ตอนที่ 540 พวกเธอแกล้งทำเป็นคบกันก็ได้นี่
ตอนที่ 540 พวกเธอแกล้งทำเป็นคบกันก็ได้นี่
วันนี้หลินเซี่ยบังเอิญเข้าไปที่ร้านตัดผมพอดี ช่วงหลังมานี้เธอจะแวะมาที่ร้านตัดผมแค่วันต่อสัปดาห์ ถึงอย่างนั้นก็มีพี่สาวหลายคนมารอทำผมกับเธอตั้งแต่เช้า
ผมของเฉินเจียวั่งก็ยาวมากแล้วเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในร้านเพื่อต่อคิวด้วย
กว่าจะถึงคิวของเฉินเจียวั่งก็ถึงเวลาพักกินข้าวมื้อกลางวันพอดี
หลินเซี่ยพูดว่า “ไปเถอะ ไปกินข้าวที่ร้านพ่อแม่ฉันแล้วค่อยกลับมาตัดผมดีไหม? ฉันหิวเกินกว่าจะทำงานต่อแล้ว”
ตอนนี้เธอยังมีอีกหนึ่งชีวิตน้อย ๆ อยู่ในท้อง ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองหิวอีกต่อไป จำเป็นต้องรับสารอาหารอย่างเพียงพอและตรงเวลา
เฉินเจียวั่งดูไม่มีความสุขตั้งแต่เช้า หลินเซี่ยมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป? รอคิวมาทั้งเช้าจนหน้าบูดเลยใช่ไหมล่ะ? ร้านของฉันกำลังรุ่ง ปกติตอนนายไม่มาก็เป็นอย่างนี้แหละ ฉันใช้สิทธิ์พิเศษลัดคิวให้เพียงเพราะนายเป็นน้องเขยของฉันไม่ได้จริง ๆ ถ้าทำแบบนั้นลูกค้าคงจะบ่นกันหูชา”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเซี่ย ทำให้ความบ้าคลั่งและความโกรธภายในใจของเฉินเจียวั่งสงบลงอย่างน่าประหลาด เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามหลินเซี่ยไปกินข้าวที่ร้านชามข้าวเหล็กฝั่งตรงข้าม
ช่วงนี้ร้านอาหารก็มีลูกค้าเนืองแน่นเช่นกัน และพวกเขายังต้องรออีกสักพัก
คุณแม่เซี่ยกำลังช่วยลูกชายและลูกสะใภ้ยกชามเปล่าออกไป เมื่อเห็นหลินเซี่ยและเฉินเจียวั่งเข้ามา นางก็ยกหม้อของตุ๋นมาจากครัวด้านหลังให้พวกเขาโดยเฉพาะ บอกว่าทำทิ้งไว้ให้พวกเขาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ช่วงเที่ยงลูกค้าเข้าเยอะมาก ไม่มีเวลาปรุงอาหารสดใหม่ ถึงอย่างนั้นก็พร้อมรองรับพวกเขาให้มากินข้าวได้ทุกเวลา
หลินเซี่ยและเฉินเจียวั่งปลีกตัวไปนั่งตรงมุมห้อง แต่ละคนตักของตุ๋นใส่เต็มชาม
หลังจากที่เฉินเจียวั่งกินเสร็จ สีหน้าของเขาก็ยังคงไม่มีความสุขอยู่ดี
หลินเซี่ยมองสีหน้าแข็งกร้าวของเขา ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “เฉินเจียวั่ง เมื่อไหร่จะหยุดทำหน้าเหมือนเหม็นอะไรสักอย่างใส่คนอื่นสักที? กับข้าวไม่อร่อยจนนายต้องแสดงออกผ่านสีหน้าขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
เฉินเจียวั่งวางตะเกียบลง มองหน้าเธอแล้วตอบกลับว่า “เธอไม่รู้ตัวหรือไงว่าตัวเองทำอะไรลงไป?”
“ฉันทำอะไร?” หลินเซี่ยสบสายตาเขาอย่างไร้ความปรานี พูดอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“เดี๋ยวนี้ชักจะหยาบคายกับฉันใหญ่แล้ว อยู่ต่อหน้าไม่แม้แต่จะเรียกฉันว่าพี่สะใภ้ หรือนายลืมไปแล้วว่าควรเรียกฉันแบบไหน? ถ้าคนไม่รู้คงคิดว่าเราสองคนเป็นคู่รักที่กำลังงอนกันอยู่ เพราะแบบนี้ไงฉันถึงอยากให้นายเรียกฉันว่าพี่สะใภ้”
พวกเขาเป็นหนุ่มสาวสองคนที่มีอายุไล่เลี่ยกัน พอได้มานั่งตรงข้ามกันแบบนี้ แถมเฉินเจียวั่งยังมาทำหน้าบึ้งตึงใส่อีก ฉากนี้อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจริง ๆ
เฉินเจียวั่งเห็นว่าหลินเซี่ยไม่ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองเลย จึงมองเธอด้วยใบหน้ามืดมน แล้วถามว่า “เธอบอกอาสะใภ้รองเหรอว่าเจียงอวี่เฟยเป็นแฟนฉัน?”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินสิ่งนี้ เธอก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเฉินเจียวั่งถึงได้โกรธเธอนักหนา แต่ก็ยังพยักหน้า “ใช่”
“ปู่ย่าและทุกคนเชื่อว่าเป็นความจริงไปหมดแล้ว” เฉินเจียวั่งทำหน้าเหมือนอยากกินใครสักคน กัดฟันถามต่อไป “เธอคิดว่าบ้านฉันยังวุ่นวายไม่พออีกหรือไง? ตอนนี้อาสะใภ้รองกับย่าของฉันเอาแต่ถามไถ่กดดัน จะให้ฉันพาแฟนไปกินข้าวที่บ้านให้ได้ เธอคิดว่าฉันควรทำไงล่ะ?”
หลินเซี่ยกระแอมไอเล็กน้อยและอธิบายว่า “ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกนี่นา อาสะใภ้รองของนายเอาแต่จะยัดเยียดญาติห่าง ๆ ของหล่อนให้นายรู้จักลูกเดียว เพื่อช่วยไม่ให้นายตกเป็นเป้านิ่ง ฉันเลยต้องบอกไปว่าอวี่เฟยเป็นแฟนนาย นี่ถือเป็นคำโกหกสีขาว…”
ดวงตาของเฉินเจียวั่งกะพริบปริบ จากนั้นเขาก็หลีกเลี่ยงสายตาของเธอ
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลินเซี่ย สีหน้าของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างเชื่องช้าว่า “พวกหล่อนอยากเจอตัวจริงให้ได้ เพราะถ้ามัวแต่ยื้อเวลาไม่ยอมพาใครกลับไป เห็นทีฉันคงกลับบ้านไม่ได้อีกยาว”
ถ้าวังซูเฟินมีความคิดจะแนะนำเขาให้ไปเป็นลูกเขยของญาติตัวเอง นั่นแปลว่าหล่อนคิดว่าเขาไร้ความสามารถในการหาคู่ครอง และจะยังสรรหาคนนั้นคนนี้มาให้เขารู้จักต่อไป
เฉินเจียวั่งต้องการตัดขาดความรำคาญกับญาติจอมจุ้นคนนี้จริง ๆ
หลินเซี่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม “อวี่เฟยจะกลับมาวันมะรืนนี้แล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียวั่งดูอึดอัดอย่างมากเมื่อพูดถึงหล่อน เขาบ่นพึมพำ “กลับมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? หล่อนไม่ใช่แฟนของฉันจริง ๆ ซะหน่อย”
“หรือนายอยากให้หล่อนกลายเป็นแฟนตัวจริง?” หลินเซี่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม
เฉินเจียวั่งพบกับสายตาหยอกล้อของเธอ จึงหันหลังกลับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ดวงตาของเฉินเจียวั่งวูบไหว แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผู้หญิงคนนั้นมีความฝันอยากเป็นดาราดัง
พวกเขาไม่ได้เดินอยู่บนถนนสายเดียวกันอีกต่อไป
เฉินเจียวั่งเพิกเฉยต่อเธอ หลินเซี่ยจึงไม่สามารถบังคับให้เขาสารภาพหรืออะไรก็ตามได้เลย
เธอพูดยิ้ม ๆ ว่า
“ดูสมองทึบ ๆ ของนายซิ ทำไมไม่หัดหาทางสายกลางเพื่อเอาตัวรอดซะบ้าง? นายก็แค่ไปขอความช่วยเหลือจากหล่อนเพื่อจัดการกับปัญหานี้เท่านั้นเอง”
เฉินเจียวั่งไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของหลินเซี่ย “แล้ววันข้างหน้าจะทำยังไงล่ะ? เราอาจจะแก้ปัญหาไปได้แค่พักหนึ่ง แต่ไม่ใช่ตลอดชีวิตที่เหลือของเราซะหน่อย”
หลินเซี่ยมองเขาและพูดอย่างจริงจังว่า “นายน่าจะมองออกว่าหล่อนคิดยังไงกับนาย อันที่จริงนายแกล้งทำเป็นคบกับหล่อนก็ได้นี่ เหมือนกับที่อาหญิงของฉันและหมอเย่เคยทำไง”
ดวงตาของเฉินเจียวั่งสว่างขึ้นเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาเงียบไปสองสามวินาที แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกอวี่เฟยให้หน่อย ยังไงเธอก็เป็นคนเปิดประเด็นนี้เอง”
นั่นถือว่าเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอของหลินเซี่ย
หลินเซี่ยกอดอก พูดด้วยท่าทางแข็งกร้าว “ฉันไม่บอกหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับไปบอกทุกคนในบ้านให้ชัดเจน ว่าตอนนั้นเธอแค่พูดจาไร้สาระ ฉันไม่มีแฟนอะไรนั่นด้วยซ้ำ”
หลินเซี่ยไม่ได้ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามของเฉินเจียวั่งอย่างจริงจังเลย เธอยิ้มตอบ
“แล้วแต่ หลังจากนั้นอาสะใภ้รองของนายจะได้ยัดเยียดนายให้รู้จักกับญาติของหล่อน แล้วนายก็จะกลายเป็นเขยชาวหนานเฉิงเหมือนกับอารองไงล่ะ ภรรยาในอนาคตของนายต้องเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการมากแน่ ได้ยินมาว่าครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นมีภูมิหลังไม่เลวเลย บางทีนายอาจจะต้องพึ่งพาหล่อนก็ได้นะ”
เฉินเจียวั่งกัดฟันพลางขึ้นเสียง “หลินเซี่ย!”
เฉินเจียวั่งเรียกเธอด้วยชื่อจริง หลินเซี่ยก็แสดงอำนาจของตัวเองเช่นกัน “เรียกฉันว่าพี่สะใภ้”
เฉินเจียวั่งยิ้มอย่างดูแคลน ทำท่าเหมือนอยากจะทุบตีเธอ
หลินเซี่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย และพูดเบา ๆ
“กล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอ? เย็นนี้ฉันจะกลับไปบอกพี่ชายของนายว่านายไม่เคารพฉัน ดูซิว่าเขาจะจัดการกับนายยังไง แล้วฉันก็จะกลับไปฟ้องพวกผู้ใหญ่ที่บ้านนายด้วย”
“งั้นก็แล้วแต่” คำว่า ‘ไม่มีใครเอาฉันลง’ เขียนไว้อย่างชัดเจนบนหน้าผากของเฉินเจียวั่ง
หลินเซี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมประนีประนอม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกชายคนเล็กที่ถูกทางบ้านตามใจคนเคยตัว
“ก็ได้ ไม่เรียกก็ไม่เรียก กลับไปตัดผมกันเถอะ”
“ฉันจะกลับแล้ว” เฉินเจียวั่งหันหลังกลับและเตรียมเดินจากไป
“ถ้าวันนี้นายไม่ยอมตัดผมกับฉัน นายก็ต้องรอฉันเข้าร้านไปอีกสัปดาห์หนึ่ง อวี่เฟยจะกลับมาวันมะรืนนี้แล้ว ถ้านายยังไม่หยุดทำตัวงี่เง่าเอาแต่ใจ กระทั่งเรื่องเจรจาให้หล่อนแกล้งเป็นแฟนกำมะลอก็อย่าหวังเลย”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เฉินเจียวั่งก็หยุดเดินอีกครั้ง หันหลังกลับ และเดินตามเธอกลับเข้าไปในร้านตัดผมอย่างเชื่อฟัง
ถึงอย่างไรหลินเซี่ยก็มีวุฒิภาวะทรงพลังและเป็นผู้ใหญ่กว่าเขามาก เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมีสีหน้าอึดอัดใจแค่ไหน เธอก็พบว่ามันน่าขบขันเป็นพิเศษ
เป็นเรื่องดีที่เขายังเด็ก และเป็นเรื่องดีที่เขาได้รับการเอาใจใส่จากครอบครัว
หลังจากสระผมเสร็จ เฉินเจียวั่งก็เดินไปนั่งอยู่หน้ากระจก เห็นว่าสีหน้าของเขาดูน่าเกลียดแค่ไหน
เขากลัวว่าถ้าตัวเองทำหน้าแย่ ๆ ใส่เธออีกรอบ หลินเซี่ยอาจจะโกรธจนตัดผมเขาแหว่งเป็นการสั่งสอนได้ ดังนั้นเขาจึงมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก พยายามทำให้ใบหน้าของตัวเองผ่อนคลายลง ไม่แสดงอารมณ์บูดบึ้งแบบเดิมอีก
หลินเซี่ยตัดผมของเขาอย่างจริงจัง แต่เพราะกลัวว่ามันจะสั้นเกินไปจนทำทรงอื่นไม่ได้ เธอจึงเล็มผมให้เขาแค่นิดหน่อยพร้อมกับเตือนว่า “อีกหน่อยอย่าลืมแวะมาเล็มผมที่นี่ทุกเดือนนะ จะได้รักษาทรงผมให้คงที่แบบเดิมไปตลอด”
หลังจากที่เป่าผมให้เขาจนแห้งแล้ว เฉินเจียวั่งก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยไม่ได้แก้แค้นเขา
เขายืนกรานที่จะจ่ายเงิน หลินเซี่ยก็ยอมรับมันโดยดี
เธอเปิดประตูทำธุรกิจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม พวกเขาสามารถเข้ามาตัดผมได้ ขอแค่จ่ายเงินตามปกติก็ไม่มีภาระทางจิตใจในครั้งต่อไปแล้ว
“ฉันกลับก่อนนะ”
หลินเซี่ยตะโกนย้ำกับเขาจากด้านหลัง “อย่าลืมล่ะ อวี่เฟยจะกลับมาวันมะรืนนี้”
เฉินเจียวั่งรีบจ้ำอ้าวเดินออกจากประตูไป โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชอบก็บอกชอบ วางท่าเฉยไม่เริ่มเดินเกมสักทีระวังหมาคาบไปกินนะเจียวั่ง
ไหหม่า(海馬)