือนจะอ่อนข้อและอ่อนแอ อันที่จริงแล้วเป็นเพียงการอดทน

แค่รอโอกาสเท่านั้น

หลางอ๋องหมิงเย่าไม่รู้ว่าตอนนี้นับว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่

หากเป็นไปได้

เขาอยากจะถามบิดาจริงๆ

มีความสับสนเล็กน้อย แต่ไม่หวั่นกลัววันเวลาในภายภาคหน้า

สิ่งที่เขาหวาดกลัวมีเพียงช่วงเวลาผ่านไปที่แสนจะธรรมดาและไร้รสชาติต่างหาก

อาจมีบางครั้งที่ผู้คนฝืนธรรมชาติ

แต่สวรรค์หาได้มีเส้นทางสมบูรณ์แบบให้มนุษย์ไม่

เช่นเดียวกับถ้อยคำโน้มน้าวจิตใจของหลางอ๋องผู้เฒ่า

ตราบใดที่เดินต่อไป ก็จะสามารถเดินไปถึงสถานที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าในที่สุด

……………………..

หลางอ๋องหมิงเย่าเงยหน้าขึ้นมองกองไฟหน้ากระโจมหลวง

พลันท่องรายนามของอดีตหลางอ๋องที่ตนเองนึกออกทั้งหมดหนึ่งรอบในใจ

รวมถึงตัวเขาเอง

ทันทีที่สิ้นเสียงคำว่า ‘หมิงเย่า’ ในใจ

อั๋งหรานยิงลูกธนูแล้ว

ธนูลูกนี้ยิงเข้ากลางเป้ากระจกทองแดงอย่างประจวบเหมาะ

แม้จะไม่ทะลุกระจกทองแดง แต่ก็ทำให้มีรอยบุบเล็กน้อย

“วิชาธนูยอดเยี่ยม!”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าวชมเชย

“นึกถึงยามที่เราสามคนยังเยาว์วัย เพลงกระบี่ของสหายอั๋งหรานแม่นยำเสมือนจับวาง ไม่มีผู้ใดในทุ่งหญ้าเทียบได้! คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม!”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าวต่อ

อั๋งหรานไม่เปลี่ยนสีหน้า

ไม่แม้แต่ตอบรับคำ

เพราะเขาวางลูกธนูดอกที่สองไว้บนสายธนูของเขาแล้ว

‘เพล้ง!’

หลังจากเสียงดังอื้ออึง

ตำแหน่งลูกธนูดอกที่สองแทบจะไม่ต่างจากลูกธนูดอกแรก

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือลูกธนูดอกแรกไม่อาจทะลุผ่านกระจกทองแดงได้

ทว่ากลับทำให้มันบุบลึกเข้าไปถึงสามส่วน

“ธนูดอกสุดท้ายแล้ว!”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว

“ท่านหลางอ๋องคิดว่าอั๋งหรานจะสามารถยิงดอกนี้ทะลุกระจกทองแดงได้หรือไม่”

อั๋งสยงกล่าวถาม

“เจ้าคิดว่าอย่างไร”

หลางอ๋องหมิงเย่าย้อนถาม

เพื่อกษัตริย์ เพื่อผู้เป็นนาย

ย่อมไม่อาจเอ่ยวาจาก่อน

มักจะรับฟังข้อโต้แย้งทั้งหมดเสียก่อนจึงจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย

“ข้ารู้สึกว่าเหลือกำลัง…”

อั๋งสยงกล่าว

“เช่นนั้นระหว่างเรามาพนันกันอีกสักตาเถิด”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว

“พนันสิ่งใด”

อั๋งสยงกล่าวถาม

“ข้าพนันว่าธนูดอกที่สามของอั๋งหรานจะทะลุกระจกทองแดง”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว

“เช่นนั้นข้าพนันว่าเขาทำไม่ได้!”

อั๋งสยงกล่าวอย่างร่าเริง

“ได้! แพ้แล้วข้าจะมอบอานใหม่เอี่ยมให้เจ้า หากเจ้าแพ้แล้วต้องชักดาบคู่ร่ายระบำเพิ่มความสนุกสนาน!”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว

เขาใช้อานม้าเป็นของเดิมพัน

ความจริงแล้วสร้างมาเพื่อวันเกิดของตน

แต่สถานการณ์ปัจจุบันในทุ่งหญ้าและอาณาจักรห้าอ๋องทำให้เขาไร้ซึ่งความคิดใดจริงๆ

สู้มอบให้เป็นของขวัญแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะดีเสียกว่า

พวกเขาเพิ่งทำการเดิมพัน

อั๋งหรานยิงธนูดอกที่สามออกไป

‘เคร้ง!’

ธนูดอกนี้มีแรงเจาะทะลุกระจกทองแดงมากกว่าหนึ่งฉื่อ

“ฮ่าๆๆ! ดูเหมือนว่าจ้าจะคว้ารางวัลของท่านหลางอ๋องมาได้แล้ว!”

อั๋งหรานโยนคันศรในมืออย่างผ่าเผย หันกายมาพร้อมกล่าว

“สหายอั๋งหรานเรียกได้ว่าเป็นเทพแห่งศรของทุ่งหญ้าข้าจริงๆ!”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว

“สหายอั๋งสยงดูเหมือนว่าเจ้าจะแพ้เดิมพันระหว่างเราแล้ว!”

หลางอ๋องหมิงเย่าหันไปกล่าวกับอั๋งสยง

“พ่ะย่ะค่ะ…ข้าไม่อาจเอาชนะการคำนวณอันชาญฉลาดท่านหลางอ๋องได้”

อั๋งสยงก้มหน้ากล่าวด้วยความละอายใจ

“แต่กระจกทองแดงมีเพียงหนึ่งเดียว สหายอั๋งหรานยิงทะลุไปแล้ว เราสองคนก็ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันต่อไปอีก!”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว

จากนั้นคล้องกาสุรางาช้างที่ลูกธนูคาอยู่ให้อั๋งหราน

“ขอบคุณท่านหลางอ๋อง!”

อั๋งหรานค้อมกายและกล่าว

“นอกจากวิชาธนูที่มีฝีมือน่าอัศจรรย์แล้ว อีกประเดี๋ยวยังได้รับชมการร่ายระบำดาบคู่ของสหายอั๋งสยง ค่ำคืนนี้ช่างรื่นเริงเสียจริง!”

หลางอ๋องหมิงเย่ากล่าว

จากนั้นสั่งให้คนจัดโต๊ะและม้านั่งด้านนอกใหม่อีกครั้ง

เนื้อตุ๋นและสุราย่อมไม่ต้องเอ่ยให้มากความ

หลังจากอั๋งหรานรอให้หลางอ๋องหมิงเย่านั่งลง ตนก็นั่งลงเช่นกัน

ทั้งสองคนดื่มสุรา

เตรียมพร้อมรับชมการร่ายระบำของอั๋งสยงด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

จนถึงจุดนี้ จุดประสงค์ที่หลางอ๋องเรียกทั้งสองคนมาในวันนี้เป็นอันบรรลุสมบูรณ์

สามารถผ่อนคลายกายใจ ดื่มด่ำอย่างเต็มที่!

เพียงแต่ในใจของเขากลับหวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับบิดา

……………………..

“ท่านพ่อ หากเอาแต่เดินต่อไปไฟจะส่องสว่างได้จริงหรือ ท่านดูปลานั่นสิ ไม่ว่าจะว่ายอย่างไรก็ไม่อาจขึ้นฝั่งได้!”

หมิงเย่ายามเยาว์วัยถามบิดาของเขา

“จริงอยู่ที่ปลาไม่อาจขึ้นฝั่งได้ แต่ตราบใดที่มันยืนหยัดไม่ย่อท้อก็สามารถว่ายจากลำธารไปจนถึงทะเลบูรพา เช่นเดียวกับมนุษย์ต่างคิดว่าคางคกตามหงส์ไม่ทัน หากคางคกนี้เอาแต่กระโดด ทว่าหงส์ย่อมมีช่วงที่บินเหินเหน็ดเหนื่อยแล้วลงมาพักเท้า”

หลางอ๋องผู้เฒ่ากล่าว

“ข้าไม่โปรดคางคก ข้าโปรดหงส์!”

หมิงเย่ากล่าวเช่นนี้

“ความโปรดปรานไม่อาจชัดเจนเกินไป โดยเฉพาะเจ้า จงรู้ไว้ว่าเรื่องราวในโลกนี้ส่วนใหญ่มีเพียงความแตกต่าง แต่ไร้ซึ่งถูกผิด หากรู้สึกว่าผิดแล้ว ตราบใดที่ความผิดไม่ใหญ่ล้วนควรให้เห็นอกเห็นใจ เพียงแต่ถ้อยคำความเห็นใจและโปรดปรานนี้ต้องเอ่ยในช่วงเวลาสำคัญ จะเอ่ยพร่ำเพรื่อไม่ได้”

หลางอ๋องผู้เฒ่ากล่าว

หลางอ๋องหมิงเย่ามองภาพสะท้อนของตนในจอกสุรา

สุดท้ายแล้วเขาเป็นหงส์หรือคางคกกันแน่

หลางอ๋องผู้เฒ่าต้องอธิบายไม่ชัดเจนเป็นแน่

ต่อให้เขาจะเป็นเพียงคางคก

หลางอ๋องหมิงเย่าก็ต้องการเป็นคางคกที่เอาแต่กระโดดไปข้างหน้าไปตามทิศทางของตนเองอย่างต่อเนื่อง

กระโดดจนกระทั่งหงส์เหนื่อยสายตัวแทบขาด กระโดดจนแทบตัวตาย

จากนั้นยามที่มันเหนื่อยล้าผ่อนคลายที่สุด ตนจะรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายกระโดดขึ้นบนหลังของมัน

แม้จะไม่มีฟันแหลมคม

ก็จะพยายามกัดขนบนคอหงส์สุดแรง

ต่อให้จะใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็ตาม

แต่ในเวลาเพียงชั่วครู่นั้น เขาจะเป็นผู้ชนะ

……………………………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท