ตอนที่ 539 เปลี่ยนภรรยาไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้า
ตอนที่ 539 เปลี่ยนภรรยาไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้า
“อารองกับอาสะใภ้รองของเธอจะกลับบ้านในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว เราจะเตือนพวกเขาเอง”
“ครับ งั้นผมขอไปโทรหาคุณน้าหน่อย”
เฉินเจียซิ่งกระตือรือร้นมาก พูดจบยังไม่ทันไรเขาก็กดโทรศัพท์โทรออกทันที
“เจียซิ่ง ว่ายังไงนะ? คนที่จะแต่งงานคือพี่ชายของเธอไม่ใช่เหรอ?” โจวเจี้ยนกั๋วที่อยู่ปลายสายคิดว่าสัญญาณอาจไม่ดีจนเขาน่าจะได้ยินผิดไป
เฉินเจียซิ่งพูดเสียงดังกว่าเดิม “น้าครับ ผมแต่งก่อน พี่ชายแต่งทีหลัง พอดีผมมีแฟนใหม่แล้ว”
“อ๋า… เจอผู้หญิงคนใหม่แล้วสินะ?”
โจวเจี้ยนกั๋วไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเฉินเจียซิ่งจะแต่งงานถึงสองครั้งภายในหนึ่งปี
ถ้าเป็นชายหนุ่มในหมู่บ้านคงหาภรรยาใหม่ได้ยากแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าชาวเมืองได้เปรียบกว่า
เฉินเจียซิ่งตอบกลับ
“ใช่ครับ ผู้หญิงที่ผมคบในครั้งนี้เป็นคนเรียบง่ายและซื่อสัตย์มาก เราจะแต่งงานกันวันที่แปดเดือนหน้า คุณน้า คุณตา คุณยาย และคุณน้าสะใภ้ต้องมาร่วมงานของผมให้ได้นะ”
“ได้ ไว้ฉันจะบอกตายายของเธอให้”
เฉินเจียซิ่งกลัวว่าน้าของเขาจะตอบรับคำเชิญไปส่งๆ เขาจึงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“พวกคุณต้องมาให้ได้นะ อย่าลำเอียงกับหลานเด็ดขาด”
หลังจากวางสายแล้ว โจวเจี้ยนกั๋วก็สติหลุดไป เจ้าเด็กเจียซิ่งคนนี้เพิ่งจะหย่าได้ไม่นานนี้เอง ไม่ทันไรก็หาคนใหม่ได้แล้วเหรอ?
เขาเปลี่ยนภรรยาไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียอีก
…
วันนี้วังซูเฟินและเฉินเจิ้นกั๋วไปเยี่ยมบ้านลุงผู้ชราของหล่อน
หลังจากที่ย้ายไปอยู่หนานเฉิง หลอนก็ไม่ได้ติดต่อกับลุงคนนี้อีกเลยเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเมื่อได้กลับมาครั้งนี้จึงอยากแวะไปเยี่ยมเขาเสียหน่อย
ช่วงบ่าย เฉินเจิ้นกั๋วและวังซูเฟินก็กลับมา
เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงกลับถึงบ้านหลังจากเลิกงานเช่นกัน ทันทีที่วังซูเฟินเดินผ่านเข้าประตูมา สีหน้าของหล่อนก็เหมือนกุมความลับอะไรบางอย่างไว้ และเอาแต่มองตรงไปที่เฉินเจียซิ่ง
เมื่อเฉินเจียซิ่งสบตากับวังซูเฟิน เขาก็ตัวสั่นไปทั้งตัวเพราะความหวาดกลัว
อาสะใภ้รองมีการแสดงออกแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
วังซูเฟินถามอย่างมีความหมายว่า
“เจียซิ่ง บ้านของแฟนเธออยู่ในตรอกหงซิงหรือเปล่า?”
เฉินเจียซิ่งตอบว่า “ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า?”
“จะมีอะไรได้ล่ะ? ตอนนี้แฟนเธอน่ะกลายเป็นคนดังประจำซอยไปแล้วนะ แม่ของหล่อนเอาเรื่องนี้โอ้อวดไปทั่ว บอกว่าลูกสาวตัวเองกำลังจะแต่งงานกับลูกชายของบ้านพักเจ้าหน้าที่ทหาร นับจากนี้หากทุกคนในซอยมีอะไรก็ไปขอความช่วยเหลือได้ เพราะลูกเขยจะจัดการให้ทุกอย่าง”
วังซูเฟินดูภาคภูมิใจราวกับรู้เรื่องทุกอย่างดี “นั่นคือคนที่เธอคุยนักคุยหนาว่าดีเหรอ? ฉันว่าหล่อนไม่ได้สนใจในตัวเธอหรอก แต่สนใจภูมิหลังของครอบครัวเรา สนใจบารมีของปู่และพ่อแม่เธอมากกว่า พอฉันพูดมากไปเธอก็มาทำท่าทางไม่พอใจ แล้วหาเรื่องทะเลาะกับฉันอีก ถามหน่อยว่าสิ่งที่ฉันพูดมันผิดตรงไหน?”
วังซูเฟินเสนอแนวคิดให้เขาทันที “ฉันว่าเธอสองคนควรถอยห่างกันโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า ถ้าผู้หญิงคนนี้กลายมาเป็นญาติร่วมบ้าน หล่อนต้องมารบกวนบ้านเราทุก ๆ สองวันให้ช่วยเป็นธุระต่าง ๆ นานาแน่ ไปหาคนอื่นที่ดีกว่าหล่อนเถอะ ถึงยังไงเจียวั่งก็มีแฟนแล้ว ไว้ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักกับลูกสาวของญาติห่าง ๆ ของฉันทีหลัง”
เฉินเจียซิ่ง “…”
เขากัดฟันตอบ “ขอบคุณนะครับ!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่วังซูเฟินพูด ผู้เฒ่าเฉินก็มองเฉินเจียซิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง
พวกเขาไม่สนใจสภาพครอบครัวของผู้หญิงคนนั้น แต่ถ้าพ่อแม่ของหยางหงเสียเอาเรื่องการแต่งงานไปโพนทะนากับผู้คนในตรอกอย่างเกินจริงแบบนี้ เห็นทีพวกเขาในฐานะผู้ใหญ่อาจต้องเข้ามาแทรกแซงจริง ๆ
เฉินเจียซิ่งอธิบาย
“หงเสียไม่ใช่คนแบบนั้น แม่ของหล่อนแค่เต็มตื้นยินดีเกินไปหน่อย เลยจงใจพูดแบบนั้นต่อหน้าเพื่อนบ้านทั้งหลาย เพื่อไม่ให้พวกเขามาสร้างปัญหากับเรา”
“นั่นก็พูดยากนะ ความจริงก็คืออาสะใภ้ของเธอไปได้ยินมากับหูว่าแม่ของหงเสียอวดลูกสาวตัวเองแบบนั้น”
ผู้เฒ่าเฉินบอกว่า “เจียซิ่ง เธอต้องอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจน ต่อให้กลายเป็นญาติกันแล้วก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่ทางเราจะให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ใด ๆ แก่พวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการเป็นธุระจัดการให้กับเพื่อนบ้าน แม้แต่สมาชิกในครอบครัวของเธอเองก็เถอะ ถ้าพวกเขายินดีแต่งงานกับเราเพราะเหตุผลนี้ เราคงต้องขัดขวางไม่ให้การแต่งงานนี้เกิดขึ้น”
“หงเสียเป็นผู้หญิงที่มีความรับผิดชอบสูง หล่อนสามารถจัดการทุกอย่างได้แน่ครับ ไม่ต้องกังวล ผมจะเตือนหล่อนเอง”
สิ่งที่ผู้เฒ่าเฉินกลัวที่สุดคือการที่ญาติ ๆ ของหล่อนพยายามเข้าหาพวกเขาเพื่อของานทำ ขอให้ฝากฝังเข้าทำงานในองค์กรต่าง ๆ จนก่อปัญหาให้กับระบบทรัพยากรบุคคล นั่นถือเป็นการแทรกแซงที่ผิดกฎเกณฑ์ไม่ใช่หรือ?
ผู้เฒ่าเฉินพูดกับเฉินเจิ้นเจียงว่า
“พวกเธอควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้เขาด้วย อย่าปล่อยให้เขาจัดการเอง ถ้าจนแล้วจนรอดยังหาทางออกไม่ได้ก็ปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปเสีย ค่อย ๆ หาคู่ครองใหม่อย่างช้า ๆ การแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ เจียซิ่งยังเด็กและมีอนาคตไกล ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ เห็นไหมว่าเจียเหอน่ะเข้าใจเลือกคนมาก แต่คนที่เธอเลือกกลับแตกต่างกันคนละขั้ว”
เฉินเจียซิ่งแสดงความไม่เห็นด้วย “คุณปู่ แต่พี่ใหญ่ก็แต่งงานแบบสายฟ้าแลบเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
เฉินเจียวั่งแย้งอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้าง “ไม่ พี่ใหญ่แอบชอบพี่สะใภ้มานานแล้ว เขาแค่ออกตัวเคลื่อนไหวหลังจากที่สังเกตความเป็นไปของหล่อนอย่างระมัดระวังต่างหาก”
เฉินเจียซิ่ง “!!!”
ระหว่างรับประทานอาหาร ผู้เฒ่าเฉินคิดอย่างรอบคอบ จากนั้นก็พูดกับเฉินเจิ้นเจียงว่า “ฉันมีความคิดว่า เราควรปล่อยให้เจียซิ่งและภรรยาของเขาย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ข้างนอกกันเองดีไหม หลังแต่งงานแล้วย้ายออกไป ไม่ต้องเทียวเข้าเทียวออกในชุมชนบ้านพักทหาร จะได้ไม่กลายเป็นขี้ปากคน”
คงมีเพียงการย้ายออกไปใช้ชีวิตของตัวเองเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างเป็นอิสระและมีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง
แม้ว่าในอนาคตครอบครัวของหยางหงเสียจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ก็ตาม แต่พวกเขาคงไม่กล้าเรียกร้องอะไรโดยตรง ตราบใดที่ทั้งสองไม่ได้อยู่ในบ้านของครอบครัวฝ่ายชาย
หยางหงเสียเป็นเด็กดีและมีคุณธรรมจริง ๆ ถึงอย่างไรทั้งสองก็คบหากันมาถึงจุดที่พูดคุยเรื่องการแต่งงานแล้ว ถ้าให้เลิกกันกลางคันอาจจะโหดร้ายเกินไป
เฉินเจียซิ่งพึมพำเมื่อได้ยินปู่ของเขาพูดแบบนั้น “ถ้าเราย้ายออกไป ด้วยเงินเดือนเพียงน้อยนิดจะพอยังชีพได้ยังไงกันครับ? แค่อยู่ให้รอดในแต่ละเดือนยังไม่ได้เลย”
ถ้ายังอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อกับข้าวกับปลา ของใช้ในชีวิตประจำวันก็มีอยู่ในบ้านอย่างครบครัน พวกเขาแค่ดูแลตัวเองก็พอแล้ว
ขืนออกไปอยู่กันตามลำพัง ก็เท่ากับต้องตั้งตัวใหม่ทั้งหมดเลยน่ะสิ
เฉินเจิ้นเจียงถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“ตั้งแต่แกเริ่มทำงาน เราไม่เคยขอให้แกส่งเงินเดือนให้ครอบครัวเลยด้วยซ้ำ แล้วคนอย่างแกก็ไม่เคยซื้อหรือบริจาคสิ่งของจำเป็นใด ๆ ให้กับครอบครัวของเราเลย มีเหตุผลอะไรถึงหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้?”
เฉินเจียซิ่งแตะจมูกตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน ไม่กล้าโต้เถียงอะไรสักคำ
เขาใช้เงินแบบเดือนชนเดือนทุกเดือนเลยก็ว่าได้
สมัยที่เขายังอยู่กับเสิ่นเสี่ยวเหมย แม่ยังต้องช่วยสนับสนุนเขาเรื่องค่าครองชีพด้วยซ้ำ
เฉินเจิ้นเจียงตัดสินใจโดยตรง “ปู่ของแกพูดถูก ย้ายออกไปอยู่กันเองน่าจะดีกว่า”
น้ำเสียงของเขาฟังเหมือนกำลังพยายามกำจัดอุปสรรคบางอย่าง จนเฉินเจียซิ่งรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ
“พวกคุณจะทิ้งผมกันดื้อ ๆ แบบนี้เหรอ?” เฉินเจียซิ่งมองไปที่โจวลี่หรงราวกับจะร้องขอความช่วยเหลือ
โจวลี่หรงไม่แสดงท่าทางลังเลที่จะปล่อยให้เขาจากไป “เจียซิ่ง ลูกอายุยี่สิบหกแล้ว ไม่ใช่สิบหก”
โจวลี่หรงเห็นด้วยอย่างมากกับข้อเสนอของชายชรา
ในเมื่อมีที่พักอาศัยอยู่ด้านนอก เขาก็ควรย้ายออกไปหลังจากแต่งงาน อย่างน้อยก็เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้
เพราะตัวหล่อนเองมีบุคลิกที่ไม่น่าคบหาสมาคมเท่าไร แถมยังบกพร่องในหน้าที่แม่สามี เพราะไม่รู้ว่าจะเข้าหาลูกสะใภ้อย่างไร
เฉินเจียซิ่งทำได้แค่หุบปากและก้มหน้าก้มตากินเท่านั้น
แม้ว่าวังซูเฟินจะเป็นคนปากร้าย ไร้สาระ และชอบเปรียบเทียบ แต่หล่อนก็ไม่กล้าทำตัวอวดดีเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินเจิ้นเจียงผู้เป็นพี่ชายของสามี
ตอนนี้หล่อนเปลี่ยนเป้าหมายมองไปที่เฉินเจียวั่งด้วยรอยยิ้ม สีหน้าฉายความกังวลบนขณะถามว่า “เจียวั่ง แฟนเธอจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ ช่วยพาหล่อนมาทำความรู้จักกับพวกเราหน่อยได้ไหม?”
เฉินเจียวั่งก้มหน้าลงกินต่อไป เอาแต่นิ่งเงียบ
คุณย่าเฉินก็กังวลมากเช่นกัน อยากรู้จักแฟนสาวของหลานชายคนที่สามเต็มทน พูดยิ้ม ๆ ว่า “รอให้อวี่เฟยกลับมาจากเชินเฉิง หลานช่วยพาหล่อนมากินอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านหน่อยสิ?”
เฉินเจียวั่งก้มหน้าลงกวาดข้าวในชามจนหมด ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไว้หล่อนกลับมาแล้วค่อยคุยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมนะ อวี่เฟยกลับมาเมื่อไหร่ให้ชวนหล่อนมาที่บ้านเราทันที”
เฉินเจียวั่งตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก วันรุ่งขึ้น เขาจึงออกไปหาหลินเซี่ยหมายจะคาดโทษด้วยความโกรธ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นับว่าอาสะใภ้รองทำดีอย่างในเรื่องที่สอด เอ้ย สืบครอบครัวของหยางหงเสีย แต่มันก็เป็นความหวังดีประสงค์ร้ายอยู่ดีอะ
ไหหม่า(海馬)