สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 193 เข้าวังถวายพระพรปีใหม่

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 193 เข้าวังถวายพระพรปีใหม่

วันที่หนึ่งของปี บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงต้องมาเข้าร่วมงานเลี้ยงถวายพระพรปีใหม่ฮ่องเต้ ส่วนฮูหยินที่ได้รับแต่งตั้งก็จะเข้าวังถวายพระพรปีใหม่ต่อไทเฮาและฮองเฮาเช่นกัน

ฮองเฮาหายตัวไปนานแล้ว นายหญิงปกครองวังหลังยังคงว่างเว้นมาตลอด ฮูหยินที่ได้รับแต่งตั้งต้องมาถวายพระพรไทเฮาและพระสนมซูเฟยที่ดูแลวังหลัง ยังมีเสด็จแม่ของชิ่งอ๋อง

พรุ่งนี้องค์หญิงใหญ่เจาหยางย่อมต้องเข้าวังมาร่วมงาน

“ขอบพระทัยเสด็จแม่” ไทเฮาตรัสให้ผ่านไป องค์หญิงใหญ่เจาหยางเองก็ตอบให้ผ่านไปเช่นกัน

องค์หญิงใหญ่เจาหยางรู้ดีว่าไทเฮาเพียงตรัสไปอย่างนั้น

อาจเพราะเห็นบุตรชายอารมณ์ไม่ดีนัก ไทเฮาจึงคิดสร้างบรรยากาศ เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกสนใจ “ข้าได้ยินว่า มีคุณหนูโค่วท่านหนึ่งหน้าตาคล้ายเจาหยางมากหรือ”

พอตรัสขึ้นเช่นนี้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็หันมา องค์หญิงใหญ่เจาหยางเองก็หันมา แม้แต่พระสนมซูเฟยเองก็หันมาเช่นกัน

ไทเฮาไม่เข้าพระทัย “ทำไมหรือ”

“สองวันก่อน งานเลี้ยงเหอหยวนเชิญผู้มีใจกุศลบริจาคเงินเพื่อช่วยเขตภัยพิบัติติ้งเป่ย เราก็ได้ไปมา ได้พบคุณหนูโค่วมาครั้งหนึ่ง”

“อ้อ ข้าได้ยินมาแล้ว คุณหนูโค่วท่านนี้บริจาคห้าหมื่นตำลึง” ไทเฮาสุรเสียงนิ่งเรียบ

องค์หญิงใหญ่เจาหยางเห็นเช่นนี้ ก็แอบเบ้มุมปากอย่างไม่เป็นที่สังเกต

เสด็จแม่ยังรู้สึกเสียดายเงินแทนผู้อื่นไม่เคยเปลี่ยน

“ฮ่องเต้ คุณหนูโค่วหน้าตาคล้ายเจาหยางจริงหรือ” ความสนพระทัยของไทเฮาอยู่ที่เรื่องนี้ มิใช่เงินบริจาค

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรองค์หญิงใหญ่เจาหยางทีหนึ่ง แย้มสรวลพยักพระพักตร์ “เหมือนเจา หยางอยู่หลายส่วน”

ความจริงเหมือนเขามากกว่า แต่คำพูดนี้หากเขาพูดเองจะน่าประหลาดมาก

“พรุ่งนี้ฮูหยินที่ได้รับแต่งตั้งเข้าวังถวายพระพรปีใหม่ ให้ผู้อาวุโสตระกูลนางพานางมาพบข้า”

องค์หญิงใหญ่เจาหยางอดเอ่ยไม่ได้ว่า “พรุ่งนี้ผู้ที่เข้าวังล้วนเป็นฮูหยินที่ได้รับแต่งตั้งมีลำดับขั้น นางเป็นเพียงคุณหนู เข้าวังจะไม่เหมาะไหมเพคะ”

เข้าวังถวายพระพรปีใหม่ดูเหมือนเป็นเรื่องมีเกียรติ แต่บรรดาฮูหยินที่มีตราแต่งตั้งดึกดื่นเที่ยงคืนก็ต้องลุกขึ้นมาแต่งตัว ยามกลองตีครั้งที่ห้า (ราวตีสามถึงตีห้า) ก็ต้องออกจากบ้าน ความทนทรมานนี้อย่าได้เอ่ยว่าทรมานเพียงใด

ฮูหยินที่มีตราแต่งตั้งเข้าวังมาได้ล้วนเพราะสถานะแต่งตั้ง มีโอกาสมาร่วมงานนี้สำหรับพวกนางแล้วแม้ลำบากก็ยอมทนรับ แต่คุณหนูโค่วเป็นเพียงคุณหนูธรรมดา เสด็จแม่ทรงมีภาพจำนางเช่นนี้ เข้าวังมาจะได้รับประโยชน์อันใดได้

ทนรับความทรมานเพียงอย่างเดียวก็แล้วไป แต่เกิดทำให้ท่านใดไม่พอใจขึ้น กลับจะกลายเป็นภัยร้าย

