บทที่ 835 องค์ราชินีและองค์เง็กเซียน (4)
เหล่าขุนนางล้วนยินดีปรีดายิ่ง พวกเขาแต่ละคนต่างมากล่าวถึงลูกๆ ของพวกเขาว่าโดดมากเพียงใด
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและส่ายศีรษะ เขาบอกว่าเขาจะไม่รับค่าเล่าเรียน หรือของขวัญ และยอมรับเฉพาะศิษย์ที่ฉลาดและมีไหวพริบเท่านั้น
เมื่อสร้างสถานศึกษาเสร็จแล้ว เขาก็ขอให้เหล่าขุนนางพาลูกหลานมาเยี่ยมชม
มันอยู่ในย่านที่คึกคักของเมือง ปราชญ์ร่วมสมัยผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่และใช้เงินเป็นจำนวนมาก
ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน อาคารเดิมของคฤหาสน์หลังนั้นก็หายไป หลี่ฉางโซ่วได้จัดป่าไผ่ สระน้ำ ภูเขาจำลองสองสามลูก และมีบ้านไม้ไผ่เพียงสองหลังเท่านั้นที่กระจายอยู่ท่ามกลางที่นั่น
มีคนธรรมดาบางคนที่บุกอยากบังคับเข้าบ้าน แต่ก็หลงอยู่ในลานบ้าน พวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงงไม่รู้จะเข้าไปที่ไหน และออกไปที่ใดเลย
ทันใดนั้นใครก็ตามที่มีความรู้เล็กน้อยก็จะรู้ว่านี่คือ “ปรมาจารย์ชั้นสูง” ที่มาถึงเมือง และบรรดาผู้ใหญ่จากแต่ละตระกูลก็นำนายน้อยของพวกเขามาเข้าแถวอยู่ที่หน้าสถาบันการศึกษา
หลี่ฉางโซ่วประกาศอีกครั้งว่าเขาจะรับศิษย์ชายสี่คนและศิษย์หญิงสามคน รวมจำนวนเป็นกลุ่มดาวเป่ยโตว
บรรดาบุคคลสำคัญในเมืองเริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง มีเด็กหนุ่มและเด็กสาวจำนวนมากรีบพุ่งไปที่หน้าสถาบันการศึกษา
ลำดับเรียงแถวก็สมเหตุสมผลมากเช่นกัน โดยผู้ยิ่งใหญ่คนใดที่มีสถานะสูงส่งกว่าก็จะได้อยู่ด้านหน้า
ในครั้งนี้ ฮวาโหย่วหมิงและเซี่ยหนิงซวงก็ได้มาพบกันอีกครั้งที่หน้าสถาบัน เดิมทีฮวาโหย่วหมิงซึ่งอยู่ในฐานะบุตรชายของผู้พิทักษ์เมืองนั้นอยู่ในอันดับที่หนึ่งอย่างมั่นคง
ทว่าเมื่อเซี่ยหนิงซวงซึ่งสวมผ้าคลุมหน้าเข้ามา นางก็มายืนอยู่ด้านหน้าฮวาโหย่วหมิงอย่างนุ่มนวลและอ่อนแอ นางยังหันศีรษะของนางเพื่อเผยให้เห็นลักษณะท่าทางที่ดูน่าสงสาร
เพียงขณะที่ฮวาโหย่วหมิงรู้สึกประทับใจเล็กน้อย เขาก็ได้ยินเซี่ยหนิงซวงกล่าวเบาๆ ว่า “ไปสิ ไปอยู่ข้างหลัง”
ฮวาโหย่วหมิงเลิกคิ้วกระบี่ของเขา และภาพต่างๆ ที่เขาถูกเด็กสาวตรงหน้าทรมานตั้งแต่เขายังเยาว์วัยก็ปรากฏขึ้นในใจเขา!
เมื่อเด็กน้อยอายุได้สามขวบ เขาถูกสาดน้ำขณะที่เขากำลังงีบหลับในช่วงบ่าย
เมื่อเด็กน้อยมีวัยได้ห้าขวบ เขาก็ถูกผลักลงไปในบ่อโคลนขณะจับจิ้งหรีด
เมื่อเด็กน้อยมีวัยได้เจ็ดขวบ เขาก็ถูกผึ้งไล่ตามไปทั่วทั้งสนาม
เมื่อเด็กน้อยมีวัยได้เก้าขวบ เขาปีนขึ้นไปบนหลังคาและบันไดก็ถูกดึงออก
และเมื่อเจริญวัยได้สิบเอ็ดปี…
ในขณะนั้น ความเกลียดชังของฮวาโหย่วหมิงก็พุ่งขึ้นมาในใจของเขา เขาก้าวออกไปข้างหน้าครึ่งก้าว และถลึงตาจ้องมอง และหมัดแน่น
เซี่ยหนิงซวงกะพริบตาเบาๆ ใบหน้าที่อยู่ด้านหลังม่านคลุมเต็มไปด้วยความอ่อนแอ
“เจ้าจะตีข้าหรือ? เสี่ยวหมิงหมิง? ”
“นายน้อยผู้นี้จะไม่มีวันลดตัวลงไปมีเรื่องกับเจ้า! ”
ฮวาโหย่วหมิงแค่นเสียงเย็นชา เขาถอยหลังไปสองก้าว และจู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากฝูงชนด้านหลัง
ติ๊ง กริ๊งๆ…
มีเสียงกริ่งดังมาจากด้านหลังประตูสถาบัน จากนั้นประตูก็เปิดออกเองและมีเสียงดังมาจากข้างใน
“ผู้ที่อยู่ด้านหน้ายี่สิบคนแรกสามารถเข้ามาฟังการบรรยายของข้าได้ แล้วข้าจะตัดสินใจว่าจะให้พวกเจ้าอยู่หรือออกไปโดยพิจารณาจากผลการเรียนในชั้นเรียน”
พวกหนุ่มสาว และเด็กๆ รีบกรูกันออกไปข้างหน้าทันที และฮวาโหย่วหมิงกับเซี่ยหนิงซวงก็ได้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในแถวหน้านี้
ทว่าหลังจากที่เซี่ยหนิงซวงพุ่งกระโดดเข้าไปในประตูไม้ ฮวาโหย่วหมิงก็หันกลับมาและถลึงตาจ้องมองไปยังเหล่าผู้คนที่กำลังจะรีบพุ่งขึ้นมาจากด้านหลังด้วยใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ของเขาที่เต็มไปด้วยความสง่าเคร่งขรึม
เขาตะโกนใส่ว่า “พวกเจ้าเบียดมาด้วยเหตุใด จะรีบไยกัน! ไม่รู้หรือว่าพวกเจ้ามีความสามารถเพียงใด?
พวกที่ปกติไร้ความรู้และความสามารถ ก็ควรไปยืนอยู่ข้างนอก!
ผู้ใดก็ตามที่กล้าพึ่งพาพลังอำนาจของตระกูลของตัวเองและรีบเข้ามาก่อนเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ก่อนง่ายๆ นายน้อยอย่างข้าจะทุบตีพวกเจ้าทุกครั้งที่พบเห็น! ”
ทว่าหลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว ฮวาโหย่วหมิงก็ไม่ได้เข้าไปในบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกประหลาดใจ
และเมื่อหลี่ฉางโซ่วกำลังคิดว่าจะปล่อยให้ฮวาโหย่วหมิงเข้ามาได้อย่างไร ฮวาโหย่วหมิงก็ตะโกนออกมาอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ให้ผู้ที่อ่านได้มากกว่าร้อยคำให้ก้าวออกมาแล้วเข้าไปก่อน!”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มสาวหลายสิบคนที่แต่เดิมก็รีบวิ่งออกไปด้านหน้า ก็อดที่จะหยุดชั่วคราวไม่ได้
พวกเขาไม่สามารถทำได้!
………………………………………………………………..