บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1332 สังเวยราชันเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1332 สังเวยราชันเซียน

บทที่ 1332 สังเวยราชันเซียน

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนผ่านท้องนภาด้วยกลิ่นอายมหาศาล พวกมันประจำอยู่ทั้งสี่ทิศปิดกั้นการถอยหนีอย่างสมบูรณ์!

ใต้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกสามลูก มีศพของเทพโลหิตโบราณสูงร้อยจั้งกว่าพันตัวเหมือนกับที่เห็นก่อนหน้า โดยมีศพราชันเซียนโบราณประจำอยู่บนยอดเขาแต่ละลูก

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ ทำให้พวกสืออวี๋หน้าถอดสีเล็กน้อย

พลังดังกล่าวมากพอที่จะคุกคามพวกเขา!

“สถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเราถูกซุ่มโจมตี!” สืออวี๋กะพริบตา ทั่วร่างระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าออกมา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าแปลกประหลาดราวกับอีกฝ่ายรออยู่นานแล้ว ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ส่วนศพราชันเซียนโบราณทั้งสี่กับศพของเทพโลหิตโบราณจำนวนมาก พวกมันไม่ให้ความรู้สึกกดดันเท่าไหร่ หากต่อสู้สักระยะก็สามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย

สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือกับดักดังกล่าวถูกวางเอาไว้นานเท่าไหร่แล้ว?

“เส้นทางนี้ซึ่งนำไปสู่เทวาคารบรรลุเทพถูกเรียกว่า ‘สุสานราชันเซียน’ ในเมื่อพวกเรารู้ แสดงว่านิกายอำนาจเทวะก็ต้องรู้เช่นกัน หากพวกเขาเข้ามาที่นี่ เพื่อซุ่มโจมตีล่วงหน้า มันก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว”

เซียงหลิวหลีรีบเอ่ยคำขณะโคจรการบ่มเพาะ ทั่วร่างถูกปกคลุมด้วยแสงเซียนเก้าบริสุทธิ์ประหนึ่งอยู่ในห้วงความฝัน

“แต่ว่าสิ่งเดียวที่ข้าสับสนก็คือนิกายอำนาจเทวะควบคุมศพราชันเซียนโบราณเหล่านี้ได้อย่างไร?”

เตียนเตี้ยนคิ้วขมวดเล็กน้อยขณะดวงตางดงามทอประกายเย็นเยือก

“ค่ายกล!”

คราวนี้เป็นเฉินซีที่ตอบ หลังหายจากอาการตกตะลึง เขาก็ทำการระบุตำแหน่งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์สี่ลูกนี้ได้ทันที พวกมันเรียงกันอย่างแน่นหนาจนปกคลุมและปิดกั้นทุกทิศทาง ก่อเกิดการสอดประสานร่วมกัน

มันคือสิ่งที่เห็นได้เพียงผิวเผิน พวกสืออวี๋ย่อมสามารถคาดเดาได้เช่นกัน

ทว่าค่ายกลที่เฉินซีเอ่ยถึงกลับไม่ใช่สิ่งนี้ แต่กลับเป็นคลื่นแห่งความผันผวนจากค่ายกลนอกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แม้จะจับต้องไม่ได้และไร้แก่นสาร แต่มันจะเล็ดลอดไปจากสายตาของเขาได้อย่างไร?

สถานการณ์ปัจจุบันก็คือค่ายกลที่ปกคลุมพวกตนเอาไว้จากภายนอก คือแหล่งกำเนิดในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้

หลังจากฟังคำอธิบายของเฉินซี พวกสืออวี๋แทบจะเข้าใจในทันที สีหน้าของพวกเขาพลันมืดมนอีกครั้ง นั่นไม่เท่ากับว่าต่อให้สังหารซากศพโบราณทั้งหมดไป พวกเขาก็อาจจะต้องรับการโจมตีจากที่อื่นอีกหรือ?

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

เมื่อพวกเฉินซีกำลังอนุมานสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนอันน่าตกตะลึงก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงราวกับเสียงตะโกนของเทพมาร เมื่อมันดังพร้อมกันก็ทำให้โลหิตเย็นยะเยือก จนสายลมและหมู่เมฆสั่นไหว

ครืนน!

กองทัพศพของเทพโลหิตโบราณสวมชุดเกราะทองแดงถูกส่งออกมาจากใต้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ พวกมันฉีกห้วงอากาศขณะตรงเข้ามาจากทุกทิศทางหมายสังหารศัตรูให้สิ้น

เพียงพริบตา ทั่วหล้ากลายเป็นทะเลโลหิต กลิ่นอายมารไร้ที่สิ้นสุดเคลื่อนไปรอบข้างขณะปลดปล่อยกลิ่นอายน่าสะพรึงที่เกือบจะแผดเผาสวรรค์ทำลายปฐพี

เหตุการณ์นี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง!

เฉินซีถามกับตัวเองว่าหากอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เขาคงถูกกวาดล้างจนสิ้นโดยที่ยังไม่ทันจะได้ขัดขืนด้วยซ้ำ

แต่โชคยังดีที่เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

ตู้ม!

ปราณกระบี่โอ่อ่าสีขาวซีดทะยานสู่ท้องนภา มันเต็มไปด้วยกฎของราชันเซียนสูงสุดประหนึ่งกระบี่ทะลวงสวรรค์ที่กวาดล้างไปทุกหนแห่ง

“ไม่ต้องลังเลแล้ว ฆ่าก่อนแล้วค่อยคุย!”

ในเวลาเดียวกัน สืออวี๋แผดเสียงคำรามดังสนั่น เส้นผมยาวปลิวไสว ทั่วร่างส่องแสงเจิดจ้าประหนึ่งราชาผู้ไร้เทียมทาน เขาถือกระบี่เทพลึกลับไว้ในมือก่อนตวัดผ่านอากาศธาตุ

“เช่นนั้นศพราชันเซียนโบราณสองตนอีกด้านต้องรบกวนศิษย์พี่สืออวี๋แล้ว ส่วนข้ากับพี่รัตติกาลจะจัดการสองตนนี้ให้ ส่วนที่เหลือไว้ฆ่าทีหลังก็ยังไม่สาย!”

เซียงหลิวหลีรีบเอ่ยคำ ใบหน้างดงามมีชีวิตชีวาถูกแต่งแต้มด้วยความเย่อหยิ่งและโหดเหี้ยม นางสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อยก่อนจะทะยานเข้าสู่หนึ่งในภูเขาศักดิ์สิทธิ์

“แบบนั้นคงดีที่สุดแล้ว!”

เตียนเตี้ยนเคลื่อนไหวเช่นกัน แน่นอนว่านางลากเฉินซีไปจัดการศัตรูด้วย

นางทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงว่าเฉินซีอาจจะเผชิญกับสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่างไรเขาก็เปราะบางราวกับมดในการต่อสู้ระดับนี้ แค่ศพของเทพโลหิตโบราณหนึ่งตนก็สามารถเข้ามาสังหารได้อย่างง่ายดาย

ครืนน!

การต่อสู้อันน่าสะพรึงอุบัติขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง โลหิตน่าสะพรึงทะยานสู่ท้องนภา ทำให้ฟ้าดินพังทลายราวกับภัยพิบัติวันสิ้นโลกมาเยือน

มันคือการต่อสู้ระหว่างราชันเซียน!

ด้วยการสะบัดมือ สรรพสิ่งกลับตาลปัตร อาทิตย์จันทราคล้อยต่ำ ดวงดาวแตกสลาย หากเกิดในภพเซียนหรือในทวีปใดสักแห่ง คงไม่พ้นถูกทำลายในพริบตา!

เมื่อเผชิญกับการต่อสู้ระดับนี้ เฉินซีต่างสูญสิ้นประสาทสัมผัส กลายเป็นความเจ็บปวดสุดแสน เขาไม่สามารถตรวจจับสิ่งใดได้นอกจากการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเตียนเตี้ยน…

มันทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ไม่อาจจินตนาการได้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดหากไม่มีตัวตนของราชันเซียนทั้งสาม

ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปหนึ่งแสนลี้จากสนามรบ ร่างซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหยียดหยันและเต็มไปด้วยวิถีทวยเทพยืนอยู่ในห้วงอากาศ

พวกเขามีทั้งสิ้นสี่คน

ทั้งสี่คล้ายกับผู้ปกครองสวรรค์และปฐพีแม้ยืนอยู่กับที่ ท่วงท่าประหนึ่งราชาผู้เฝ้ามองผู้คนและควบคุมดาราจักร ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์

สี่คนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซุ่ยเหรินถิงผู้อยู่ศิษย์เอกลำดับสองแห่งนิกายอำนาจเทวะ เจี้ยงหลิงเซียวผู้อยู่ลำดับห้า เล่อเชียนโฉวเจ้าสำนักสวรรค์สุญตา และเป่ยห่าวหลิง เจ้านิกายหมื่นวิถี

ทุกคนต่างอยู่ขอบเขตราชันเซียน!

“ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ของนิกายอำนาจเทวะยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันสามารถควบคุมศพของเทพโลหิตโบราณด้วยพลังแห่งภัยพิบัติได้ มันช่างวิเศษเหลือเกิน”

เล่อเชียนโฉวเอ่ยคำ เคราและเส้นผมเป็นสีเทา คิ้วตาดูอ่อนโยน มือถือไม้เท้าไผ่สีเขียว ทั้งคำพูดและการกระทำ ล้วนชมเชยซุ่ยเหรินถิงกับเจี้ยงหลิงเซียวผู้อยู่ข้างกาย

“ก็ไม่เท่าไหร่ ข้าแค่หวังว่าจะสามารถฆ่าสืออวี๋และเซียงหลิวหลีแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา รวมถึงราชันเซียนรัตติกาลได้ เช่นนั้นแผนการของพวกเราก็จะแสนราบรื่น”

ซุ่ยเหรินถิงเอ่ยอย่างสงบ เคราและเส้นผมเป็นสีแดงประหนึ่งเปลวไฟ ใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดคลุมเต๋าสีแดงราวกับโลหิต ทั้งร่างไม่ต่างจากราชาผู้ควบคุมเปลวเพลิงทั้งหมดในโลก!

เขาคือผู้สืบทอดตระกูลซุ่ยเหรินจากเผ่าบรรพกาล มีโลหิตของทวยเทพไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย นอกจากนี้ในฐานะศิษย์เอกลำดับสองแห่งนิกายอำนาจเทวะ ทุกคำที่คนผู้นี้เอื้อนเอ่ยล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายผู้นำสูงสุดอันภาคภูมิ

“ฮ่าฮ่า สหายเต๋าถ่อมตัวเกินไปแล้ว” เล่อเชียนโฉวหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

ซุ่ยเหรินถิงชำเลืองมองอีกฝ่าย จากนั้นคิ้วขมวดแล้วถอนหายใจ “ช่างน่าเสียดาย”

เล่อเชียนโฉวตกตะลึง “เสียดายอันใด?”

“แม้จะใช้งานค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์จนทำให้ปลาติดเบ็ด แต่มันยังมีข้อบกพร่องที่ทำให้ไม่สมบูรณ์”

คนที่ตอบคือเจี้ยงหลิงเซียว นางสวมชุดราบเรียบ ไว้ผมเป็นมวยทั้งสองข้าง รูปลักษณ์นุ่มนวลละเอียดอ่อน ยามเอ่ยคำมักเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผู้คนรู้สึกดีโดยไม่รู้ตัว

“ข้อบกพร่องอันใด?”

เล่อเชียนโฉวคิ้วขมวด

ซุ่ยเหรินถิงเหลืองมองอย่างมีนัย “เจ้าอยากรู้จริงหรือ?”

ในตอนนี้ จิตใจของเล่อเชียนโฉวบีบรัดอย่างอธิบายไม่ได้ กลิ่นอายแห่งความน่าสะพรึงซึ่งไม่อาจควบคุมได้ปกคลุมทั่วร่าง ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “หากมีบางอย่างที่ข้าไม่ควรรู้ เจ้าไม่ต้องบอกก็ได้”

แต่เขาลอบตัดสินอยู่ภายในว่าหลังจากเข้าสู่เทวาคารบรรลุเทพแล้ว ตนจะต้องแยกตัวออกจากสัตว์ประหลาดโหดเหี้ยมเหล่านี้อย่างนิกายอำนาจเทวะ หาไม่แล้วคงไม่อาจทราบได้ว่าจะตัวเองตายได้อย่างไร

“เจ้าอุตส่าห์ถามทั้งที ข้าจะไม่ตอบได้อย่างไร?”

ซุ่ยเหรินถิงยิ้มอ่อน แต่มันเป็นรอยยิ้มที่เฉยชาและโหดเหี้ยม สิ้นคำของเขา เจดีย์หยกราบเรียบสีดำพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุก่อนจะหันมาทางเล่อเชียนโฉว!

เหตุกาารณ์นี้เกิดขึ้นเร็วและไม่ทันตั้งตัวมากเกินไป ประกอบกับพละกำลังดั้งเดิมของซุ่ยเหรินถิงเหนือกว่าเล่อเชียนโฉวหลายส่วน ก่อนจะทันได้ตอบสนอง ทั่วร่างของเขาก็ถูกเจดีย์หยกดูดเข้าไปแล้ว!

