ตอนที่ 413 ความจริงที่น่าสะพรึงกลัว
ลุงหลานสองคนยืนอยู่บนแท่นสูงที่เพิ่งก่อขึ้นมาชั่วคราว
กองทัพอวี้โจวกำลังแบ่งกลุ่มฝึกซ้อม
ท่านโหวผิงอู่ถามหลิงฉางจื้อ “ภาพลักษณ์ของกองทัพเป็นอย่างไร”
“กองทัพที่แข็งแกร่ง!”
ท่านโหวผิงอู่ส่ายหน้า “ยังไม่ดีพอ! อย่างน้อยยังไม่ดีเท่ากองทัพเหลียงโจว!”
หลิงฉางจื้อพูดทันที “กองทัพเหลียงโจวกำเนิดจากพื้นที่ยากเข็ญ พวกเขาทำสงครามกับต่างเผ่าอยู่เป็นประจำ ส่วนกองทัพอวี้โจวอยู่ในแผ่นดินที่สงบสุข แต่นับจากกองทัพอวี้โจวไปทำสงครามกับอูเหิงทางเหนือ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของกองทัพหรือกำลังในการต่อสู้ล้วนมีการพัฒนาอย่างชัดเจน ตอนนั้นท่านลุงน้อมรับพระราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนโดยไม่ยืดเยื้อ นำทัพมุ่งหน้าไปโจมตีอูเหิง ไม่ใช่เพื่อฝึกฝนกองทัพหรือ”
ท่านโหวผิงอู่พยักหน้ายอมรับอย่างไม่ปิดบังจุดประสงค์ของเขา “กองทัพย่อมต้องลากเข้าสนามรบจึงจะฝึกฝนออกมาได้! กองทัพส่วนตัวของตระกูลหลิงก็ควรดึงลงมาฝึกฝนในสนามรบบ้าง”
หลิงฉางจื้อพูดเสียงเบา “ข้าดึงกองกำลังส่วนตัวเข้ามาทดแทนกองทัพใต้ เวลานี้ก็ถือว่ามีการพัฒนาเล็กน้อย”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะเย้ยหยัน “โจรกบฏกลุ่มหนึ่ง ไร้ซึ่งกลอุบาย เจ้าควรไปทำสงครามทางเหนือ สู้รบกับอูเหิง สู้รบกับต่างเผ่าพันธุ์”
หลิงฉางจื้อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่มีทางจากเมืองหลวงไป ข้าไม่ได้กลัวว่าจะไปลำบากที่ด่านหน้า แต่เป้าหมายของข้าแตกต่างกับท่านลุง”
ท่านโหวผิงอู่มองเขาด้วยสายตาซับซ้อน พลันยิ้มอย่างเข้าใจ
จากนั้นเขาจึงพูด “เจ้าไปทูลฝ่าบาท ข้าจะนำกองกำลังแปดพันนายเข้าเมืองหลวง”
หลิงฉางจื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย “กองกำลังแปดพันนายมากเกินไป ราชสำนักมีเสียงคัดค้านดังขึ้นอย่างแน่นอน! ข้าคิดว่า ห้าพันนายก็เพียงพอ!”
ท่านโหวผิงอู่ถือแส้ม้าในมือ “เจ้ากำลังกังวลว่าข้าจะบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์หรือ”
หลิงฉางจื้อหัวเราะออกมา “ท่านลุงพูดเล่นแล้ว! ท่านลุงเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก เป็นบุตรหลานของขุนนางผู้จงรักภักดี จะบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์ได้อย่างไร มีเพียงโจรกบฏที่จะบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์!”
“ฉางจื้อ เจ้ากำลังเตือนข้าทางอ้อม อย่าคิดที่จะเป็นโจรกบฏหรือ หากข้ามีเจตนานี้จริง ข้าจะยอมทำสงครามอยู่ทางเหนือหลายปีได้อย่างไร”
“ท่านลุงก็พูดแล้ว ทำสงครามก็เพื่อฝึกฝนกองทัพ! กองทัพอวี้โจวเป็นกองทัพที่แข็งแกร่ง ไร้เทียมทานแล้ว แผ่นดินกว้างใหญ่ จะไปที่ใดย่อมได้!”
“ฮ่าๆๆ…”
ท่านโหวผิงอู่เปล่งเสียงหัวเราะ
หลังจากหัวเราะ เขาจึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ห้าพันก็ห้าพัน! ข้าจะนำกำลังพลห้าพันนายเข้าเฝ้าฝ่าบาทในเมืองหลวง! นอกจากนี้ข้ายังต้องการเสบียงห้าพันหาบ ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว อาวุธและผ้าห่มอีกจำนวนหนึ่ง! ข้าจะให้ใบรายการกับเจ้า เจ้าให้ราชสำนักจัดเตรียมตามจำนวนให้ข้าอย่างครบถ้วน”
หลิงฉางจื้อลำบากใจอย่างมาก เขานวดขมับ “เวลานี้ ราชสำนักไม่มีเงิน สำนักการคลังยิ่งว่างเปล่าจนมีหนูวิ่ง มีเพียงสำนักเซ่าฝู่ที่ยังพอเหลือเงินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจจัดหาสิ่งที่ท่านลุงเรียกร้องได้มากเพียงนี้ ข้าสามารถตอบท่านลุงได้ทันที ราชสำนักไม่อาจให้สิ่งของที่ท่านลุงต้องการได้”
ท่านโหวผิงอู่ยิ้มอย่างรู้ทัน “เจ้าวางใจ ราชสำนักย่อมมีทางจัดหาทรัพยากรที่ข้าต้องการได้ แผ่นดินต้าเว่ยร้อยกว่าปี ข้ารู้ดีกว่าเจ้าว่าลับหลังราชวงศ์มีสมบัติเก็บไว้มากเพียงใด”
หลิงฉางจื้อโต้แย้ง “นับแต่พระราชบุตรเขยจ้งดูแลสำนักเซ่าฝู่ บัญชีของสำนักเซ่าฝู่แทบจะเปิดเผยทั้งหมด สำนักเซ่าฝู่ไม่เหลือเงินมากมายนัก ล้วนหวังพึ่งส่วยที่จะเก็บจากแผ่นดินหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะร่า “ฉางจื้อเอ๋ยฉางจื้อ ดูเหมือนว่ายังมีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ นอกจากสำนักเซ่าฝู่ ราชวงศ์ยังมีคลังทรัพย์สินส่วนตัวอีกหนึ่งแห่ง โอรสสวรรค์ในแต่ละยุคมักจะเติมเงินทองลงไปในคลังนี้”
หลิงฉางจื้อขมวดคิ้ว เขาไม่อยากจะเชื่อ “ราชวงศ์มีคลังทรัพย์สินส่วนตัวอื่นจริงหรือ”
“แน่นอน! สำนักเซ่าฝู่เป็นเพียงพ่อบ้านใหญ่ผิวเผิน คลังทรัพย์สินส่วนตัวจึงจะเป็นคลังสมบัติที่แท้จริงของฮ่องเต้ เหตุใดสำนักเซ่าฝู่ไม่เคยกลัดกลุ้มเรื่องเงิน เนื่องจากเมื่อสำนักเซ่าฝู่ไม่มีเงิน ยังสามารถโยกเงินจากคลังทรัพย์สินส่วนตัวมาใช้”
หลิงฉางจื้อขมวดคิ้วถาม “ท่านลุงรู้ได้อย่างไรว่าภายในคลังทรัพย์สินส่วนตัวยังมีเงิน”
ท่านโหวผิงอู่พูด “ถึงแม้คลังทรัพย์สินส่วนตัวจะไม่มีเงิน แต่ยังมีผู้พิทักษ์สิบเก้า! ผู้พิทักษ์สิบเก้ามีเงินมากมาย สถานการณ์ในเวลานี้ก็ควรนำออกมาใช้”
สีหน้าของหลิงฉางจื้อเปลี่ยนไป “ข้าคิดว่าผู้พิทักษ์สิบเก้าเป็นเพียงเรื่องเล่าเสมอมา!”
“ในเมื่อเป็นเรื่องเล่า ย่อมต้องมีที่มา! เจ้าคิดว่าผู้พิทักษ์สิบเก้าทำงานใด เป็นสำนักหยาเหมินที่สังหารคนโดยเฉพาะหรือ ผิดแล้ว! ความจริงผู้พิทักษ์สิบเก้าสังหารคนน้อยมาก หน้าที่ที่แท้จริงของผู้พิทักษ์สิบเก้าคือหาทางรอดให้ราชสำนักและราชวงศ์! รับรองว่าแผ่นดินต้าเว่ยจะไม่ถูกคนกลืนกิน!”
ภายในใจของหลิงฉางจื้อคุกรุ่น แต่บนใบหน้ายังสงบนิ่ง
เขาถาม “เหตุใดท่านลุงจึงรู้สถานการณ์ของผู้พิทักษ์สิบเก้าดีเช่นนี้ หรือว่าแต่ก่อนท่านลุงก็เป็นคนของผู้พิทักษ์สิบเก้า”
ท่านโหวผิงอู่ตบไหล่ของเขา “ผู้บัญชาการของผู้พิทักษ์สิบเก้าคนก่อน ข้าเคยพบกับเขา เขาเป็นคนที่รับมือด้วยยาก โชคดีที่เขาตายไปแล้ว! ผู้บัญชาการของผู้พิทักษ์สิบเก้ารุ่นนี้เป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอ ข้ากำลังหาเวลาว่างไปเยือนเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจเลือกผู้บัญชาการของผู้พิทักษ์สิบเก้าคนต่อไปไว้แล้ว!”
หลิงฉางจื้ออ้าปาก เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงจนไม่อาจปิดบังความรู้สึกภายในใจ
“เขาเป็นผู้บัญชาการของผู้พิทักษ์สิบเก้า?”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะออกมา “ท่านอ๋องผิงชินเป็นผู้บัญชาการของผู้พิทักษ์สิบเก้าเป็นเรื่องแปลกหรือ เขาเป็นองค์ชายที่กำเนิดจากฮองเฮา แต่เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ จึงไม่มีเจตนาที่จะแย่งชิงราชบัลลังก์ เจ้าไม่รู้สึกสงสัยหรือ”
หลิงฉางจื้อส่ายหน้า “เขาเป็นผู้บัญชาการของผู้พิทักษ์สิบเก้าจริงหรือ”
“จริงแท้แน่นอน! ดังนั้น เจ้าไม่ต้องกังวลว่าฮ่องเต้จะไม่มีเงิน! ฮ่องเต้เพียงแค่ดูเหมือนจน แต่สมบัติที่เก็บสะสมมาร้อยกว่าปียังอยู่ในคลังทรัพย์สินส่วนตัวนั้น หรืออาจอยู่ในมือของผู้พิทักษ์สิบเก้า ข้าเรียกร้องทรัพยากรเพียงเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่”
หลิงฉางจื้อสูดลมหายใจเข้า “ยังมีผู้ใดรู้ว่าท่านอ๋องผิงชินเป็นผู้บัญชาการของผู้พิทักษ์สิบเก้าอีก”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะ “เกรงว่าพวกตาเฒ่าทั้งหลายคงจะรู้ เพียงแค่ไม่ยอมพูดออกมา! ผู้พิทักษ์สิบเก้าลึกลับอย่างมากสำหรับเด็กอย่างพวกเจ้า ราวกับมันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ
แต่สำหรับพวกข้าที่อายุมากแล้วนั้น ผู้พิทักษ์สิบเก้าไม่เคยเป็นความลับ คดีก่อกบฏขององค์รัชทายาทจางอี้ ในเวลานั้นล้วนมีเงาของผู้พิทักษ์สิบเก้า คนที่ผ่านเรื่องราวในตอนนั้นต่างรู้ดีแก่ใจ!”
หลิงฉางจื้อยิ่งตกตะลึง “เหตุใดผู้พิทักษ์สิบเก้าจึงมีส่วนร่วมในคดีก่อกบฏขององค์รัชทายาทจางอี้ มันไม่สมเหตุสมผล!”
ท่านโหวผิงอู่มองออกไปไกลด้วยความรู้สึกมากมาย “มันไม่สมเหตุสมผลจริง! แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าหน้าที่ของผู้พิทักษ์สิบเก้าไม่ใช่การแก้ไขพฤติกรรมของฮ่องเต้ แต่เป็นการหาทางรอดให้เชื้อพระวงศ์ต้าเว่ย เพื่อความแข็งแกร่งและมั่นคงของแผ่นดิน
สถานการณ์ในตอนนั้น เจ้าไม่รู้ว่ามันร้ายแรงเพียงใด เมื่อเทียบกับเวลานี้ มีแต่จะหนักหนายิ่งกว่า มันเป็นการปะทะภายในราชสำนักตั้งแต่เหนือจรดใต้ที่ส่งผลต่อการสั่นคลอนรากฐานของแผ่นดิน! ความโหดร้ายของมัน ความโหดเหี้ยมของมันไม่อาจเทียบได้ในเวลานี้
เจ้ารู้แต่คดีก่อกบฏขององค์รัชทายาทจางอี้ มีคนตายนับหมื่นคน
แต่เจ้าไม่รู้ว่าก่อนคดีก่อกบฏจะปะทุขึ้นมา ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันมานับสิบปีแล้ว มีคนหลายแสนคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คนตายยิ่งนับไม่ถ้วน ตระกูลที่ล่มสลายไม่อาจใช้นิ้วนับได้
คดีก่อกบฏปะทุ ตายเพียงไม่กี่หมื่นคนจะหนักหนาอย่างไร
การปะทะนับสิบปีก่อนหน้านี้ คนที่ตายเกรงว่าจะไม่ต่ำกว่าสามสี่แสนคน เพียงแค่จำนวนคนของตระกูลที่ถูกบีบบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานก็สูงถึงล้านคน คนเหล่านี้ เกรงว่ามีเพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถอยู่รอดจนถึงที่หมาย
อย่างไรก็ตาม ความโหดเหี้ยมในการปะทะนี้ ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน!
แต่ความจริงเรื่องการตายขององค์รัชทายาทจางอี้ ล้วนถูกคนตั้งใจปกปิด ไม่ต้องให้ข้าบอก เจ้าก็คงรู้ว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้จงจ้งและฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิง พวกเขาเปลี่ยนแปลงบันทึก ปิดปากของทุกคน ดังนั้นคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเจ้าจึงรู้เรื่องในตอนนั้นเพียงบางส่วน!”
“ความหมายของท่านลุงคือองค์รัชทายาทจางอี้สมควรตาย?”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะ “เขาสมควรตายหรือไม่ ข้าไม่รู้ ตอนนั้นข้าก็ยังเป็นเด็ก ยังไม่มีคุณสมบัติมีส่วนร่วมในเรื่องใหญ่เช่นนี้! ข้ารู้เพียงองค์รัชทายาทจางอี้ ไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ไม่ใช่บัณฑิตผู้อ่อนแอเหมือนที่พวกเจ้าคิด
องค์รัชทายาทจางอี้ที่ข้ารู้จักนั้น เขาเป็นคนที่มีความเด็ดขาด การปะทะในราชสำนักที่เขาเป็นคนริเริ่มขึ้นมา คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ต่ำกว่าแสนคน! ตระกูลขุนนางที่ล่มสลายในมือเขา มือทั้งสองข้างยังนับไม่ไหว!
เจ้าว่าตระกูลขุนนางทั่วแผ่นดินจะแค้นเขามากเพียงใด! หากเขาขึ้นครองราชย์เร็วกว่านี้ ราชวงศ์ต้าเว่ยย่อมแตกต่างออกไป! ตระกูลหลิง ตระกูลสือก็คงไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเวลานี้! บัดนี้ เจ้าน่าจะรู้แล้วว่าตอนนั้นเยียนโส่วจ้านแต่งงานกับองค์หญิงจู้หยางได้กระอักกระอ่วนเพียงใด หวาดกลัวเพียงใด!”
หลิงฉางจื้อตกตะลึงกับเรื่องที่ได้รับรู้อย่างกะทันหัน
เขานวดขมับ “ท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะ “เพราะว่าเวลานั้นพวกเขายังเป็นเด็ก อีกทั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวง ย่อมไม่รู้เรื่องภายในอย่างละเอียด”
“เหตุใดท่านลุงจึงรู้ดีเช่นนี้”
“ข้าเคยบอกเจ้า ข้าเคยเห็นประวัติศาสตร์การล่มสลายขององค์รัชทายาทจางอี้และตำหนักบูรพากับตา เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นตำหนักบูรพาแข็งแกร่งเพียงใด แข็งแกร่งจนยากที่จะจินตนาการ ค่ายองครักษ์ของตำหนักบูรพามีราวหนึ่งหมื่นสองพันนาย มันมากเกินกว่ากำหนดของราชสำนัก ขุนนางและแขกที่ช่วยออกหัวคิดให้ในตำหนักบูรพามีนับพันคน! ข้าหลวงและขุนนางฝ่ายในของตำหนักบูรพารวมเกือบสองสามพันคน ทั้งราชสำนักเต็มไปด้วยคนของตำหนักบูรพา!”
“ตำหนักบูรพาใหญ่โตเพียงนี้ เหตุใดสุดท้ายยังคงพ่ายแพ้”
“ไม่ว่าตำหนักบูรพาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด จะเทียบกับฮ่องเต้จงจ้งที่กุมอำนาจอยู่ในมือได้อย่างไร! แน่นอน ตำหนักบูรพาเติบโตเพียงนั้นก็เป็นเพราะความละเลยของฮ่องเต้จงจ้ง! ไม่คิดว่าสุดท้ายจะทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น! เพื่อปราบปรามตำหนักบูรพา ทั้งกองทัพเหนือและกองทัพใต้ รวมทั้งราชองครักษ์เคลื่อนไหวพร้อมกัน แม่ทัพท้องถิ่นเฝ้าระวังอยู่รอบนครบาล สถานการณ์ในตอนนั้นไม่ใช่เวลานี้จะเทียบได้ เดิมทีองค์รัชทายาทจางอี้ได้หนีไปแล้ว สุดท้ายตายในมือของกองทัพเหนือ”
หลิงฉางจื้อตกใจ “แต่ทุกการบันทึกล้วนบอกว่าองค์รัชทายาทจางอี้ ปลิดชีพตนเองในตำหนักบูรพา!”
ท่านโหวผิงอู่หัวเราะเยาะออกมา จากนั้นก็ถอนหายใจ “มันเป็นแค่ความประสงค์เพียงฝ่ายเดียวของฮ่องเต้จงจ้งเท่านั้น! ความจริงแล้วองค์รัชทายาทจางอี้ตายในมือของกองทัพเหนือ เวลานั้น เขาได้หนีออกจากนครบาลแล้ว เสียดายที่ตกเข้าไปในกับดัก ด้านหน้ามีกองทัพของแม่ทัพท้องถิ่นกีดขวางทางไป ด้านหลังมีการไล่ล่าของกองทัพเหนือ
สุดท้ายสู้รบจนตัวตาย ถูกยกกลับไปตำหนักบูรพาพร้อมทั้งลงฝังอย่างยิ่งใหญ่! ต่อมาฮ่องเต้จงจ้งกลับไปกลับมา บางทีอาจเป็นเพราะเสียใจจริง พระองค์ให้ลบบันทึกที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อองค์รัชทายาทจางอี้ ทั้งหมด บอกแค่เพียงเขาปลิดชีพอยู่ในตำหนักบูรพา เพรียบพร้อมด้วยความจงรักภักดีและความกตัญญู!”