บทที่ 210 นางปล้นกันอย่างโจ่งแจ้ง!
บทที่ 210 นางปล้นกันอย่างโจ่งแจ้ง!
ด้านนอกและด้านในเมืองฝู่ซางราวกับคนละโลก
ด้านในอากาศสดใส ขณะที่ด้านนอกมีแต่เมฆสายฟ้าเต็มไปหมด และยังปรากฏเสียงคำรามกึกก้อง กระแสฟ้าฟาดลงที่ภูเขาหิน พลันเกิดเป็นประกายไฟกระเด็นกระดอนไปทั่ว และหากผู้ใดตั้งใจฟังก็จะได้ยินเสียงคร่ำครวญของผู้กำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์ด้วยเช่นกัน
นอกจากฝ่าทัณฑ์สวรรค์แล้วยังมีชาวเมืองมาเฝ้าดูอีก
เหตุการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นแค่ในรอบพันปี แต่เป็นในรอบหมื่นปีที่เดียว!
เจ้าเมืองฝู่ซางนำเหล่าผู้บำเพ็ญมาตั้งแนวป้องกันรอบ ๆ ผู้บำเพ็ญที่กำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่คิดร้ายแอบเข้ามาโจมตีพวกเขา
“สังเกตหรือไม่? ผู้ที่กำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์สายฟ้านี้ ล้วนแต่มาจากร้านต้องคำสาป”
ผู้บำเพ็ญที่ช่างสังเกตต่างก็เห็นประเด็นนี้ แต่เมื่อต้องเลือกระหว่างการมาชมการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ครั้งใหญ่และการไปสืบเรื่องราวของร้านต้องคำสาปแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนย่อมเลือกสิ่งแรกมากกว่า
เอาเถิด ร้านต้องคำสาปก็ไม่ได้มีขาที่จะวิ่งหนีไปไหน จะเมื่อไหร่ก็ไปได้ หากแต่งานฉลองยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะมีโอกาสได้พบอีกเมื่อไหร่กัน?
“ท่านมั่นใจหรือ?”
ร้านต้องคำสาปนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้ายมาโดยตลอด เหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นร้านแห่งโอกาสขึ้นมาเล่า?
“คนผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่กำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์เพื่อเข้าสู่ขอบเขตปฐมวิญญาณอยู่” คนจากถนนข้าง ๆ ชี้นิ้วไปยังผู้บำเพ็ญที่ถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นก้อนถ่าน
“เมื่อเช้านี้ผู้บำเพ็ญคนนั้นถูกอสูรลักพาตัวไป”
“แล้วก็นั่น ผู้บำเพ็ญคนนั้นถูกลักพาตัวไปข้าง ๆ ข้าเลย!”
“เหตุใดเจ้าอสูรนั้นไม่ลักพาตัวข้าไปก็ไม่รู้ มิฉะนั้น ป่านนี้ข้าคงกำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์อยู่เป็นแน่!”
“เจ้าดูเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเจ้าสิ ดูอย่างไรก็เหมือนขอทาน เห็นได้ชัดว่าเจ้าอสูรนั้นยังมีวิจารณญาณอยู่บ้าง”
“ถูกต้อง ตามข่าวที่ว่าอาหารหนึ่งชุดจากร้านต้องคำสาปราคาต่ำที่สุดต้องใช้หินวิญญาณนับล้านก้อน คนธรรมดาอย่างพวกเราคงไม่มีปัญญาไปกินหรอก”
บนท้องฟ้าหรือบนพื้นดิน ผู้คนจำนวนมากต่างพูดคุยกันจอแจราวกับจิ้งหรีดเจ็ดตัวเจ็ดเสียง พวกเขากำลังสนทนาถึงผู้บำเพ็ญที่กำลังจะฝ่าทัณฑ์สวรรค์และ… สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้บำเพ็ญบางคนที่เคยเฉียดไปใกล้อสูรแปลงร่างตนนั้นมาแล้ว ต่างรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ชาวเมืองแถวถนนชิงเฟิงที่หนีตายออกมาต่างก็รู้สึกมึนงง เหตุใดก่อนที่พวกเขาจะหนีออกมา ถึงไม่มีโชคดีแบบนี้เกิดขึ้นบ้าง?
พวกเขาคงต้องประสบกับคำสาปแห่งความโชคร้ายแล้วเป็นแน่!
เพียงอดทนรออีกหนึ่งวัน คนที่กำลังฝ่าทัณฑ์สวรรค์ฟ้าผ่าเหล่านั้นก็คงกลายเป็นพวกเขาแล้ว
เหล่าผู้คนที่กลายเป็นคนยากไร้บนถนนชิงเฟิง ต่างกอดคอกันร้องไห้ด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด
“บัดนี้พวกเจ้านึกเสียใจกันอยู่ใช่หรือไม่?” หัวหน้าตะขาบมรกตจำผู้คนเหล่านั้นได้ จึงกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
“หัวหน้าตะขาบมรกต วันนี้ร้านจะมีรายการอาหารใหม่หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าของร้านได้กลับมาแล้ว หรือว่าเจ้าของร้านจะเป็นผู้ปรุงอาหารเอง?” คนละแวกบ้านเงยหน้าถามพร้อมกับสะอื้น
“ใช่แล้ว! เจ้าของร้านได้นำสุราสร้างรากฐานกลับมาด้วย เป็นสุราโฉมใหม่ที่ช่วยเพิ่มพูนการบำเพ็ญ”
หลิงเยว่โผล่ออกมาจากด้านหลังของหัวหน้าตะขาบมรกต “พี่ชาย ท่านอยากจะซื้อสักจอกหรือไม่เจ้าคะ?”
หลิงเยว่แบ่งสุราหนึ่งไหใหญ่เป็นจอกเล็ก ๆ นับร้อยจอก แน่นอนว่าสุราของนางมีสรรพคุณมากกว่าโอสถสร้างรากฐาน แต่นางได้ทดลองให้ลูกศิษย์ดื่มแล้ว มันจะได้ผลเฉพาะผู้ที่ไม่เคยดื่มมาก่อนเท่านั้น
“ราคา… เท่าใดหรือ?” ชาวบ้านเผลอเอื้อมไปคว้าถุงเก็บของที่เอว แต่พอตั้งสติได้ เขาจึงกล่าวว่า “ข้าบรรลุขอบเขตจินตานแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้สุราสร้างรากฐานอีก”
“ใช่แล้ว! เจ้ามีสุราที่ช่วยให้ก้าวข้ามขั้นตอนการกลั่นโอสถ สุราแปลงกาย และสุราเพื่อบรรลุขอบเขตทะยานเซียนหรือไม่?” เมื่อได้ยินว่าหลิงเยว่เป็นเจ้าของร้านต้องคำสาป ผู้บำเพ็ญที่กำลังดูความวุ่นวายอยู่ ต่างทยอยเข้ามารุมล้อมนางทันที
“ไม่มีหรอก ข้ามีแค่สุราสร้างรากฐานเท่านั้น แต่ยังใช้ได้ผลกับจินตานและปฐมวิญญาณด้วยเช่นกัน” หลิงเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับชี้ไปยังผู้คนที่กำลังตกอยู่ในสภาพเป็นตายจากการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ทางด้านหน้าเมือง “ตัวอย่างของผลลัพธ์ล้วนอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกท่านยังต้องสงสัยอะไรอีกเล่า?”
ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย
สุราสมุนไพรที่ขายดีในเมืองฝู่ซางช่วงนี้มาจากลูกศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษของสำนัก จึงไม่ต้องสงสัยว่าหลิงเยว่ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพวกเขานั้นจะต้องมีความสามารถเหนือกว่าอย่างแน่นอน การที่นางหมักสุราสร้างรากฐานแล้วเกิดผลลัพธ์เช่นนี้… ดูเหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยากนัก
ท่านอาจารย์ใหญ่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลเสียจริง!
สมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ไม่รู้ว่าเขาไปขุดหาอัจฉริยะแบบนี้มาจากที่ใดกัน?
ท่านอาจารย์ใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชนพึงพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนเถาวั่งที่อยู่ข้าง ๆ เหลือบมองด้วยหางตา ทั้งที่เป็นตัวเขาเองที่ต่อสู้ด้วยเหตุผล โต้แย้งอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำหลิงเยว่กลับมา แต่สุดท้ายความดีความชอบกลับกลายเป็นของคนข้าง ๆ ไปเสียหมด!
“เจ้าบอกมาได้เลยว่าหนึ่งจอกต้องจ่ายหินวิญญาณเท่าไหร่?” ชายชราคนหนึ่งเบียดเข้ามาในฝูงชน มองไปที่สุราในมือของหลิงเยว่ด้วยความโลภ
“โอ้! นี่มันไม่ใช่ต้นไม้แห้งใกล้ตายแล้วหรือ!?”
เรียกว่าต้นไม้ที่แห้งตายแล้วยังดีกว่าเรียกว่าศพแห้ง เมื่อเห็นชายชราคนนี้ หลิงเยว่ก็หวนนึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนัก แต่นางพอจะรู้ว่าชายชราผู้นี้คงบรรลุไม่ได้สักที จึงใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดของชีวิตแล้ว ไม่ได้เป็นเหมือนซากศพเดินได้ของนิกายอสุภะ
“หนึ่งจอกนี้ แน่นอนว่าผู้ที่เสนอราคาสูงสุดย่อมได้ครอง” หลิงเยว่มิได้มีความเมตตาเพียงเพราะชายชราใกล้จะตาย หากเปิดช่องให้เขา คนอื่นที่เหลือก็คงขายไม่ได้แล้ว
“สุราสร้างรากฐานมีเพียงร้อยยี่สิบจอกเท่านั้น จำกัดหนึ่งคนต่อหนึ่งจอกเท่ากับโอสถสร้างรากฐานหนึ่งคนในชีวิตสามารถรับประทานได้เพียงหนึ่งจอกเท่านั้น จอกที่สองจะไม่มีผลใด ๆ ขอแนะนำให้ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตปฐมวิญญาณดื่ม เพราะสุราชนิดนี้จะไม่มีผลสำหรับผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตทะยานเซียน”
คำพูดของหลิงเยว่แพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง จากนั้นนางก็ส่งเสียงไปยังท่านอาจารย์ใหญ่
ไม่นานนัก ท่านอาจารย์ใหญ่ก็พาเหล่าผู้อาวุโสและอาจารย์ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของหลิงเยว่ เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะพลันดับความคิดที่จะแย่งชิงผู้บำเพ็ญไปในทันที
หากกล้าเคลื่อนไหว แน่นอนว่าพวกเขาคงต้องตายอย่างอนาถ แม้แต่ร่างก็ยังไม่เหลือ
ท่ามกลางผู้คนอันเนืองแน่น หลิงเยว่รู้สึกได้ถึงสายตาของปีศาจร้าย เมื่อนางหันหน้าไปมองตามสัญชาตญาณกลับเผชิญหน้ากับสายตาอันอ่อนโยนของคนผู้หนึ่งเข้าพอดี
หลิงเยว่พยักหน้าให้คนผู้นั้นเบา ๆ แล้วไม่สนใจเขาอีก นางหันไปทางฝูงชนแล้วประกาศเสียงดังลั่น “ราคาเริ่มต้นหนึ่งร้อยล้านหินวิญญาณระดับกลาง!”
จะมีที่ใดตั้งราคาเริ่มต้นมากถึงหนึ่งร้อยล้านหินวิญญาณระดับกลางเช่นนี้กัน?!
นี่นางตั้งใจปล้นกันชัด ๆ!
เมื่อได้ยินราคาเริ่มต้น ฝูงชนพลันเงียบกริบ ถึงผ่านไปอีกครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก
หลิงเยว่รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก หรือว่านางตั้งราคาแพงเกินไป?
ไม่! นี่ไม่แพงเลย! หากดื่มสุราของนางแล้วย่อมไม่มีผลข้างเคียงใด ทั้งยังไม่มีผลกระทบต่อการก้าวข้ามขอบเขตในภายภาคหน้าด้วย
เมื่อฝูงชนได้ยินคำอธิบายเช่นนั้นก็ยังไม่เชื่อ และยังไม่มีใครเสนอราคาใด ๆ
“หากผู้ใดที่อยู่ในขอบเขตจินตาน แต่ล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ก็ได้ผลด้วยหรือ?” ชายชราต้นไม้แห้งใกล้ตายผู้นั้นกล่าวขึ้น
ผลลัพธ์ของการบำเพ็ญขอบเขตจินตานและขอบเขตสร้างรากฐานนั้นเหมือนกัน มีความแตกต่างเพียงวิธีการบำเพ็ญเท่านั้น ขอบเขตสร้างรากฐานมุ่งเน้นไปที่การบำเพ็ญเพื่อทะลุผ่านขอบเขตจินตานในภายหลัง ในขณะที่ขอบเขตกลั่นลมปราณมุ่งเน้นไปที่การบำเพ็ญเพื่อทะลุผ่านขอบเขตสร้างรากฐาน
หลิงเยว่ไม่นึกว่าจะมีผู้ใดอยู่ขอบเขตจินตาน ที่มีอัตราความสำเร็จถึงเกือบจะสิบส่วน แต่กลับล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์สวรรค์เช่นนั้นได้
และนางก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้ จึงไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
“ย่อมได้ผล” ชายหนุ่มผู้หนึ่งท่าทางองอาจสง่างาม เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงเยว่ กำหมัดคำนับลงไปแทบจะถึงพื้น น้ำเสียงเปี่ยมล้นไปด้วยความปีติยินดี “ท่านมีพระคุณ ข้าจะจดจำท่านไว้ในใจ แต่คราวนี้ออกมาอย่างเร่งรีบ หินวิญญาณที่ติดตัวมาจึงไม่ถึงสองร้อยล้าน ขอเวลาข้ากลับไปนำมาจ่ายให้ท่านก่อนนะขอรับ”
เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มก็ก้มคำนับอีกครั้งอย่างนอบน้อมแล้วเดินจากไปในทันที
จะไปเอาหินวิญญาณจริง ๆ หรือเผ่นหนีกันแน่!?
แต่หลิงเยว่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะตั้งแต่แรกก็ตั้งใจทำสุราสร้างรากฐานไว้แจกจ่ายให้กับลูกค้าที่มาร้านอยู่แล้ว เขาจะจ่ายหรือไม่จ่าย นางไม่ได้ติดใจอะไรนัก
“นั่นไม่ใช่ท่านชายตระกูลหมิงหรือ? เขาโดนอสูรลากไปที่ร้านต้องสาปเสียแล้ว อสูรตนนั้นช่างกล้านัก!”
หมิงหู มาจากตระกูลหมิง หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองฝู่ซาง เขาเป็นหนึ่งในสี่คนไร้ประโยชน์ที่ทานโอสถจินตานเช่นเดียวกับชายชราใกล้ตายคนนั้น แต่ล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์สวรรค์
“เขาผ่านขอบเขตจินตานแล้ว!” ชายชราราวกับเห็นแสงแห่งความหวัง รีบเอาหินวิญญาณทั้งหมดที่ตนเองมีให้กับหลิงเยว่ “ข้างในมีหกร้อยล้าน เจ้าเอาไปเลยแล้วกัน จอกนี้เป็นของข้า!”
จอกสุราในมือของหลิงเยว่ถูกชายชรายกดื่มจนหมดในคราเดียว
อาการของคนที่ดื่มสุราสร้างรากฐานนั้นเหมือนกันหมด ผิวสีน้ำตาลไหม้ของเขาพลันแดงก่ำขึ้นทันที
“ช่างยอดเยี่ยมนัก!” เสียงของชายชราดังขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะของเขาพอดิบพอดี เมฆที่ปกคลุมอยู่ด้านนอกเมืองก็มารวมอยู่ด้วยเช่นกัน
“มันได้ผลจริง ๆ!” ชายชราโหวกเหวกโวยวายออกจากฝูงชน แล้วเสียงหัวเราะของเขาถูกเสียงฟ้าร้องกลบไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้ารีบซื้อกันเข้าไว้ ดื่มสุราสร้างรากฐาน ไม่ต้องกังวลเรื่องฝ่าทัณฑ์สวรรค์ ทั้งยังไม่มีมารผจญอีกด้วย!”
คำพูดเพียงประโยคเดียวก็สร้างคลื่นมหาชนขึ้นมาได้อีกระลอก ผู้คนจำนวนมากที่มีความยากลำบากในการก้าวข้ามขอบเขตต่างออกมาตะโกนบอกเล่าให้กับฝูงชนฟังอย่างตื่นเต้น