บทที่ 491 ที่ตั้งไหมเหมันต์
บทที่ 491 ที่ตั้งไหมเหมันต์
ได้ยินคำพูดของเสี่ยวเป่าแล้ว ทุกคนต่างตกตะลึง
รวมกระทั่งหัวหน้าเผ่าด้วย
ชายวัยกลางคนลดมือของตนเองลง ก้มหน้า เคราและผมยาวยุ่งเหยิงบนหัวบดบังสีหน้าเอาไว้ ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
หลังจากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่พูดสิ่งใด
เสี่ยวเป่าเกาหัว ไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่
“ไปเถิด ไปเก็บของแล้วขุดถ้ำใหม่กัน”
อานั่วซือพาเสี่ยวเป่าออกไป
เนื่องจากอานั่วซือนำสัตว์ร้ายยักษ์จำนวนมากกลับมา ดังนั้นพื้นที่ที่เขาเลือกจึงเป็นผืนป่าขนาดใหญ่
ส่วนถ้ำอยู่อาศัย เขาจำเป็นต้องขุดด้วยตนเอง
“อานั่วซือ ให้พวกเขาช่วยเจ้าขุดถ้ำด้วย!”
น่าประหลาดใจนัก ครั้งนี้มีคนจำนวนมากต้องการช่วยอานั่วซือขุดถ้ำ ทั้งยังดูกระตือรือร้นอย่างมาก
ชายหนุ่มเผยสีหน้าแฝงความสับสน ราวกับไม่เข้าใจและไม่คุ้นเคย
“เด็กดี นำสัตว์ร้ายยักษ์กลับมามากเพียงนี้”
“อานั่วซือ เจ้าฝึกพวกมันได้อย่างไร”
อานั่วซือถูกรายล้อมด้วยเหล่าคนไม่คุ้นหน้าที่ไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก ความกระตือรือร้นในยามนี้รุนแรงเสียจนเขาแทบทนรับไม่ไหว
อยากจะวิ่งหนีขึ้นมาบ้างแล้ว
เสี่ยวเป่าขุดถ้ำไม่เป็น ดังนั้นจึงไปเล่นกับเสือทั้งสองและเหล่าหมาป่ายักษ์
นางสวมเสื้อผ้าหนาเตอะนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าแมวยักษ์และสุนัขตัวใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ข้าอยากอาบน้ำจัง”
อานั่วซือยังบอกว่านางเรื่องมาก ไม่เคยพบเห็นผู้ที่รักความสะอาดเท่านางมาก่อน
แต่ตอนนี้เสี่ยวเป่ารู้สึกว่าตัวเองกำลังใกล้จะเน่าแล้ว ต้องการจะอาบน้ำเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าที่นี่มีอ่างน้ำหรือเปล่า
อีกทั้งไหมเหมันต์และโสมเหมันต์อยู่ที่ใดกัน
นางแหงนมองสัตว์ร้ายยักษ์ที่กำลังกินใบไม้อย่างสบายใจ ทันใดนั้นเองหัวนางก็พลันได้รับแรงกระแทก
เสี่ยวเป่า “???”
นางหันกลับไปมอง หมาป่ายักษ์และเสือทั้งสองก็หันหัวตามไปด้วย
ไม่ไกลออกไปคนที่อยู่บนต้นไม้สะดุ้งตกใจจนเกือบตกลงมาจากยอด
เขารีบกอดลำต้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“เจ้า เจ้าเป็นน้องหญิงของอานั่วซือใช่หรือไม่”
เสี่ยวเป่ามองเขา “เจ้าเป็นใคร”
คนผู้นั้นยังคงกอดต้นไม้เอาไว้ด้วยกลัวจะตกลงมา
“ข้าต้องการจะถามอานั่วซือว่าเขาฝึกหมาป่ายักษ์ได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ไปหาเขาเสียสิ”
“แต่ทุกครั้งเขาไม่เคยสนใจข้า อีกทั้งยังดุร้ายเป็นอย่างมาก ข้ากลัวว่าเขาจะตีข้า พวกคู่ต๋าเองก็ถูกเขาตีเป็นประจำ”
เขามองไปทางเสี่ยวเป่า “อานั่วซือบอกว่าเจ้าเองก็สามารถฝึกหมาป่ายักษ์ได้ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ เจ้าทำได้เช่นไร”
เสี่ยวเป่ายิ้มให้ “เพราะพวกมันล้วนชอบข้ามาก ข้าไม่จำเป็นต้องฝึก”
“เอ๋???”
“ข้าจะถามเจ้า หากเจ้าตอบ ข้าจะยอมให้เจ้าได้สัมผัสหมาป่ายักษ์”
ดวงตาของเด็กหนุ่มผู้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวมใส่เสื้อหนังพลันเปล่งประกายขึ้น
“เจ้าถามมา!”
“เจ้ารู้จักไหมเหมันต์หรือไม่”
“ไหมเหมันต์คือสิ่งใด”
เสี่ยวเป่าอธิบายให้เขาฟัง “เป็นตัวหนอนสีขาวมีพิษ ทั้งยังพ่นเส้นใยได้”
เด็กหนุ่มเอียงศีรษะครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เหมือนว่าข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เจ้าลองไปถามพวกนักรบที่ออกล่าสัตว์ดู พวกเขาออกไปด้านนอกบ่อยครั้งได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย บางทีพวกเขาอาจรู้จักสิ่งที่เจ้าพูดถึง”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยไปถามให้ข้าได้หรือไม่”
“ข้าช่วยไปถามให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องอย่าลืมเรื่องที่สัญญากับข้า”
เขามองดูหมาป่ายักษ์ข้างกายเสี่ยวเป่าด้วยดวงตากระตือรือร้น
อันที่จริงเหล่าเด็กหนุ่มจำนวนเกินครึ่งในเผ่าล้วนต้องการสัมผัสใกล้ชิดกับหมาป่ายักษ์ทั้งนั้น
อย่างไรเสียสัญลักษณ์ประจำเผ่าของพวกเขาก็คือหมาป่ายักษ์ อีกทั้งยังโตมากับการฟังเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพวกมัน ทำให้พวกเขามีความรู้สึกพิเศษกับหมาป่ายักษ์
ไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้น กระทั่งนักรบในเผ่าก็ยังต้องการใกล้ชิดกับหมาป่ายักษ์เช่นกัน
น่าเสียดายที่อานั่วซืออยู่อย่างสันโดษมาโดยตลอด อีกทั้งหัวหน้าเผ่ายังปฏิเสธเขา คนในเผ่าจึงไม่อาจคุยกับเขาได้มากนัก
ตอนนี้ขอเพียงได้ข้อมูลมา เขาก็สามารถใกล้ชิดกับหมาป่ายักษ์ได้ นี่มันชวนให้เขาตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
ดังนั้นหลังจากลงต้นไม้แล้ว เด็กหนุ่มจึงจากไปอย่างเบิกบาน
ท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว เสี่ยวเป่าเองก็พาเสือสองตัวและเหล่าหมาป่ายักษ์กลับไปหาอานั่วซือ
ถ้ำถูกขุดไปเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ก็นับว่ากว้างขวางแล้ว
เสี่ยวเป่าอดร้องว้าวออกมาไม่ได้ ชาวฉางเซิงเทียนล้วนเป็นรถขุดดินรูปร่างมนุษย์ใช่หรือไม่
ต้องใช้แรงมากเพียงใดกัน
“เจ้าไปไหนมา”
ร่างของอานั่วซือมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่น แต่เขาไม่ได้สนใจตนเอง มองและเอ่ยถามเสี่ยวเป่าที่เพิ่งกลับมา
“โสมเหมันต์ที่เจ้ากล่าวถึง ชายแก่ผู้นั้นมีอยู่”
อานั่วซือผู้ ‘กตัญญู’ เป็นอย่างยิ่งเอ่ยถึงของที่ผู้อาวุโสเผ่าเก็บรักษาไว้
“ขนาดเท่าฝ่ามือ รูปร่างเหมือนคน ถูกคนในเผ่าสักการะ”
ฟังคำพูดของเขาแล้ว ดวงตาของเสี่ยวเป่าก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที
โสมเหมันต์ที่พวกเขาต้องการนั้นความจริงไม่ต่างจากโสมทั่วไปมากนัก เพียงแต่เพราะเติบโตขึ้นในฉางเซิงเทียนที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างออกไป รูปร่างภายนอกจึงไม่เหมือน ทว่าก็เหมือนกับโสมปกติ ยิ่งอายุมากยิ่งคล้ายใบหน้าคน
ยิ่งมีใบหน้าเหมือนคนมากเท่าใด ยิ่งตรงตามคุณสมบัติยาที่ท่านพ่อต้องการ อีกทั้งอายุมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“เช่นนั้นเจ้าสามารถพาข้าไปดูได้หรือไม่”
“ย่อมได้ แต่เอาไปไม่ได้ เจ้าจะถูกตามล่า”
เขาปรายตามองร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่า หากถูกตามล่าขึ้นมา คาดว่าไม่น่าจะหนีออกจากเผ่าได้
เสี่ยวเป่า : …รู้สึกเหมือนกำลังโดนดูแคลนอยู่
ตอนนี้น่าจะพบโสมเหมันต์แล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงไหมเหมันต์
เสี่ยวเป่านอนในกระโจมทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเด็กหนุ่มผู้นั้นจึงนำข้อมูลมาให้นาง
“ต๋าเอ๋อร์จากกลุ่มล่าสัตว์บอกว่าเขาเคยเห็นตัวหนอนที่เจ้าพูดถึง หนอนนั่นมีพิษ มือของเจ้าจะแข็งทันทีที่สัมผัส”
เสี่ยวเป่ารู้สึกตื่นเต้น “เช่นนั้นพาข้าไปดูได้หรือไม่”
“เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปหาต๋าเอ๋อร์”
ต๋าเอ๋อร์เป็นเช่นนักรบทั่วไปที่เกิดและเติบโตขึ้นในฉางเซิงเทียน รูปร่างสูงใหญ่ มองจากมุมเสี่ยวเป่าแล้วประหนึ่งขุนเขาย่อม ๆ ร่างกายเปี่ยมด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง ให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างยิ่ง
“เจ้าต้องการหนอนตัวนั้น”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ท่านพาข้าไปได้หรือไม่ วางใจได้ ข้าไม่ได้ให้ท่านพาไปโดยเปล่า”
นางนำเนื้อตากแห้งและสุราออกมา
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นค่าตอบแทนหากท่านพาข้าไปหาไหมเหมันต์”
สองสิ่งเหล่านี้พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่ากลิ่นหอมของเนื้อตากแห้งทำให้ทั้งต๋าเอ๋อร์และเด็กหนุ่มถูกดึงดูดอย่างง่ายดาย
“ท่านสามารถลองก่อนได้”
เสี่ยวเป่าส่งเนื้อตากแห้งให้ต๋าเอ๋อร์ จากนั้นก็ส่งให้เด็กหนุ่มด้วย
“นี่แทนคำขอบคุณ”
ดวงตาเด็กหนุ่มเปล่งประกาย “ข้าชื่ออาลู่”
ฟันของทั้งคู่แข็งแกร่งยิ่ง กัดเข้าไปทีคำใหญ่ จากนั้นดวงตาพลันทอแสงระยิบระยับขึ้นมา
พวกเขาไม่เคยลิ้มรสของอร่อยเช่นเนื้อตากแห้งมาก่อน สิ่งที่สำคัญสุดคือเนื้อตากแห้งมีรสชาติของเกลือ!
“ด้านในนี้มีเกลืออยู่!”
ต๋าเอ๋อร์และอาลู่มองหน้ากันแล้วร้องออกมาอย่างตกตะลึง
เสี่ยวเป่า : ที่แท้พวกเจ้าก็ขาดแคลนเกลือเหมือนกัน หากรู้แต่แรกข้าจะนำเกลือมาเพิ่มมากกว่านี้!