“สหายเต๋าซุ่ยเหริน… เจ้าจะทำอะไรน่ะ? บัดซบ! เจ้า… เจ้าถึงกับอยากฆ่าคนเพื่อปิดปากอย่างนั้นหรือ? บัดซบ! นิกายอำนาจเทวะช่างเป็นพวกโลเล โหดเหี้ยม และไร้ความรู้สึกเหมือนเดรัจฉาน!”

น้ำเสียงหวาดกลัวและเกรี้ยวกราดของเล่อเชียนโฉวดังขึ้นไม่มีสิ้นสุด

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เป่ยห่าวหลิงผู้เป็นเจ้าสำนักหมื่นวิถีมีสีหน้าเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะจับจ้องซุ่ยเหรินถิงด้วยความไม่อยากเชื่อ

หมอนี่กำลังจะสังหารเล่อเชียนโฉวผู้เป็นราชันเซียนเพียงเพราะถามคำถามเดียวอย่างนั้นหรือ?

ครืนน!

ก่อนเป่ยห่าวหลิงจะทันตอบสนอง เจดีย์หยกสีดำราบเรียบระเบิดแสงสีดำนับไม่ถ้วน พวกมันส่งเสียงก้องกังวลขณะโคจรไปมา พร้อมเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงไร้เทียมทานออกมา

หลังจากนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนถึงวาระสุดท้ายก็ดังขึ้น ก่อนจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก

เล่อเชียนโฉวผู้เป็นราชันเซียนถึงกับถูกสังหารทั้งเป็นในคราวเดียว!

ฟ่าว!

เมื่อเห็นดังนี้ เป่ยห่าวหลิงตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาไม่ถามเหตุผลของซุ่ยเหรินถิงอีก ก่อนร่างจะวูบไหวแล้วกลายเป็นเงาสีดำเพื่อหลบหนี

ขนาดเล่อเชียนโฉวยังถูกสังหารในคราวเดียว แล้วเขาจะรอดไปได้อย่างไร?!

สำหรับคนโหดเหี้ยมอย่างนิกายอำนาจเทวะ เขาไม่กล้าตั้งความหวังแม้แต่น้อย

“สหายเต๋า เจ้าไม่อยากรู้ว่าข้อบกพร่องคืออะไรหรือ?”

ทว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของเป่ยห่าวหลิงเต้นแรงก็คือทันทีที่เขาลงมือ เส้นทางก็ถูกเจี้ยงหลิงเซียวที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่เนืองนิจ และใช้สายตาราวกับกำลังมองคนตายผู้นั้น ยืนขวางไว้…

เพียงพริบตา ใบหน้าของเป่ยห่าวหลิงยิ่งน่าเกลียด เขาฝืนยิ้มแข็งทื่อแล้วเอ่ยคำ “ข้ายังมีเรื่องด่วนอยู่ ดังนั้นคงไม่รบกวนพวกเจ้าทั้งสอง…”

สิ้นคำ อารมณ์โหดเหี้ยมพลันวูบไหวผ่านดวงตา ทั้งร่างแผดเสียงคำรามขณะปลดปล่อยหมอกชั่วร้ายสีดำนับไม่ถ้วน เขายื่นแขนออกไปเพื่อฉีกกระชากห้วงอากาศ หมายจะจับลำคอของอีกฝ่ายอย่างมุ่งร้าย!

การโจมตีนี้ปิดกั้นห้วงอากาศและจองจำเวลา มันช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก

แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวจากเจี้ยงหลิงเซียว ก่อนพลังโอ่อ่าอันน่าสะพรึงจะเข้าปกคลุม ทำให้ร่างของเป่ยห่าวหลิงแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง

จากนั้น เขาก็เห็นเจดีย์หยกสีดำเรียบง่ายกำลังปกคลุมทั่วร่าง…

ครืนนน!

เจดีย์หยกสีดำส่องแสง ร่างของมันเต็มไปด้วยโลหิตสีแดง ขณะหมุนไปมา เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้น แต่ในไม่ช้า มันก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

ตอนนี้ราชันเซียนอีกคนถูกสังหารในพริบตา!

หากเหตุการณ์นี้แพร่งพรายไปสู่โลกภายนอก ย่อมทำให้ทั่วทั้งสามภพสั่นสะเทือน แต่สำหรับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียว พวกเขาเหมือนกับทำในสิ่งที่เรียบง่าย สีหน้ายังคงสงบและเฉยชา

“สังเวยชีวิตของราชันเซียนสองคน แบบนี้น่าจะมากพอต่อการฆ่าเจ้าพวกนั้น…”

ซุ่ยเหรินถิงมองไกลออกไปยังบริเวณที่การต่อสู้กำลังดำเนินอยู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชาเย็นเยือก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท