บทที่ 583 เธอยังโทษฉันอยู่หรือเปล่า?
บทที่ 583 เธอยังโทษฉันอยู่หรือเปล่า?
ในตอนที่เซี่ยชิงหยวนและเหล่าไต้เดินออกจากเฟิงหวง พร้อมกับข้อตกลงเข้าซื้อกิจการของเฟิงหวง ดวงตาของเหล่าไต้ยังแดงอยู่จาง ๆ
เขาไม่ได้รู้สึกเขินอาย เพียงเช็ดคราบน้ำตาที่หางตาของตนพลางเอ่ย “น้องสาวชิงหยวน เธอไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกัน รู้จักพวกเขาดีกว่าฉันจริง ๆ”
เขาสูดน้ำมูกเบา ๆ “เฮ้อ ช่างซาบซึ้งจริง ๆ”
ที่เซี่ยชิงหยวนรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้ก็เพราะในชาติที่แล้ว เธอเคยอ่านรายงานรำลึกถึงกิจการเอกชนเก่า ๆ และในเวลานั้นหญิงสาวไม่สามารถลบมันออกจากใจได้ ใครกันคาดคิดว่าจะดังก้องขึ้นมาจริง ๆ
เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย “แน่นอนว่า… เป็นความลับค่ะ”
เหล่าไต้กำลังเงี่ยหูฟังเธออย่างตั้งใจ แต่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกเธอแกล้งแบบนี้
เขาไม่ได้โกรธ เพียงเดินตามเธอไปแล้วเอ่ยว่า “เรื่องเมื่อคราวก่อนที่ฉันบอกเธอว่ามีบริษัทเสื้อผ้านานาชาติหลายแห่งที่ต้องการซื้อผลงานสร้างสรรค์ของเรา เธอคิดว่ายังไง?”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวโดยไม่ได้หันกลับมา “เหล่าไต้ คุณคิดว่าเรื่องแบบนี้ยังต้องพิจารณาอีกเหรอ?”
เหล่าไต้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลูบหัวตัวเองแล้วหัวเราะ “ขายอะไรกัน แน่นอนว่าต้องทำเองสิเนอะ!”
ตอนนี้ร้านยามต้องมนต์มีกว่ายี่สิบสาขาทั่วประเทศ และจนถึงขณะนี้ทำกำไรได้มากกว่าแปดแสนหยวน เมื่อหักลบเงินที่ใช้เข้าซื้อเฟิงหวงไปหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน ก็ยังมีเงินทุนเหลือเกือบเจ็ดแสนหยวน!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเขามีเฟิงหวงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าอื่นอีกต่อไป แล้วพวกเขาจะต้องกลัวอะไรอีก!
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เข้าใจถี่ถ้วนในทันที ควรค่าให้สั่งสอน”
เหล่าไต้กล่าวอีกว่า “แต่… แล้วคำเชิญจากอาจารย์ลิซ่าคนนั้นล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนหยุดฝีเท้าลง ยืนเคียงข้างกับเหล่าไต้พร้อมพยักหน้า “แน่นอนว่าเราสามารถร่วมมือกันได้ เราผลิตผลงานและเข้าร่วมในแฟชั่นโชว์ของเธอ”
ด้วยการใช้ประโยชน์จากแฟชั่นโชว์เพื่อสร้างชื่อเสียงและส่งเสริมแบรนด์ของตนเอง เสื้อผ้าจึงเทียบเท่ากับการติดป้ายและเคลือบด้วยทองคำอีกชั้น
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าไต้ก็พลันถอนหายใจ “เธอเก่งเกินไปจริง ๆ โชคดีที่ฉันเป็นหุ้นส่วนของเธอ ไม่ใช่คู่ต่อสู้”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ดูสิว่าคุณเก่งแค่ไหนในการเลือกข้าง”
เหล่าไต้ตามหลังเธอไปครึ่งก้าว พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ยิ้มเป็นแล้วนะ อย่าพูดไปล่ะ นี่ถือเป็นเสน่ห์ของเด็กผู้หญิงเชียว ส่วนเด็กแสบพวกนั้นรู้จักก็แต่ทำตัวดื้อซนเท่านั้น ทุกครั้งที่เห็นลูกสาว จะต้องเสียเงินเท่าไหร่ก็คุ้มค่า”
ทั้งสองเดินพูดคุยหัวเราะกันไปบนถนนในฤดูหนาวของเมืองกว่างโจว พวกเขาสวมเสื้อผ้าไม่หนาเกินไป ทั้งยังสูงพอ ๆ กัน คนหนึ่งอวบอ้วน อีกคนผอมเพรียว แต่จะเห็นได้ว่าคนที่มีรูปร่างอวบอ้วนจะยืนถัดจากอีกคนซึ่งมีรูปร่างผอมเพรียวในท่าทางสนับสนุนอยู่เสมอ
…
เซี่ยชิงหยวนพักอยู่ที่เมืองกว่างโจวเพียงหนึ่งวัน ในเย็นวันนั้น หญิงสาวจึงไปเยี่ยมศาสตราจารย์เติ้งและภรรยาของเขา พร้อมของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อขอบคุณพวกเขาสำหรับการสนับสนุน
เมื่อรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนเข้าซื้อเฟิงหวงได้แล้ว รวมถึงเงื่อนไขที่เธอสัญญาไว้ ศาสตราจารย์เติ้งพยักหน้าซ้ำ ๆ “เธอทำได้ดีมาก”
แม่เฒ่าเติ้งเองก็ปลื้มอกปลื้มใจไม่น้อยไปกว่ากัน “เธอเป็นคนจิตใจดี สวรรค์ย่อมเมตตาอวยพรอย่างแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนระบายยิ้ม “ฉันแค่ทำเท่าที่จะสามารถทำได้อย่างสุดความสามารถเองค่ะ”
ศาสตราจารย์เติ้งพลันเอ่ยถามถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเซี่ยชิงหยวน “ตอนนี้เธอมีลูกสองคนแล้ว เกรงว่าจะไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะเตรียมตัวสอบแล้วกระมัง?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “คำสั่งสอนของศาสตราจารย์เติ้ง ฉันย่อมไม่กล้าเกียจคร้านเลยแม้แต่น้อยค่ะ”
ศาสตราจารย์เติ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “สมกับความคาดหวังของฉันจริง ๆ”
เขากลับไปยังห้องของตัวเอง แล้วนำเอกสารกองเล็ก ๆ อีกกองหนึ่งมาให้เธอ “ยังมีเวลาอีกสองสามเดือนก่อนจะถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ใช้กลยุทธ์พวกนี้แล้วการสอบเข้าวิทยาลัยจะสามารถมั่นใจได้”
เขายังสวมแว่นตาอ่านหนังสือ พร้อมถือสมุดไว้ในมือ “มีมหาวิทยาลัยในใจไหม? ฉันสามารถแนะนำให้เธอได้นะ”
เซี่ยชิงหยวนตอบอย่างมั่นใจ “มหาวิทยาลัยนครหลวงค่ะ”
ศาสตราจารย์เติ้งนิ่งงัน “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เธอบอกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยยูนนานหรอกเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนเผยยิ้มจาง ๆ “ศาสตราจารย์คะ คนเราล้วนมีบางอย่างที่ต้องการไขว่คว้าไม่ใช่เหรอคะ?”
อาจารย์เติ้งเข้าใจทันที
เสิ่นอี้โจวสร้างผลงานจากโครงการบรรเทาความยากจนในครั้งนี้ แล้วเขาจะยังอยู่ที่มณฑลอวิ๋นไปตลอดได้ยังไงล่ะ?
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนำข้อมูลที่เพิ่งให้เซี่ยชิงหยวนกลับมา “หากเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนครหลวง เห็นทีว่าข้อมูลพวกนี้คงไม่เพียงพอ เธอรอให้ฉันหาข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อยนะ คาดว่าฉันต้องทำใหม่ซะแล้ว”
เมื่อเห็นดังนั้น เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ “ศาสตราจารย์เติ้ง ไม่ต้องหรอกค่ะ”
เธอเอ่ยรั้งเขาเอาไว้ ก่อนเอ่ยด้วยความสัตย์จริง “ความช่วยเหลือที่ผ่านมาของคุณสองคนสามีภรรยานั้นมากเสียจนไม่อาจทดแทนบุญคุณได้หมดแล้วจริง ๆ ค่ะ”
เธอนำข้อมูลที่ศาสตราจารย์เติ้งให้กับเธอก่อนหน้านี้มาวางไว้บนตัก พลางเอ่ย ”ศาสตราจารย์เติ้ง สำหรับฉันแค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความมุมานะพยายามของฉันแล้ว ในอนาคตหากคุณและแม่เฒ่าเติ้งต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ขอเพียงบอกกล่าว เราจะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
ศาสตราจารย์เติ้งเมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนดูไม่เหมือนว่าจะแล้งน้ำใจตอบแทน ก็ถอนหายใจ “เธอเป็นคนที่หนักแน่นชัดเจน ยอมรับเลยจริง ๆ ”
ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่พอได้รับผลประโยชน์อันน้อยนิดกลับไม่ยอมให้ผลประโยชน์นั้นครอบงำตัวตนกัน?
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจว สามีภรรยาคู่นี้ มาถึงตำแหน่งที่สูงเช่นนี้แล้ว ปีนมาถึงยอดเขา ทว่าก็ตกลงไปก้นเหวได้ แต่พวกเขายังคงรักษาจิตใจให้สุขุม จะชื่นชอบหรืออดสูล้วนไม่เก็บใส่ใจ
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้ม “ความร่วมมือของศาสตราจารย์เติ้งที่มีต่อผู้คนในมณฑลอวิ๋น มาตุภูมิผืนนี้ย่อมไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอนค่ะ”
ในตอนที่เสิ่นอี้โจวไปยังอำเภอรุ่ยนั้น ปัญหามากมายที่พบ ณ ที่นั่น ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วผ่านจดหมายหรือคำแนะนำทางโทรศัพท์จากศาสตราจารย์เติ้ง
ดังนั้นในครั้งนี้ นอกจากกลุ่มเจ้าหน้าที่จากศูนย์บรรเทาความยากจนแล้ว ศาสตราจารย์เติ้งเองก็ได้รับการสรรเสริญและรางวัลเช่นกัน
ทว่าเรื่องนี้เซี่ยชิงหยวนไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ
ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ยังไม่มีการทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรออกมา หากเธอหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่เนิ่น ๆ ย่อมไม่เหมาะสมนัก
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับมายังโรงแรมจากบ้านของศาสตราจารย์เติ้ง เธอก็ได้พบกับบุคคลที่ไม่คาดคิดอย่างเหนือความคาดหมาย
เซี่ยจิ่งเฉิน
เซี่ยจิ่งเฉินสวมเสื้อเชิ้ตและเสื้อคลุมเรียบ ๆ สวมกางเกงแสลคและรองเท้าหนัง สะท้อนกิริยาท่าทางของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
เขายืนอยู่ที่ทางเข้าโรงแรม ก้มหน้าลงเพื่อสูบบุหรี่ ทันทีที่เขาเห็นเซี่ยชิงหยวนก็ระบายยิ้ม จากนั้นจึงโยนก้นบุหรี่ลงใบบนพื้นแล้วใช้เท้าบดขยี้มัน
ก่อนจะกลับมายืนตัวตรงแล้วยิ้มให้เธอ “เธอกลับมาแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยเบา ๆ ว่า”พี่รอง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เซี่ยจิ่งเฉินถูมือไปมาพลางเอ่ย “เมื่อวานฉันมาที่กว่างโจวกับเพื่อนเพื่อพูดคุยหารือเรื่องธุรกิจ แล้วนึกขึ้นว่าพอจะมาพบเธอได้ไหม เลยโทรศัพท์ไปหาน้องเขยน่ะ เขาบอกว่าเธอเองก็อยู่ที่เมืองกว่างโจวเหมือนกัน และบอกที่อยู่ของเธอให้กับฉันมา”
โรงแรมนี้เป็นที่ที่เซี่ยชิงหยวนจะเข้าพักทุกครั้งที่เธอมาเมืองกว่างโจว แน่นอนว่าเสิ่นอี้โจวย่อมรู้เรื่องนี้
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “เข้ามานั่งก่อนสิคะ”
เอ่ยจบก็เดินนำเข้าไป
ภายในห้องเล็ก ๆ แต่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย สองพี่ชายน้องสาว คนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียง และอีกคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ใกล้ ๆ
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมากว่าสามปี ในระหว่างนั้นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง มวลความรู้สึกแปลก ๆ ไม่คุ้นเคยก็ก่อตัวขึ้น
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“พี่เป็นยังไงบ้าง?”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความประหลาดใจ
ครั้งนี้เซี่ยจิ่งเฉินเป็นฝ่ายเปิดใจ และพูดคุยอย่างไม่หยุดพักเกี่ยวกับประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการของเขาในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
และในท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ครอบครัวของพวกเรา หากไม่มีเธอ เคงจะพังพินาศไปนานแล้วล่ะ”
ตัวอย่างเช่น การแต่งงานที่เจ็บปวดและไม่ถูกต้องของเขา หรือการที่ตระกูลจางใช้เรื่องลูกมาข่มขู่ ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างเซี่ยจิ่งเยว่กับภรรยาของเขาซึ่งเกือบจะนำไปสู่การหย่าร่าง
สำหรับเรื่องพวกนี้ เซี่ยชิงหยวนยกยิ้มอย่างไม่แยแสนัก “เรื่องพวกนี้ไม่มีค่าอะไรเลย ในฐานะลูกของพ่อแม่ นี่คือสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยจิ่งเฉินก็เอ่ยถามคำถามซึ่งเก็บอยู่ในใจของเขามานานแต่ไม่กล้าถาม “ชิงหยวน เธอยังโทษฉันอยู่หรือเปล่า?”