ไทเฮาเหลือบมองบุตรสาวทีหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าเหมาะ หรือว่ามีคนจะพูดมาก”

“ลูกมิได้หมายความเช่นนี้เพคะ” องค์หญิงใหญ่เจาหยางหลุบตาลงอดกลั้นอารมณ์เอาไว้

ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เห็นมารดากับน้องสาวเริ่มบรรยากาศไม่ดี ก็รีบแก้ไขสถานการณ์ “ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเสด็จแม่ต้องการพบคุณหนูโค่ว พรุ่งนี้เช้าก็ให้คนไปแจ้งจวนรองเจ้ากรมก็ได้”

องค์หญิงใหญ่เจาหยางหันไปมองพี่ชายทีหนึ่ง ไม่อาจเอ่ยอันใดอีก

พระสนมซูเฟยยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันเองก็เคยได้ยินชื่อคุณหนูโค่ว ได้ยินว่าคุณหนูโค่วย้ายออกจากบ้านยายมาเปิดร้านหนังสือ การค้าร้านหนังสือดีมาก ผู้คนต่างชมว่าคุณหนูโค่วเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางการค้า”

ไทเฮาได้ยิน พระเนตรก็ฉายแววรังเกียจ ตรัสสุรน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เช่นนั้นข้าก็ยิ่งอยากรู้จัก”

พระสนมซูเฟยกระดกมุมปาก

องค์หญิงใหญ่เจาหยางแววตาเย็นเยียบ

ฮองเฮาซินมีความสามารถโดดเด่นไม่แพ้ชาย ไม่ใช่คนนิสัยยอมอ่อนข้อเชื่อฟัง เสด็จแม่ไม่ชอบนาง ทำให้พลอยไม่ชอบสตรีที่มีความสามารถไปด้วย คำพูดพระสนมซูเฟยนี้ฟังแล้วเหมือนเอ่ยชมคุณหนูโค่ว แต่ความจริงกำลังขุดหลุมดักคุณหนูโค่ว

คุณหนูโค่วไปล่วงเกินพระสนมซูเฟยเมื่อใดกัน

หรือว่าเพราะซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อถูกลงโทษ ทำอันใดนางไม่ได้ จึงไปลงเอากับคุณหนูโค่วแทน?

องค์หญิงใหญ่เจาหยางครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้แล้วก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะต้องปกป้องคุณหนูโค่วให้ดี

ทางจวนรองเจ้ากรม

ฟ้ามืดแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นจากที่นอน

ในจวนรองเจ้ากรม ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าวังไปถวายพระพรปีใหม่ก็มีเพียงนายหญิงผู้เฒ่ากับรองเจ้ากรม ต้วน

ดีที่นายหญิงผู้เฒ่าอายุมากแล้ว แม้ว่าดึกดื่นยังต้องทนทรมานแต่งตัว แต่กลับไม่รู้สึกลำบาก เพียงแต่ง่วงนอนอยู่บ้าง

ความง่วงนอนนี้ก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้งหลังจากได้ยินรายงาน คนในวังมาส่งข่าวว่า ให้นายหญิงผู้เฒ่าพาคุณหนูโค่วเข้าวังด้วย

“รีบไปเรือนหว่านฉิง แจ้งคุณหนูนอกให้ทราบ!” นายหญิงผู้เฒ่ารีบสั่งการ

เรื่องนี้ค่อนข้างกะทันหัน หากมัวชักช้าเข้าวังสายก็ย่อมไม่ดี

ซินโย่วตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียกเอะอะร้อนใจดังเข้ามา

“คุณหนูรีบตื่นเจ้าค่ะ”

ซินโย่วลืมตาลุกขึ้นนั่งทันที “มีอันใดหรือ”

เสี่ยวเหลียนเองก็งัวเงีย “มาบอกว่าให้ท่านตามนายหญิงผู้เฒ่าเข้าวังไปถวายพระพรปีใหม่”

ซินโย่วแววตาไร้ความงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง พลิกตัวลงจากเตียงทันที “หยิบกระโปรงสีแดงอ่อน ปิ่นทองฝังทับทิม เครื่องประดับอื่นไม่ต้อง…”

ขณะกำลังแต่งตัว คนจากเรือนหรูอี้ถังก็มาเร่ง กลัวว่าจะออกไปช้า

ซินโย่วแต่งตัวเรียบร้อยก็ผูกสายเสื้อคลุมลายดอกสีแดง เดินไปเรือนหรูอี้ถัง

นายหญิงผู้เฒ่าเพิ่งแต่งตัวเรียบร้อย เห็นซินโย่วเข้ามาก็กวาดตามองประเมินจากบนลงล่าง ผ่อนลมหายใจเอ่ยว่า “แต่งตัวได้เหมาะสมดี เหตุใดไม่สวมต่างหู”

“แต่งมากไป เกรงว่าจะไม่เหมาะเจ้าค่ะ”

นายหญิงผู้เฒ่าคิดแล้วก็เห็นด้วย คุณหนูยังไม่ออกเรือนเดิมก็ไม่จำเป็นต้องปักปิ่นเครื่องประดับเต็มที่ มีปิ่นทองสักอันก็เพียงพอแล้ว

“ไปกันได้แล้ว พอถึงในวัง ที่ไม่ควรมองก็อย่าได้มอง ที่ไม่ควรเอ่ยก็อย่าได้เอ่ย…”

ประตูจวนรองเจ้ากรมเปิดออก เสียงประทัดดังกระหึ่ม เต็มไปด้วยบรรยากาศปีใหม่

ซินโย่วตามนายหญิงผู้เฒ่าขึ้นเกี้ยว เริ่มเคลื่อนขบวนไปยังวังหลวง

ตอนถึงวังหลวง ฟ้ามืดแล้ว แต่ในวังแต่ละแห่งล้วนประดับโคมสว่างไสว มีรถม้าไม่น้อย ไม่ต่างอันใดกับตอนกลางวัน

บรรดาขุนนางต่างรอถวายพระพรปีใหม่หน้าพระที่นั่ง ฮูหยินที่มีตราแต่งตั้งเดินตรงไปวังหลัง

ซินโย่วเดินไปพร้อมสายตามองตามอย่างตกใจไม่น้อย

ก็ไม่อาจตำหนิที่ผู้คนตื่นตกใจ ในสายตาบรรดาฮูหยินขุนนางในเครื่องแต่งกายเต็มยศ สาวน้อยในเครื่องแต่งกายธรรมดาย่อมเป็นที่สะดุดตา

ฮูหยินที่มีตราแต่งตั้งเหล่านี้พากันสบตากันไปมา เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเบาๆ ในกลุ่มฮูหยินที่มียศแต่งตั้งเหตุใดจึงมีคุณหนูปะปนเข้ามาด้วย

นี่ก็คือคุณหนูโค่วที่บริจาคห้าหมื่นตำลึง?

หลังรู้สถานะสาวน้อย บรรดาฮูหยินต่างยิ่งมีสีหน้าสับสน

แม้คำกล่าวโบราณว่า มีเงินสั่งผีโม่แป้ง แต่ราชวงศ์ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้กระมัง

พิธีการลำดับถัดมาก็คือถวายพระพรไทเฮา พระสนมซูเฟย

พองานเลี้ยงเริ่ม บรรดาฮูหยินต่างพากันผ่อนคลายลง อาศัยเสียงดนตรีกลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงได้บ้าง

“นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลต้วนจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงอยู่ไหม” ไทเฮานั่งอยู่หน้าสุด กวาดตามองทุกคน

บรรดาฮูหยินที่ยกมือขึ้นค้างไว้ก็พากันกระซิบให้หยุดก่อน

นางกำนัลข้างๆ รีบกราบทูลว่า “ทูลไทเฮา ที่นั่งนายหญิงผู้เฒ่าตระกูลต้วนอยู่ที่หน้าประตูพระที่นั่งเพคะ”

ฮูหยินตำแหน่งระดับห้าในวังหลวงขึ้นไปจึงมีคุณสมบัติเข้าวังถวายพระพรปีใหม่ในวันนี้ รองเจ้ากรม ต้วนเป็นขุนนางระดับสี่ นายหญิงผู้เฒ่าก็คือระดับสี่เช่นกัน ไม่ต้องออกไปนั่งนอกพระที่นั่งก็นับว่าไม่เลวแล้ว

“ให้นายหญิงผู้เฒ่าต้วนพาหลานสาวนางเข้ามา” ไทเฮาตรัส

เสียงประกาศของขันทีดังขึ้น นายหญิงผู้เฒ่าพาซินโย่วก้าวผ่านประตูพระที่นั่งมายังด้านในสุดของโถงกลาง ถวายบังคมอย่างตื่นเต้น “หม่อมฉันถวายพระพรไทเฮา ขอไทเฮาทรงพระเจริญ”

ปกติถวายพระพรปีใหม่ ไทเฮาจะพูดคุยกับบรรดาฮูหยิน แต่นางที่นั่งอยู่นอกพระที่นั่งอย่าว่าแต่โอกาสนี้ แม้แต่โอกาสได้เห็นพระพักตร์ไทเฮาได้ก็ไม่เลวแล้ว

ปีนี้ได้รับอานิสงส์จากหลานสาว?

“นายหญิงผู้เฒ่าไม่ต้องมากพิธี” ไทเฮาไม่สนพระทัยนายหญิงผู้เฒ่า สายพระเนตรมองไปที่ซินโย่ว “นี่คือคุณหนูโค่วกระมัง เงยหน้าให้ข้าดูหน่อย”

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท